อย่างที่เราๆรู้ๆกัน ว่า เอกภพขยายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเติบโตขยายไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้(อาจขยายเพิ่มตลอดไป)
ทีนี้ สมมติสมการว่า การเติบโต มากกว่า การสูญสลาย (ช่วยดูหน่อยว่าสมการได้ไหม)
เช่นว่า
อัตราส่วนการเพิ่มจะมากกว่าลด เช่นว่า รุ่น 1 เพิ่ม รุ่น 2 เท่าจำนวนตัวเอง(แบ่งเซลล์แบบ อะมีบ้า) โดยเพิ่มเซลล์ละเซลล์
สมมติ รุ่นกำเนิด มีสองเซลล์ กำเนิด รุ่นแรก 2X2 = 4(รุ่นกำเนิด(n) รวมกับรุ่นแรก), รุ่นสอง กำเนิดโดยรุ่นกำเนิดและรุ่นแรก 4x2 = 8
และเมื่อรุ่นสาม จาก รุ่นกำเนิด+รุ่นแรก+รุ่นสอง(ที่ยังมีอยู่) ก็แบ่งออกมาเซลล์ละเซลล์ คือ 8X2 = 16 และ รุ่นกำเนิดสลายไป เหลือทั้งหมด 16 - 2 = 14
รุ่น 4 ก็จะเป็น 14X2 = 28 โดย รุ่นแรกจากรุ่นกำเนิด(มีจำนนวน = 2) สลายไป เหลือเป็น 28 - 2 = 26 (รุ่นแรกจากรุ่นกำเนิดสลายไป)
และ รุ่น 5 คือ 26X2 = 52 โดย รุ่นสอง กำเนิดโดยรุ่นแรก และ รุ่นกำเนิด (8) สลายไป เหลือเป็น 52 - 8 = 44
ต่อไป รุ่น 6 คือ 44X2 = 88 โดย รุ่นสาม ที่กำเนิดโดย รุ่นกำเนิด+รุ่นแรก+รุ่นสอง(ที่เคยมีอยู่) สลายไป เป็น 88 - 14 = 74
และวนไปอย่างนี้เรื่อยๆ (พยายามอธิบายอย่างพอเป็นสังเขปแล้ว *ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่ get ลองอ่านวนๆดูเรื่อยๆ)
จากรูปแบบดังกล่าว เราสามารถ กำหนดให้สมการของเรื่องดังกล่าว เป็น
n1 = n X 2 , n2 = n1 X 2 , n3 = (n2 X 2) - n , n4 = (n3 X 2) - n1 , n5 = (n4 X 2) - n2 ไปเรื่อยๆ เป็น "อนุกรม"
ทีนี้ถ้าจะ กำหนด สูตรการคิดรวม(สมการ) แบบสำเร็จรูป ประมาณว่า ใส่สมการอันเดียวในช่องของ Excel
เพื่อให้มันหาจำนวนที่เหลืออยู่ในแต่ละรุ่นนั้น จะสามารถแปลงอนุกรมให้เป็นสมการใดได้บ้างครับ ขอความเห็นหน่อย *คิดไม่ออกจริงๆ (อาจคาดไม่ถึง)
คือต้องการแปลง "อนุกรม" ให้เป็น "สมการ" สำเร็จรูป ที่ลองคิดดู ก็ n(n กำลัง 3 - n) กับ n = n กำลัง 3 - n ไม่รู้ถูกมั้ย
คือ อนุกรมดังกล่าวส่วนตัวคิดว่า น่าจะเป็นแนว ในการเพิ่ม/ขยาย ขนาดของเอกภพ
โดยอิงกับควอนตัม ด้วย ประมาณว่า เมื่อ เอกภพ เพิ่มไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ก็จะสลายไปตามกาลเวลา(อนิจจัง)
และ(เปรียบเทียบเปรียบเปรย) ดาวโลก เมื่อหมดอายุขัย อาจจะ แตกออก เป็นดาวเคราะห์ต่างๆ ที่อิงจากประเทศที่มีอยู่ก่อนดาวหมดอายุขัย
กลายเป็นดาวบริวารต่างๆ(โดยยึดเอา พื้นที่แต่ละประเทศ ตามแผนที่ ดึงมาทำเป็นทรงกลม แล้วแปลงเป็นดาวเฉพาะๆไป เช่น ดาวไทย ก็เอาพื้นที่ประเทศไทย ตามที่มีในแผ่นที่โลก แล้ว เอามาทำเป็นทรงกลม) โดยมี แกนโลกเดิม(ก่อนดาวหมดอายุขัย) เป็น ดาวฤกษ์ (ศูนย์กลางระบบใหม่)
