ใจแม่จะขาด เมื่อเห็นลูกจากไปในอ้อมอก😭😭😭Ep2.

EP1. (https://m.facebook.com/groups/PregnancyThai/permalink/4266425480048899/) หลังจากตรวจทุกอย่างแล้วว่ามีเจ้าตัวน้อย เราและสามีก็เตรียมเอกสารส่งที่ทำงานว่ากำลังตั้งท้อง แต่ก่อนหน้านั้นเราได้โทรหาหัวหน้างานแล้ว และเราก็ได้หยุดงานตั้งแต่นั้นมา (เงินเดือนได้เหมือนเดิม ที่ทำงานจ่าย30% ที่เหลือ ประกันจ่าย)  หลังจากอัลตร้าซาวด์วันที่18-06-20 เราก็ได้นัดอัลตร้าซาวด์อีกทีวันที่ 15-08-20 เราก็ไม่เอะใจอะไร พอเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอก เขาไม่นัดทุกเดือนติดกันหรอ เราก็ไม่รู้ก็คิดว่าแต่ละคลินิคหรือโรงพยายาลอาจจะนัดไม่เหมือนกันรึปล่าว เราก็ไม่ได้บอกให้สามีโทรถาม พอถึงวันนัดก็เริ่มเข้าเดือนที่สาม หมอก็ทำอัลตราซาวด์ปรกติ แต่คิดในใจทำไมรอบนี้นานจัง เราก็ถามคุณหมอ เด็กเป็นไงบ้างค่ะ หัวใจ ทุกอย่างปรกติดีไหม? คุณหมอก็ตอบปรกติดีค่ะ!! แต่หมอจะนัดให้ไปตรวจอีกที่ตัวเมืองนะคะเพื่ิอความแน่ใจ เป็นคุณหมออีกท่านที่เก่งเฉาะทาง เราก็ตอบได้ค่ะวันไหนก็ได้ หมอบอกเป็นอาทิตย์ถัดไปนะคะ เราก็ตอบโอเคค่ะ พอถึงวันนัดสามีก็หยุดงานไปกับเรา บอกเลยรอนานมากนัด10โมงเช้า เข้าตรวจ11โมง พอถึงคิวเราเข้าห้องตรวจ คุณหมอบอกเชิญนั่งครับ เรากับสามีก็นั่งและคุณหมอก็ถามมาทันทีว่า"ทำไมถึงมาตรวจที่นี่" เรากับสามีก็งง ?? สามีก็เลยตอบไปว่า "คุณหมอที่คลีนิคนัดให้มาตรวจที่นี่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน" คุณหมอก็ให้เราขึ้นเตียงทำอัลตราซาวด์ แป๊บเดียวคุณหมอบอกเด็กมีปัญหานะ ใจเราหวิวๆบอกไม่ถูก น้ำตาไหลอัตโนมัติ😭😭 เราก็ถามคุณหมอว่าน้องเป็นอะไร? คุณหมอตอบคร่าวๆว่า " หัวใจน้องอยู่ข้างขวา เพราะกระเพาะและลำใส้เข้าไปอยู่แทนที่หัวใจ (hernie diaphragmatique gauche) หรือโรคไส่เลื่อนกระบังลมบ้านเรา.. เราร้องไห้โฮ เรากลัวมากว่าจะไม่มีทางรักษาน้อง กลัวจะต้องยุติการตั้งครรภ์ กลัวไปหมด สามีก็ถามคุณหมอว่า"แล้วเราต้องทำไงต่อ"? คุณหมอบอกมีทางรักษาทางเดียว รอให้เขาคลอดแล้วค่อยผ่าตัด เราก็เริ่มมีหวังขึ้นมาว่าคุณหมอเขาคงรักษาลูกเราได้ หลังจากนั้นเราก็นอนไม่หลับ คิดมาก พอถึงวันนัดทำอัลตราซาวด์ครั้งต่อไปหนึ่งเดือน คุณหมอท่านเดิมที่ตรวจพบว่าน้องมีปัญหาบอกว่าพอน้องเริ่มตัวโตก็ยิ่งมองออกมากขึ้น คุณหมอบอกที่น่ากลัวตอนนี้คือ กลัวปอดน้องจะไม่โต และแล้วก็เป็นอย่างที่คุณหมอบอก อวัยวะต่างๆโตตามน้อง นน. ทุกอย่างเหมือนเด็กปกติ เหลือแต่ปอดไม่โต ปอดน้องเหลือแค่ 35% แต่ที่น้องหายใจได้เพราะน้องหายใจกับแม่ คุณหมอได้แนะนำให้ไปรพ.