ทิฏฐิ ๖๒
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญา
อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?
(....ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘ ...)
[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
- กำหนดขันธ์ส่วนอดีต
- มีความเห็น ไปตามขันธ์ส่วนอดีต
- ปรารภขันธ์ส่วนอดีต
กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร
~ จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต
- มีความเห็น ไปตามขันธ์ส่วนอดีต
- ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ.
(......สัสสตทิฏฐิ ๔....)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ?
(...ปุพเพนิวาสานุสสติ ๑....)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
- อาศัยความเพียรเครื่อง เผากิเลส
- อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
- อาศัยความประกอบเนืองๆ
- อาศัยความไม่ประมาท
- อาศัย มนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
คือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง
หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติ บ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
"...ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพ โน้น ..."
".....แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น..."
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิด ในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ
อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกชาติ
ได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง
หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น
เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์
ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตา และโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา
ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด
แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑
ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
https://etipitaka.com/read/thai/9/11/
สรุป <----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงในลักษณะของวิญญูชน
ไม่ใช่... มาว่า " กระจอก "..." โมฆะบุรุษ "..." ทำบาปกรรม "...โดยที่ยังไม่ได้สอบถามทวนถามกันเลย
1. ในโลกนี้มีผู้ที่ระลึกชาติได้... เพราะการบำเพ็ญเพียรทางจิต... (..เอาเฉพาะผู้ที่ทำได้จริง..พวกหลอกลวงเรายกไว้..)
พวกนี้รู้ได้ " ตามความเป็นจริงนะ "..รู้ว่าชาตินั้น-ชาติโน้น...ตนเคยเกิดเป็นอะไร?
และ..สามารถถอยไปได้เป็นพันๆ..เป็นแสนชาติ...เลย
2. จากการที่ตนสามารถ..ระลึกชาติได้ ก็เห็นว่า..
- ตนนะ...เวียนว่ายตายเกิดไป....ซ้ำไปซ้ำมา..ตั้งหลายๆรอบแล้ว
- แต่ดันไปเห็นว่า...ภพ..ต่างๆ(..โลก...)...มันอยู่ของมันอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร
(...เนื่องจากทางพุทธศาสนาแล้ว...โลกมีอายุเป็นกัปๆนะ..ไม่ใช่ตามหลักวิทยาศาตร์..ในปัจจุบัน..)
3. จากเหตุผลในข้อ 2. กลุ่มคนที่เห็นอย่างนี้จึงฟันธงไปเลยว่า..555
" เราเที่ยง..และ..โลกเที่ยงแน่นนอน...6,700ล้าน% "
เพราะไรหรือ? เพราะเห็นจริงไง! ก็จากประสพการณ์เนอะ....เล่นซ้ำๆไปแสนครั้ง..แล้วก็เจออย่างเดิมๆ..!!!
4. คำถาม...แล้วทำไม่จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ?
พระศาสดาท่านก็อธิบายว่า...สมณพราหมณ์พวกนี้เราระลึกชาติได้จริง..น๊ะ
5. ถ้าเป็นตัวท่านเอง
...ถ้ามีอีกจะมาเติมเป็นระยะ...ครับ...
ทิฏฐิ62..ตอน-1 : สัสสตทิฏฐิ...เห็นว่าโลกเที่ยง..แล้ว " สัตว์ "...เวียนว่ายตายเกิด
ทิฏฐิ ๖๒
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญา
อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?
(....ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘ ...)
[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
- กำหนดขันธ์ส่วนอดีต
- มีความเห็น ไปตามขันธ์ส่วนอดีต
- ปรารภขันธ์ส่วนอดีต
กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร
~ จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต
- มีความเห็น ไปตามขันธ์ส่วนอดีต
- ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ ๑๘ ประการ.
(......สัสสตทิฏฐิ ๔....)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ
ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ ๔ ประการ?
(...ปุพเพนิวาสานุสสติ ๑....)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
- อาศัยความเพียรเครื่อง เผากิเลส
- อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
- อาศัยความประกอบเนืองๆ
- อาศัยความไม่ประมาท
- อาศัย มนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
คือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง
หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติ บ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
"...ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพ โน้น ..."
".....แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น..."
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิด ในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียร เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ
อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกชาติ
ได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง
หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น
เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์
ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ
ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตา และโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา
ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด
แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑
ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.
https://etipitaka.com/read/thai/9/11/
สรุป <----ผมอาจจะสรุปไม่ถูกต้องนัก ...ถ้าจะแสดงความเห็น..ก็โปรดแสดงในลักษณะของวิญญูชน
ไม่ใช่... มาว่า " กระจอก "..." โมฆะบุรุษ "..." ทำบาปกรรม "...โดยที่ยังไม่ได้สอบถามทวนถามกันเลย
1. ในโลกนี้มีผู้ที่ระลึกชาติได้... เพราะการบำเพ็ญเพียรทางจิต... (..เอาเฉพาะผู้ที่ทำได้จริง..พวกหลอกลวงเรายกไว้..)
พวกนี้รู้ได้ " ตามความเป็นจริงนะ "..รู้ว่าชาตินั้น-ชาติโน้น...ตนเคยเกิดเป็นอะไร?
และ..สามารถถอยไปได้เป็นพันๆ..เป็นแสนชาติ...เลย
2. จากการที่ตนสามารถ..ระลึกชาติได้ ก็เห็นว่า..
- ตนนะ...เวียนว่ายตายเกิดไป....ซ้ำไปซ้ำมา..ตั้งหลายๆรอบแล้ว
- แต่ดันไปเห็นว่า...ภพ..ต่างๆ(..โลก...)...มันอยู่ของมันอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไร
(...เนื่องจากทางพุทธศาสนาแล้ว...โลกมีอายุเป็นกัปๆนะ..ไม่ใช่ตามหลักวิทยาศาตร์..ในปัจจุบัน..)
3. จากเหตุผลในข้อ 2. กลุ่มคนที่เห็นอย่างนี้จึงฟันธงไปเลยว่า..555
" เราเที่ยง..และ..โลกเที่ยงแน่นนอน...6,700ล้าน% "
เพราะไรหรือ? เพราะเห็นจริงไง! ก็จากประสพการณ์เนอะ....เล่นซ้ำๆไปแสนครั้ง..แล้วก็เจออย่างเดิมๆ..!!!
4. คำถาม...แล้วทำไม่จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ?
พระศาสดาท่านก็อธิบายว่า...สมณพราหมณ์พวกนี้เราระลึกชาติได้จริง..น๊ะ
5. ถ้าเป็นตัวท่านเอง
...ถ้ามีอีกจะมาเติมเป็นระยะ...ครับ...