ซึ่ง ก็ความเป็นไปได้ หากมันอาจจะเกิดขึ้น ในต่างมิติ ต่างช่องความถี่ ที่มีเป็นอนันต์ ใน MultiVerses (อนันตภพ) รวมถึงน่าจะเกี่ยวกับ "ควอนตัม" ด้วย
ประมาณว่า ควอนตัม (ขั้นเต็มขั้น) ที่สามารถหยั่งลึกไปจนถึง "ปรโลก" (AfterLife) ก็เป็นได้ (#ปรโลก=มิติซ้อนมิติ / มิติ,จักรวาล(เอกภพ)ที่ขดซ่อนตัวอยู่ /โลกธาตุขนาดเล็กจิ๋ว(อาจมีขนาดเท่าอะตอม,ซ้อนกับอะตอม) ซึ่งทางวิทยาศาสตร์(สายสุดโต่ง) จะเน้นไปทางวัตถุทางสสารมวลสาร ที่พิสูจน์ได้ และเน้นที่จับต้อง นำไปใช้ได้ ซึ่งกรณีที่กล่าวถึง จะต้องประกอบกับเรื่องทาง "จิตวิญญาณ" (นามธรรม) ควบคู่กัน (จึงจะสามารถเข้าถึงเข้าใจได้ดีกว่าได้) มิติฝ่ายวิญญาณ (ปรโลก) เป็น มิติช่องความถี่ที่อื่น ซึ่งอยู่ซ้อนกันกับมิติวัตถุ (รูปธรรมควบคู่นามธรรม) ซึ่งตาเนื้อของมนุษย์มองไม่เห็น "ญิน ในอิสลาม" ในขณะที่ทางฝั่งนั้นสามารถเห็นและรับรู้การมีอยู่ของทางวัตุ(โลกมนุษย์) ได้อย่างชัดเจนกว่า
"ควอนตัม" ที่ จขกท.เข้าใจ คือ แบบประมาณว่า ขนมปังหนึ่งแผ่น / ตัวเรา(สเกล)ปัจจุบัน ขนมปังมันขนาดเท่า ฝ่ามือ
ทีนี้ใช้ "ควอนตัม" เข้าช่วย ขนมปังยังคงขนาดเท่าเดิม แต่เราตัวเล็กลง (มโนเรื่อง ANTMAN) ขนมปังก็ย่อมมีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับเรา(ที่ตัวเล็กลง)
สมมติฐานส่วนตัว #ตามสเตตัสของ โปรไฟล์ "เล็กละเอียดไม่สิ้นสุด แต่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต" หากมนุษย์เรา พัฒนา "ควอนตัม" จนเต็มขั้นแล้วหละก็
ประโยคดังกล่าว คงไม่เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป
บางทีเราก็ไม่รู้ (เว้นแต่อ้างอิง TimeLine / Journey บันทึกกาลเวลา/บัญชีหนังหมา) ว่าที่ผ่านมา เราตัวเล็กลง หรือ เอกภพมันใหญ่ขึ้น
ดั่งเช่นว่า "ร่างกายเรา คือ จักรวาลๆ(เอกภพ)หนึ่ง ในอนันตภพ" #อิงรหัสมิติช่องความถี่กับรหัสประชาชน ที่เมื่อเราเสียชีวิตลง จิตจะย่อตัวเข้าไปยัง เอกภพ(ช่องความถี่/มิติ) ในร่าง (เพื่อเคลียร์กรรม)
และการคาบเกี่ยวของมิติ (ที่ใหญ่กว่า และ เล็กกว่า) *เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "คนธรรพ์ และ ยักษ์(ไททั่น)"
บางที เรารับรู้โดย สัมผัสทั้งห้าของตัวเอง โดยเข้าใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์(สเกลมาตรฐาน) โดย คนธรรพ์(ที่ตัวเท่าฝ่ามือมนุษย์) เอง ก็อาจคิดแบบนั้นเช่นกัน
และเมื่อ คนธรรพ์ คิดแบบเรา เขาก็จะเข้าใจว่า มนุษย์ฝั่งเรา (ที่เห็นมนุษย์ฝั่งเขาเป็นคนธรรพ์) เป็น ยักษ์/ไททั่น สำหรับพวกเขา
และก็ซ้อนทับระหว่างมิติ โดยแต่ละมิติ จะมีขั้นบันได และบันได้ของมิติที่คาบเกี่ยวกัน อาจคาบเกี่ยว ระหว่างขั้นบันไดมิติหนึ่ง กับระหว่างขั้นบันไดอีกมิติ(พื้นที่ทับซ้อนระหว่างมิติ #พื้นที่ส่วนที่คาบเกี่ยวระหว่างวงกลมสองวง)