ของรัฐฯในตัวเมืองเผื่อจะได้มีทางเลือกอื่น เราก็ไปตามนัด หาหมอสูติ หาหมอดมยา นัดเจาะน้ำคร่ำ  เพื่อตรวจโครโมโซม นัดตรวจCT scan หรือ IREM ปอดน้องเหลือไม่ถึง 30% หมอบอกไม่มีทางอื่นอีกนอกจากจะต้องไปรักษาน้องด้วยการใส่บอลลูนที่รพ.ใหญ่(hôpital Kremlin-Bicêtre)ที่ปารีส หรืออีกทางคือยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นเราท้องเข้าเดือนที่หกแล้ว เรากับสามีก็ตัดสินใจที่จะไปรักษาที่ปารีส (ห่างจากบ้านประมาณ700กม.)แต่คุณหมอก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผล100% และก็ขึ้นอยู่กับคุณหมอที่ปารีสเขาจะรับเคสเรารึปล่าว สุดท้ายหมอที่ปารีส professeur Bénachi  Alexandra ก็นัด video call เพื่อนัดใส่บอลลูนให้น้อง วันที่17-11-20 และนัดเอาบอลลูนออก18-12-20 การผ่าตัดใส่บอลลูนและเอาบอลลูนออก ด้วยการบล็อกหลัง เจาะผ่านหน้าท้องส่องกล้องแผลเล็กมาก ตอนใส่บอลลูนหมอบอกมีโอกาศเสี่ยงสูงที่ถุงน้ำคร่ำจะแตกหมอจะทำการฉีดยาให้น้องหลับ น้องจะได้ไม่ดิ้น และจะได้สอดใส่บอลลูนเข้าไปในปากน้องให้อยู่ตำแหน่งที่หมอต้องการซึ่งอยู่ช่วงลำคอที่ใกล้กับปอดมากที่สุดนั่นเอง เป็นการรักษาขณะที่น้องยังอยู่ในครรภ์ พอหลังจากใส่บอลลูนเราก็ไม่ได้ทำอะไรกินแล้วก็นอน แต่ก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนเดิม พอได้สามอาทิตย์หลังจากใส่บอลลูนเริ่มมีอาการท้องแข็งถี่ขึ้น เป็นลมทุกครั้งตอนยืนหรือนั่งนานๆ เราก็ให้สามีโทรถาม sage-femme หรือหมอตำแยบ้านเรา ว่าอาการท้องแข็งผิดปกติหรือเปล่า นางตอบปรกติค่ะไม่มีอะไร แต่เราไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ พอวันรุ่งขึ้น เช้าของวันที่13-12-20 ตอน07:35น. เราตื่นจะไปเข้าห้องน้ำตามปกติของทุกวัน เราก็พลิกตัวตะแคงเพื่อจะลุกจากเตียง เท่านั้นแหละ เรารู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นๆคล้ายฉี่ใหล บอกเลยตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวจะคลอดแน่ๆ ใจยังไม่อยากให้น้องออกมาตอนนี้ น้ำตาก็ไหล พึ่งได้33week และอีกอย่าง บอลลูนก็ยังไม่ได้เอาออกซึ่งเสียงต่อชีวิตของน้องมาก เราก็บอกสามี น้ำคร่ำไหล รีบพาไปหาหมอตอนนี้เลย ยังดีที่บ้านพักไม่ไกลจากรพ. เรารีบตั้งสติพยายามเดินไปที่รถ นั่งรถไปไม่ถึงนาที ก็ถึงแผนกฉุกเฉินของรพ.