....เราเข้าใจว่าเราคือมนุษย์ และเห็นอีกพวกหนึ่งที่ตัวเล็กกว่า โดยเรียกพวกเขาว่า "คนธรรพ์"
ในขณะที่ "คนธรรพ์" ก็เข้าใจว่าพวกตน คือ มนุษย์สเกลมาตรฐาน และเรียกพวกที่ตัวใหญ่กว่า(สมมติว่าพวกเรา) ว่า ไททั่น/ยักษ์ (ชาวนรกตามคติอิสลาม #ชาวนรกคือชาวยมโลก มีหน้าที่สะท้อนกรรม(ลงทัณฑ์) แก่ "สัตว์นรก" (ที่เป็นพวกมีบาปกรรม และต้องไปชดใช้หนี้กรรม ในนรก)
แถม
ส่วนในชีวิตแต่ละคน ใครจะเป็นสาวนรก ชาวสรรค์ สำหรับตน สำหรับผู้อื่น ก็สุดแล้วแต่กรรมที่ทำร่วมกันมา สำหรับบางรายที่ได้เข้าไปอยู่ในโซนสรรค์ แล้วเมาบุญ(ทนงตน,หลงผิด) แล้วไปก่อเหตุที่ไม่ดี เช่นการไปก่อเหตุกับเจ้าหนี้เก่าของตน(ที่เขาได้ให้อภัยให้อโหสิกรรมตน ซึ่งผู้ก่อเหตุยังติดหนี้เขา) เช่นอาจเพราะ อคติ,หลงผิด,อิจฉาริษยา,โกรธเกลียดโดยส่วนตัว หรือแม้แต่เพราะสันดาน รสนิยม สไตล์ ส่วนตัว ก็ตามแต่ บวกกับการทนงตนหลงผิด เข้าใจว่าตนได้ขึ้นสวรรค์ หลงตัวเองว่าตนเหนือกว่า มีบุญมากกว่าเหยื่อ ที่ซึ่งตนเองเกลียด,อคติ เป็นทุนเดิม แล้วได้ไปก่อเหตุกับเหยื่อ
สิ่งที่เกิดขึ้น มักจะกลายเป็นว่า ผู้ก่อเหตุ ได้ก่อเหตุกับร่างแทนตนของเหยื่อ (ในระหว่างมิติ ของคู่กรณี #พื้นที่ส่วนที่คาบเกี่ยวระหว่างวงกลมสองวง)
ซึ่งเหยื่อ(ผู้ถูกกระทำ) หากเป็นเจ้าหนี้เก่าของผู้ก่อเหตุ ก็จะอยู่ในสถานะชาวนรก สำหรับผู้ก่อเหตุ(อยู่ใน มิติช่องความถี่/โลกธาตุ ของตนเอง) โดยอาจรับรู้การถูกกระทำ ในลักษณะต่างๆ เช่น ถูกยุงกัด ถูกมดกัด (โดยอาจไม่สนใจ ว่าดวงจิตใด(ใคร) อยู่เบื้องหลัง #เน้นสนใจชีวิตตนเองเป็นหลัก) ก็อาจตอบโต้กลับจากการถูกกระทำ เช่น รับรู้จากผัสสะ ว่าถูกมดกัด ด้วยปฏิกริยาตอบโต้อัตโนมัติ(หรือตกใจ,อารมณ์) ก็ได้บี้มดที่กัดตนเสีย ซึ่งเหยื่อก็รับรู้เพียงแค่ตนถูกมดกัด และได้ตอบโต้ โดยบี้มดนั้น หรือ อาจเป่าๆให้มดหลุดออกไป โดยไม่ทำร้ายมัน(ให้โอกาส,อโหสิกรรม,ให้อภัย) ซึ่งหากผู้ก่อเหตุ(ที่อยู่ใน มิติช่องความ,โลกธาตุ ของตน) เป็นผู้ที่ติดหนี้แก่ผู้ถูกกระทำอยู่แล้ว ก็อาจได้รับผลกระทบสะท้อนกลับ(รับกรรม) ได้ในรูปแบบต่างๆ หรืออาจไม่ได้รับผลอะไรในทันที(ได้รับโอาส,ได้รับการให้อภัย/อโหสิกรรม) ส่วนผลรูปแบบอื่นๆ สามารถเกิดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถูกดำเนินคดี เกิดอุบัติเหตุ ได้รับภัยพิบัติ สังคมบูลลี่ สังคมไม่ยอมรับ ถูกปฏิเสธความสัมพันธ์ ฯลฯ
โดยผลนั้นมาจากการถ่ายโอนพลังงาน เช่น เหยื่อบี้มด(ร่างแทนของผู้ก่อเหตุ) พลังงานก็จะถูกส่งจากมดที่ถูกบี้ โดยไหลเวียนไปตามบ่วง/สายกรรม