ยื่นประวัติ ตรวจฉี่ เจาะเลือด แอดมิด หมอบอกต้องรีบเอาบอลลูนออกเช้าวันนั้นเลย เพราะน้ำคร่ำรั่ว กลัวเด็กมีอาการติดเชื้อ เข้าห้องผ่าตัด บล็อกหลังเอาบอลลูนออก หลังจากเอาบอลลูนออก น้ำคร่ำก็ไหลไม่หยุด คุณหมอบอกจะไหลแบบนี้จนกว่าจะคลอด เราก็นอนแอดมิดรอดูอาการต่อหนึ่งอาทิตย์ สีน้ำคร่ำเริ่มมีปนเลือดจางๆ พอจะครบหนึ่งอาทิตย์เราเริ่มมีอาการปวดท้อง ท้องแข็งถี่ขึ้น พยาบาลและหมอตำแยเลยย้ายเราลงไปนอนรอดูอาการที่ห้องเตรียมคลอด รอดูอาการไม่ถึงชั่วโมง อาการปวดเริ่มมาแบบถี่ขึ้นเรื่อยๆ ปวดมาก ปวดจนหน้าชา ตัวชาไปหมด คุณหมอทำคลอดก็เข้ามาคุยกับเรา ว่าจะทำการผ่าคลอดให้ และจะมีหมอดมยามาบล็อกหลังให้ (เพราะตอนนอนปวดท้องอยู่นั้นก็ก็มีทั้งพยาบาลมาเจาะเลือด ให้ยาเร่งคลอด ปากมดลูกก็ไม่เปิด พอผลเลือดออก คุณหมอบอกครรภ์เริ่มติดเชื้อ เริ่มมีไข้ ) คุณหมอจึงตัดสินใจผ่าให้ พอเข้าห้องผ่า หมอลงมีดไม่ถึงสามนาที(ผ่าตอน34w1d เวลา02:33น.) พยาบาลก็อุ้มเจ้าตัวน้อยมาให้ดูแค่สามวิ ยังไม่ได้ยินเสียงร้องของลูกเลยด้วยซ้ำ พยาบาลก็รีบเอาตัวน้องไปใส่ท่อช่วยหายใจทันที เพราะน้องปอดไม่โต หายใจเองไม่ได้ วินาทีที่หมอกำลังเย็บแผล เราก็คิดในใจว่าหมอต้องช่วยลูกเรา ลูกเราต้องรอด น้ำตาก็ไหล😭😭😭😭 พอคุณหมอเย็บแผลเสร็จเราก็ได้ย้ายไปอยู่ห้องพักผื้น เรามองไปรอบๆ ไม่มีคนไข้เลย มีแต่เราคนเดียว ใจเราคิดถึงแต่ลูก อยากเห็นลูก พอสามีเข้ามาอยู่เป็นเพื่ิอนเราก็บอกให้ไปถามพยาบาลว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าไปดูลูก พยาบาลก็ใจดีโทรถามให้ รอบแรกคำตอบยังไม่ได้ รอบสอง พยาบาลบอกให้พ่อเข้าดูได้ เราดีใจมาก เราบอกสามีถ่ายรูปลูกมาให้ด้วย อยากเห็นลูกมาก พอสามีกลับมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก พร้อมกับยื่นรูปให้ดู เราน้ำตาไหล😭😭😭😭 เพราะมีแต่สายระโยงระยางเต็มตัวลูกไปหมด เราได้แต่พวานาให้ลูกสู้และอยู่กับเรา พอเราเริ่มขยับตัวได้ ก็ได้ย้ายขึ้นห้องพัก เราพยายามที่จะเดิน เพราะอยากเห็นหน้าลูก พยาบาลก็บอกว่าไม่ไหวก็อย่าผืน เรานอนพักต่อและสามีก็นั่งหลับอยู่ข้างๆ สามีอยู่กับเราตลอดทุกวินาที พอเราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพร้อมเดินได้เราก็บอกให้สามีหารถเข็นพาเราไปหาลูกทันที ภาพแรกที่เห็นลูก ลูกตัวเล็กมาก2100กรัม
และมีสายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด เราร้องไห้โฮ😭😭😭😭อยากจะอุ้มลูกก็ไม่ได้อุ้ม ได้แต่ยืนคุยกับลูกอยู่ข้างๆ ความรู้สึกตอนนั้นแทบไม่มีความรู้สึกเจ็บแผลเลยเมื่อได้เห็นหน้าลูก บุรุษพยาบาลที่ดูลูกเราบอก มาดามเลือดคุณไหล สามีก้มลงไปเช็ดเลือดที่ผื้น เรายืนดูลูกแค่แป๊บเดียวบุรุษพยาบาลก็บอกให้เราขึ้นไปพักแล้วค่อยลงมาใหม่ เราขึ้นห้องพักทานข้าวเที่ยงและนอนพัก นอนไม่หลับเหมือนเดิม คิดถึงแต่ลูก สักพักคุณหมอก็โทรเข้ามาที่เบอร์มือถือ(เวลา15:30น)บอกให้ลงมาคุยกับหมอหน่อย เรากับสามีก็ลงไป คุณหมอไม่บอกอาการของน้อง แต่คุณหมอถามว่าที่รพ.