(ซึ่งมีมิติช่องความถี่หนึ่ง ที่ซึ่งใครทำกรรม(กระทำ)อะไรไว้ จะมีบ่วงกรรมผูกรัด ผู้/สิ่งที่เกี่ยวข้อง โดยมีสายกรรมเชื่อมโยงตามความเกี่ยวพันธ์ ซึ่งกันและกัน แน่นอนว่า พลังงาน(ทั้ง บวก/ลบ) จะถูกส่งผ่านทาง สาย/บ่วง กรรมในมิติช่องความถี่นั้น และเมื่อพลังงานไหลเวียนไปถึงปลายทาง พลังงานก็จะสามารถแปลรูปให้เกิดเหตุการณ์/สิ่ง ต่างๆ(สุดแท้แต่กรรม) แก่ปลายทางได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวหลักๆเกิดจากการปรับสมดุลบาลานซ์โดยธรรมชาติ ผันแปรกับผู้เกี่ยวข้อง(จากการตัดสินใจ)
สำหรับการก่อเหตุในบางกรณี สมมติว่าผู้ก่อเหตุ อยู่ใน ปี 500 ของภพชาติที่ 1 (เอกภพที่ 1) แล้วย้อนไป ปี 300 ด้วยมิจฉาทิกฐิ/แล้วไปเปลี่ยนเหตุการณ์,ประวติศาสตร์,สิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ความเข้าใจของผู้ก่อเหตุนั้น คือ เข้าใจว่า ตน ย้อนไปอดีต แต่ในความเป็นจริง คือจิตไปปรากฏ/ก่อเหตุ ในปี 300 จริง แต่เกิดขึ้นในเอกภพที่ 2 (อนาคต/ชาติหน้า) และสมมติว่าก่อเหตุแล้ว จะกลับไปยังอนาคต(ปี 500) ซึ่งที่ถูก คือ อดีตที่ตนจากมา การกลับไป ปี 500 จริง แต่เป็น ปี 500 ในเอกภพที่ 3 (โดยเจ้าตัว/ผู้ก่อเหตุ อาจจะไม่รู้หรือคาดไม่ถึง) และผลจากการเปลี่ยนแปลงโดยตน(ก่อเหตุ) ก็จะเกิดขึ้น เฉพาะกับตน ในมิติช่องความถี่ของตนเท่านนั้น เช่น อาจมีผล(effect) ที่ทำให้ได้พบได้เห็นในสิ่งที่น่ากลัว(สำหรับตนเอง) และอาจมีแนว วิ่งหนี/ถูกตามล่า หรือ มีการแสดงออกถึงความกลัว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น ในมิติกลาง(สากล # พื้นที่ร่วมส่วนกลาง(ร่วมประวัติศาสตร์ พื้นที่มิติร่วมกัน) เช่น พื้นที่กลางที่คาบเกี่ยวร่วมกันของวงกลมหลายวง) สามารถมี effect ต่างๆกัน เช่น เจ้าตัวอยู่ในมิติช่องความถี่ของตนเอง ได้วิ่งหนี/ตื่นกลัว สิ่งที่สัมพันธ์อยู่(ณ ปัจจุบันนั้นๆของตน) ก็จะส่งผล ให้ร่างแทนของตนในมิติสากล (# พื้นที่ร่วมส่วนกลาง(ร่วมประวัติศาสตร์ พื้นที่มิติร่วมกัน) เช่น พื้นที่กลางที่คาบเกี่ยวร่วมกันของวงกลมหลายวง)
ก็จะแสดงอาการออกมาเหมือนที่ตนเจอ(การแสดงออกของร่างเกิดจากการควบคุมโดยจิตตน เหมือนรีโมท/หุ่นเชิด) โดยที่ผู้อื่นในมิติกลาง จะเห็นว่า คุณ ได้วิ่งหนี/ตื่นกลัว ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น(เห็นเพียงแค่คุณ) #อาการจิตหลุด
ดังนั้น หากท่าน(ผู้อ่าน) จะกระทำการใดใดก็ตามแต่ โปรดไตร่ตรองทบทวน วิเคราะห์ถึงผลที่จะสามารถตามมาแก่ท่าน ในอนาคต ให้ดีอย่างถี่ถ้วน ตัดสินใจให้ดี #คิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ เพื่อตัวท่านเอง
กฏสรรพสิ่ง
"ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ หนึ่งเดียวกัน"
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
{สรุปจาก "ปัจจัตตัง" ประสบการณ์ส่วนตัว ที่ได้พยายามเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดแล้ว}
VERSE สมมติฐานการเติบโตของเอกภพ และ ควอนตัม
ทีนี้ สมมติสมการว่า การเติบโต มากกว่า การสูญสลาย (ช่วยดูหน่อยว่าสมการได้ไหม)
เช่นว่า
อัตราส่วนการเพิ่มจะมากกว่าลด เช่นว่า รุ่น 1 เพิ่ม รุ่น 2 เท่าจำนวนตัวเอง(แบ่งเซลล์แบบ อะมีบ้า) โดยเพิ่มเซลล์ละเซลล์
สมมติ รุ่นกำเนิด มีสองเซลล์ กำเนิด รุ่นแรก 2X2 = 4(รุ่นกำเนิด(n) รวมกับรุ่นแรก), รุ่นสอง กำเนิดโดยรุ่นกำเนิดและรุ่นแรก 4x2 = 8
และเมื่อรุ่นสาม จาก รุ่นกำเนิด+รุ่นแรก+รุ่นสอง(ที่ยังมีอยู่) ก็แบ่งออกมาเซลล์ละเซลล์ คือ 8X2 = 16 และ รุ่นกำเนิดสลายไป เหลือทั้งหมด 16 - 2 = 14
รุ่น 4 ก็จะเป็น 14X2 = 28 โดย รุ่นแรกจากรุ่นกำเนิด(มีจำนนวน = 2) สลายไป เหลือเป็น 28 - 2 = 26 (รุ่นแรกจากรุ่นกำเนิดสลายไป)
และ รุ่น 5 คือ 26X2 = 52 โดย รุ่นสอง กำเนิดโดยรุ่นแรก และ รุ่นกำเนิด (8) สลายไป เหลือเป็น 52 - 8 = 44
ต่อไป รุ่น 6 คือ 44X2 = 88 โดย รุ่นสาม ที่กำเนิดโดย รุ่นกำเนิด+รุ่นแรก+รุ่นสอง(ที่เคยมีอยู่) สลายไป เป็น 88 - 14 = 74
และวนไปอย่างนี้เรื่อยๆ (พยายามอธิบายอย่างพอเป็นสังเขปแล้ว *ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่ get ลองอ่านวนๆดูเรื่อยๆ)
จากรูปแบบดังกล่าว เราสามารถ กำหนดให้สมการของเรื่องดังกล่าว เป็น
n1 = n X 2 , n2 = n1 X 2 , n3 = (n2 X 2) - n , n4 = (n3 X 2) - n1 , n5 = (n4 X 2) - n2 ไปเรื่อยๆ เป็น "อนุกรม"
ทีนี้ถ้าจะ กำหนด สูตรการคิดรวม(สมการ) แบบสำเร็จรูป ประมาณว่า ใส่สมการอันเดียวในช่องของ Excel
เพื่อให้มันหาจำนวนที่เหลืออยู่ในแต่ละรุ่นนั้น จะสามารถแปลงอนุกรมให้เป็นสมการใดได้บ้างครับ ขอความเห็นหน่อย *คิดไม่ออกจริงๆ (อาจคาดไม่ถึง)
คือต้องการแปลง "อนุกรม" ให้เป็น "สมการ" สำเร็จรูป ที่ลองคิดดู ก็ n(n กำลัง 3 - n) กับ n = n กำลัง 3 - n ไม่รู้ถูกมั้ย
คือ อนุกรมดังกล่าวส่วนตัวคิดว่า น่าจะเป็นแนว ในการเพิ่ม/ขยาย ขนาดของเอกภพ
โดยอิงกับควอนตัม ด้วย ประมาณว่า เมื่อ เอกภพ เพิ่มไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ก็จะสลายไปตามกาลเวลา(อนิจจัง)
และ(เปรียบเทียบเปรียบเปรย) ดาวโลก เมื่อหมดอายุขัย อาจจะ แตกออก เป็นดาวเคราะห์ต่างๆ ที่อิงจากประเทศที่มีอยู่ก่อนดาวหมดอายุขัย
กลายเป็นดาวบริวารต่างๆ(โดยยึดเอา พื้นที่แต่ละประเทศ ตามแผนที่ ดึงมาทำเป็นทรงกลม แล้วแปลงเป็นดาวเฉพาะๆไป เช่น ดาวไทย ก็เอาพื้นที่ประเทศไทย ตามที่มีในแผ่นที่โลก แล้ว เอามาทำเป็นทรงกลม) โดยมี แกนโลกเดิม(ก่อนดาวหมดอายุขัย) เป็น ดาวฤกษ์ (ศูนย์กลางระบบใหม่)