เดิมเขาบอกไหมว่าน้องอาจจะไม่รอดเราก็เริ่มใจคอไม่ดี สุดท้ายคุณหมอบอกว่า ปอดน้องไม่ทำงานน้องหายใจเองไม่ได้เพราะปอดเล็กมากเปอร์เซ็นต์รอดไม่มีเลย เราร้องไห้ออกมาต่อหน้าทุกคน😭😭 สามีก็บอกกับเราปล่อยลูกไปเถอะ😭😭 ไม่อยากให้ลูกทรมาน เราก็พยักหน้า หมอก็ถามเรากับสามีว่าจะไปอยู่กับลูกไหม? เราตอบทันทีว่าไป เขาถอดสายต่างๆที่ติดอยู่กับตัวลูกออก ยกเว้นท่อช่วยหายใจ เราได้อุ้มลูก ได้มองหน้าลูกใกล้ๆ ได้สำผัสตัวลูก ได้จับมือเละเท้าน้อยๆของลูก ได้หอมแก้มและหน้าผาก ได้จูบริมฝีปากเล็กๆของลูก
จนถึงวินาทีที่คุณหมอได้เอาท่อช่วยหายใจออก(เวลา17:00น)เราไม่กล้ามองได้แต่ร้องไห้ เป็นเวลาที่ทำใจลำบากที่สุดในชีวิต เขาได้จากไปในอ้อมอกของเรา เราอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าให้ลูกเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย😭😭😭 เรากับสามีอยู่กับลูกถึง18:30น. สามีก็พาเราขึ้นห้องพัก เราได้แต่ร้องไห้ ไม่กิน ไม่นอน ยิ่งได้ยินเสียงเด็กร้อง(ห้องข้างๆ)เราก็ยิ่งร้อง เราขอคุณหมอออกรพ.เราไม่อยากอยู่ ยิ่งอยู่ยิ่งทรมานจิตรใจ หลังผ่าได้สองวันเราก็ได้ออกรพ.มาอยู่บ้านพักแต่ก็มีหมอตำแยมาดูแผลให้ที่บ้าน อยู่บ้านพักได้สองวันก็นั่งรถกลับ(สามีขับรถ)เจ็บแผลแต่ก็ทน700กม.ไม่ง่ายเลย ตอนนี้เจ็บแผลน้อยลง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงลูกน้อยลงเลย เราไม่โทษหมอเลยที่การรักษาไม่ได้ผล เขาทำดีที่สุดแล้ว ขอบคุณสามีที่อยู่ข้างๆตลอดเวลา ขอบคุณพ่อและแม่ที่เป็นกำลังใจให้ตลอด ขอบคุณญาติพี่น้องทั้งไทยและที่ฝรีงเศส ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบและเป็นกำลังใจให้เรา🙏🙏🙏สองเกือบสามอาทิตย์แล้วที่น้อง(ชื่อEthan ลูกชาย)ได้จากพวกเราไป เชื่อว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้ 🥰🥰🥰
.....ท้ายนี้ขอให้คุณแม่ๆที่ได้อ่านอย่าพึ่งท้อ คุณมีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกก็ควรเลี้ยงเขาให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ส่วนคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอย่าละเลยหรือลืมนัดคุณหมอดัดขาด ทางที่ดีควรนัดตรวจอัลตราซาวด์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งที่ เพื่อความชัวร์ ☺️😉
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่