ซึ่ง ก็ความเป็นไปได้ หากมันอาจจะเกิดขึ้น ในต่างมิติ ต่างช่องความถี่ ที่มีเป็นอนันต์ ใน MultiVerses (อนันตภพ) รวมถึงน่าจะเกี่ยวกับ "ควอนตัม" ด้วย
ประมาณว่า ควอนตัม (ขั้นเต็มขั้น) ที่สามารถหยั่งลึกไปจนถึง "ปรโลก" (AfterLife) ก็เป็นได้ (#ปรโลก=มิติซ้อนมิติ / มิติ,จักรวาล(เอกภพ)ที่ขดซ่อนตัวอยู่ /โลกธาตุขนาดเล็กจิ๋ว(อาจมีขนาดเท่าอะตอม,ซ้อนกับอะตอม) ซึ่งทางวิทยาศาสตร์(สายสุดโต่ง) จะเน้นไปทางวัตถุทางสสารมวลสาร ที่พิสูจน์ได้ และเน้นที่จับต้อง นำไปใช้ได้ ซึ่งกรณีที่กล่าวถึง จะต้องประกอบกับเรื่องทาง "จิตวิญญาณ" (นามธรรม) ควบคู่กัน (จึงจะสามารถเข้าถึงเข้าใจได้ดีกว่าได้) มิติฝ่ายวิญญาณ (ปรโลก) เป็น มิติช่องความถี่ที่อื่น ซึ่งอยู่ซ้อนกันกับมิติวัตถุ (รูปธรรมควบคู่นามธรรม) ซึ่งตาเนื้อของมนุษย์มองไม่เห็น "ญิน ในอิสลาม" ในขณะที่ทางฝั่งนั้นสามารถเห็นและรับรู้การมีอยู่ของทางวัตุ(โลกมนุษย์) ได้อย่างชัดเจนกว่า
"ควอนตัม" ที่ จขกท.เข้าใจ คือ แบบประมาณว่า ขนมปังหนึ่งแผ่น / ตัวเรา(สเกล)ปัจจุบัน ขนมปังมันขนาดเท่า ฝ่ามือ
ทีนี้ใช้ "ควอนตัม" เข้าช่วย ขนมปังยังคงขนาดเท่าเดิม แต่เราตัวเล็กลง (มโนเรื่อง ANTMAN) ขนมปังก็ย่อมมีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับเรา(ที่ตัวเล็กลง)
สมมติฐานส่วนตัว #ตามสเตตัสของ โปรไฟล์ "เล็กละเอียดไม่สิ้นสุด แต่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต" หากมนุษย์เรา พัฒนา "ควอนตัม" จนเต็มขั้นแล้วหละก็
ประโยคดังกล่าว คงไม่เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป
บางทีเราก็ไม่รู้ (เว้นแต่อ้างอิง TimeLine / Journey บันทึกกาลเวลา/บัญชีหนังหมา) ว่าที่ผ่านมา เราตัวเล็กลง หรือ เอกภพมันใหญ่ขึ้น
ดั่งเช่นว่า "ร่างกายเรา คือ จักรวาลๆ(เอกภพ)หนึ่ง ในอนันตภพ" #อิงรหัสมิติช่องความถี่กับรหัสประชาชน ที่เมื่อเราเสียชีวิตลง จิตจะย่อตัวเข้าไปยัง เอกภพ(ช่องความถี่/มิติ) ในร่าง (เพื่อเคลียร์กรรม)
และการคาบเกี่ยวของมิติ (ที่ใหญ่กว่า และ เล็กกว่า) *เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "คนธรรพ์ และ ยักษ์(ไททั่น)"
บางที เรารับรู้โดย สัมผัสทั้งห้าของตัวเอง โดยเข้าใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์(สเกลมาตรฐาน) โดย คนธรรพ์(ที่ตัวเท่าฝ่ามือมนุษย์) เอง ก็อาจคิดแบบนั้นเช่นกัน
และเมื่อ คนธรรพ์ คิดแบบเรา เขาก็จะเข้าใจว่า มนุษย์ฝั่งเรา (ที่เห็นมนุษย์ฝั่งเขาเป็นคนธรรพ์) เป็น ยักษ์/ไททั่น สำหรับพวกเขา
และก็ซ้อนทับระหว่างมิติ โดยแต่ละมิติ จะมีขั้นบันได และบันได้ของมิติที่คาบเกี่ยวกัน อาจคาบเกี่ยว ระหว่างขั้นบันไดมิติหนึ่ง กับระหว่างขั้นบันไดอีกมิติ(พื้นที่ทับซ้อนระหว่างมิติ #พื้นที่ส่วนที่คาบเกี่ยวระหว่างวงกลมสองวง)
....เราเข้าใจว่าเราคือมนุษย์ และเห็นอีกพวกหนึ่งที่ตัวเล็กกว่า โดยเรียกพวกเขาว่า "คนธรรพ์"
ในขณะที่ "คนธรรพ์" ก็เข้าใจว่าพวกตน คือ มนุษย์สเกลมาตรฐาน และเรียกพวกที่ตัวใหญ่กว่า(สมมติว่าพวกเรา) ว่า ไททั่น/ยักษ์ (ชาวนรกตามคติอิสลาม #ชาวนรกคือชาวยมโลก มีหน้าที่สะท้อนกรรม(ลงทัณฑ์) แก่ "สัตว์นรก" (ที่เป็นพวกมีบาปกรรม และต้องไปชดใช้หนี้กรรม ในนรก)
แถม
ส่วนในชีวิตแต่ละคน ใครจะเป็นสาวนรก ชาวสรรค์ สำหรับตน สำหรับผู้อื่น ก็สุดแล้วแต่กรรมที่ทำร่วมกันมา สำหรับบางรายที่ได้เข้าไปอยู่ในโซนสรรค์ แล้วเมาบุญ(ทนงตน,หลงผิด) แล้วไปก่อเหตุที่ไม่ดี เช่นการไปก่อเหตุกับเจ้าหนี้เก่าของตน(ที่เขาได้ให้อภัยให้อโหสิกรรมตน ซึ่งผู้ก่อเหตุยังติดหนี้เขา) เช่นอาจเพราะ อคติ,หลงผิด,อิจฉาริษยา,โกรธเกลียดโดยส่วนตัว หรือแม้แต่เพราะสันดาน รสนิยม สไตล์ ส่วนตัว ก็ตามแต่ บวกกับการทนงตนหลงผิด เข้าใจว่าตนได้ขึ้นสวรรค์ หลงตัวเองว่าตนเหนือกว่า มีบุญมากกว่าเหยื่อ ที่ซึ่งตนเองเกลียด,อคติ เป็นทุนเดิม แล้วได้ไปก่อเหตุกับเหยื่อ
สิ่งที่เกิดขึ้น มักจะกลายเป็นว่า ผู้ก่อเหตุ ได้ก่อเหตุกับร่างแทนตนของเหยื่อ (ในระหว่างมิติ ของคู่กรณี #พื้นที่ส่วนที่คาบเกี่ยวระหว่างวงกลมสองวง)
ซึ่งเหยื่อ(ผู้ถูกกระทำ) หากเป็นเจ้าหนี้เก่าของผู้ก่อเหตุ ก็จะอยู่ในสถานะชาวนรก สำหรับผู้ก่อเหตุ(อยู่ใน มิติช่องความถี่/โลกธาตุ ของตนเอง) โดยอาจรับรู้การถูกกระทำ ในลักษณะต่างๆ เช่น ถูกยุงกัด ถูกมดกัด (โดยอาจไม่สนใจ ว่าดวงจิตใด(ใคร) อยู่เบื้องหลัง #เน้นสนใจชีวิตตนเองเป็นหลัก) ก็อาจตอบโต้กลับจากการถูกกระทำ เช่น รับรู้จากผัสสะ ว่าถูกมดกัด ด้วยปฏิกริยาตอบโต้อัตโนมัติ(หรือตกใจ,อารมณ์) ก็ได้บี้มดที่กัดตนเสีย ซึ่งเหยื่อก็รับรู้เพียงแค่ตนถูกมดกัด และได้ตอบโต้ โดยบี้มดนั้น หรือ อาจเป่าๆให้มดหลุดออกไป โดยไม่ทำร้ายมัน(ให้โอกาส,อโหสิกรรม,ให้อภัย) ซึ่งหากผู้ก่อเหตุ(ที่อยู่ใน มิติช่องความ,โลกธาตุ ของตน) เป็นผู้ที่ติดหนี้แก่ผู้ถูกกระทำอยู่แล้ว ก็อาจได้รับผลกระทบสะท้อนกลับ(รับกรรม) ได้ในรูปแบบต่างๆ หรืออาจไม่ได้รับผลอะไรในทันที(ได้รับโอาส,ได้รับการให้อภัย/อโหสิกรรม) ส่วนผลรูปแบบอื่นๆ สามารถเกิดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถูกดำเนินคดี เกิดอุบัติเหตุ ได้รับภัยพิบัติ สังคมบูลลี่ สังคมไม่ยอมรับ ถูกปฏิเสธความสัมพันธ์ ฯลฯ
โดยผลนั้นมาจากการถ่ายโอนพลังงาน เช่น เหยื่อบี้มด(ร่างแทนของผู้ก่อเหตุ) พลังงานก็จะถูกส่งจากมดที่ถูกบี้ โดยไหลเวียนไปตามบ่วง/สายกรรม
(ซึ่งมีมิติช่องความถี่หนึ่ง ที่ซึ่งใครทำกรรม(กระทำ)อะไรไว้ จะมีบ่วงกรรมผูกรัด ผู้/สิ่งที่เกี่ยวข้อง โดยมีสายกรรมเชื่อมโยงตามความเกี่ยวพันธ์ ซึ่งกันและกัน แน่นอนว่า พลังงาน(ทั้ง บวก/ลบ) จะถูกส่งผ่านทาง สาย/บ่วง กรรมในมิติช่องความถี่นั้น และเมื่อพลังงานไหลเวียนไปถึงปลายทาง พลังงานก็จะสามารถแปลรูปให้เกิดเหตุการณ์/สิ่ง ต่างๆ(สุดแท้แต่กรรม) แก่ปลายทางได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวหลักๆเกิดจากการปรับสมดุลบาลานซ์โดยธรรมชาติ ผันแปรกับผู้เกี่ยวข้อง(จากการตัดสินใจ)
สำหรับการก่อเหตุในบางกรณี สมมติว่าผู้ก่อเหตุ อยู่ใน ปี 500 ของภพชาติที่ 1 (เอกภพที่ 1) แล้วย้อนไป ปี 300 ด้วยมิจฉาทิกฐิ/แล้วไปเปลี่ยนเหตุการณ์,ประวติศาสตร์,สิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ความเข้าใจของผู้ก่อเหตุนั้น คือ เข้าใจว่า ตน ย้อนไปอดีต แต่ในความเป็นจริง คือจิตไปปรากฏ/ก่อเหตุ ในปี 300 จริง แต่เกิดขึ้นในเอกภพที่ 2 (อนาคต/ชาติหน้า) และสมมติว่าก่อเหตุแล้ว จะกลับไปยังอนาคต(ปี 500) ซึ่งที่ถูก คือ อดีตที่ตนจากมา การกลับไป ปี 500 จริง แต่เป็น ปี 500 ในเอกภพที่ 3 (โดยเจ้าตัว/ผู้ก่อเหตุ อาจจะไม่รู้หรือคาดไม่ถึง) และผลจากการเปลี่ยนแปลงโดยตน(ก่อเหตุ) ก็จะเกิดขึ้น เฉพาะกับตน ในมิติช่องความถี่ของตนเท่านนั้น เช่น อาจมีผล(effect) ที่ทำให้ได้พบได้เห็นในสิ่งที่น่ากลัว(สำหรับตนเอง) และอาจมีแนว วิ่งหนี/ถูกตามล่า หรือ มีการแสดงออกถึงความกลัว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น ในมิติกลาง(สากล # พื้นที่ร่วมส่วนกลาง(ร่วมประวัติศาสตร์ พื้นที่มิติร่วมกัน) เช่น พื้นที่กลางที่คาบเกี่ยวร่วมกันของวงกลมหลายวง) สามารถมี effect ต่างๆกัน เช่น เจ้าตัวอยู่ในมิติช่องความถี่ของตนเอง ได้วิ่งหนี/ตื่นกลัว สิ่งที่สัมพันธ์อยู่(ณ ปัจจุบันนั้นๆของตน) ก็จะส่งผล ให้ร่างแทนของตนในมิติสากล (# พื้นที่ร่วมส่วนกลาง(ร่วมประวัติศาสตร์ พื้นที่มิติร่วมกัน) เช่น พื้นที่กลางที่คาบเกี่ยวร่วมกันของวงกลมหลายวง)
ก็จะแสดงอาการออกมาเหมือนที่ตนเจอ(การแสดงออกของร่างเกิดจากการควบคุมโดยจิตตน เหมือนรีโมท/หุ่นเชิด) โดยที่ผู้อื่นในมิติกลาง จะเห็นว่า คุณ ได้วิ่งหนี/ตื่นกลัว ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น(เห็นเพียงแค่คุณ) #อาการจิตหลุด
ดังนั้น หากท่าน(ผู้อ่าน) จะกระทำการใดใดก็ตามแต่ โปรดไตร่ตรองทบทวน วิเคราะห์ถึงผลที่จะสามารถตามมาแก่ท่าน ในอนาคต ให้ดีอย่างถี่ถ้วน ตัดสินใจให้ดี #คิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ เพื่อตัวท่านเอง