คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เอาลูกผมก็แล้วกันนะ เกิดมาไม่ทันเห็นความลำบากของครอบครัว
ตั้งแต่จำความได้ ปู่ย่า เกษียณหมดแล้ว อยู่บ้านสบายๆ
พ่อแม่การงานอยู่ตัว มีเงิน มี passive income พอเกษียณแล้ว
เตรียมเงินไว้ให้เค้าเรียนจนจบครบถ้วนตั้งแต่เค้าเกิด
ที่บ้านมีคนงาน อยากได้อะไรก็เรียกใช้ ไม่ต้องทำเอง
ต้องคอยอธิบายว่า กว่าพ่อแม่ ปู่ย่าจะสบาย แต่ก่อนลำบากกันมาอย่างไร
ต้องคอยลองพาขึ้นรถเมล์ร้อน ขึ้นสองแถว กินอาหารข้างทาง
เด็กๆต้องแกล้งให้เงินไปโรงเรียนน้อยๆ ให้รู้จักอด มองเพื่อนๆกิน
(แต่มีนมมีขนมใส่กระเป๋าไปให้ แค่มีเงินไม่พอซื้อขนมที่โรงเรียนทุกวัน ต้องสะสมเงินหลายวันเพื่อพอซื้อขนม)
เด็กๆพาไปฉีดวัคซีน คนอื่นมีแต่เค้าบอกลูกว่า ไม่เจ็บหรอกเหมือนโดนมดกัด แต่ลูกผมไม่เคยโดนมดกัดเลยต้องกลับกันบอกลูกว่ามดกัดก็เจ็บพอๆกับฉีดวัคซีน กว่าจะเคยโดนมดกัดครั้งแรกก็ปาไปเกือบ 10 ขวบ
สรุปคือ ต้องพยายามหาบททดสอบที่จะสร้างความอดทน ความพยายาม การรอคอยให้เค้า
ไม่งั้นจะเข้าตำรา เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
พ่อแม่จะสอนลูกแบบนี้ให้ดีได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
ธรรมชาติสร้างสมดุลย์ในตัวเอง คนที่เกิดมาไม่เพียบพร้อม ขัดสน ต้องดิ้นรน ก็จะมีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจมากกว่า
สิ่งที่พ่อแม่สะสมมาให้ ถ้าเป็นทรัพย์สินนอกกาย วันนึงก็มีหมดถ้าลูกไม่เอาไหน
ดังนั้นให้ดูว่าพ่อแม่สะสมต้นทุนอะไรที่เป็นสิ่งที่สามารถติดตัวลูกไปจนตายได้บ้าง เช่น การศึกษา ทัศนะคติบวก ความขยันอดทน รู้จักอดออม ความซี่อสัตย์ ฯลฯ
ตั้งแต่จำความได้ ปู่ย่า เกษียณหมดแล้ว อยู่บ้านสบายๆ
พ่อแม่การงานอยู่ตัว มีเงิน มี passive income พอเกษียณแล้ว
เตรียมเงินไว้ให้เค้าเรียนจนจบครบถ้วนตั้งแต่เค้าเกิด
ที่บ้านมีคนงาน อยากได้อะไรก็เรียกใช้ ไม่ต้องทำเอง
ต้องคอยอธิบายว่า กว่าพ่อแม่ ปู่ย่าจะสบาย แต่ก่อนลำบากกันมาอย่างไร
ต้องคอยลองพาขึ้นรถเมล์ร้อน ขึ้นสองแถว กินอาหารข้างทาง
เด็กๆต้องแกล้งให้เงินไปโรงเรียนน้อยๆ ให้รู้จักอด มองเพื่อนๆกิน
(แต่มีนมมีขนมใส่กระเป๋าไปให้ แค่มีเงินไม่พอซื้อขนมที่โรงเรียนทุกวัน ต้องสะสมเงินหลายวันเพื่อพอซื้อขนม)
เด็กๆพาไปฉีดวัคซีน คนอื่นมีแต่เค้าบอกลูกว่า ไม่เจ็บหรอกเหมือนโดนมดกัด แต่ลูกผมไม่เคยโดนมดกัดเลยต้องกลับกันบอกลูกว่ามดกัดก็เจ็บพอๆกับฉีดวัคซีน กว่าจะเคยโดนมดกัดครั้งแรกก็ปาไปเกือบ 10 ขวบ
สรุปคือ ต้องพยายามหาบททดสอบที่จะสร้างความอดทน ความพยายาม การรอคอยให้เค้า
ไม่งั้นจะเข้าตำรา เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
พ่อแม่จะสอนลูกแบบนี้ให้ดีได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
ธรรมชาติสร้างสมดุลย์ในตัวเอง คนที่เกิดมาไม่เพียบพร้อม ขัดสน ต้องดิ้นรน ก็จะมีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจมากกว่า
สิ่งที่พ่อแม่สะสมมาให้ ถ้าเป็นทรัพย์สินนอกกาย วันนึงก็มีหมดถ้าลูกไม่เอาไหน
ดังนั้นให้ดูว่าพ่อแม่สะสมต้นทุนอะไรที่เป็นสิ่งที่สามารถติดตัวลูกไปจนตายได้บ้าง เช่น การศึกษา ทัศนะคติบวก ความขยันอดทน รู้จักอดออม ความซี่อสัตย์ ฯลฯ
ความคิดเห็นที่ 22
ของผมจบ ม.6 สะพายกระเป๋ามาอยู่ กทม. คนเดียว เพราะพ่อแม่แยกทางกัน ต่างคนต่างไปแต่งงานมีครอบครัวใหม่(ไม่มีใครต้อนรับลูกติด) ส่วนพี่ชายก็ไปมีครอบครัวอยู่จังหวัดอื่น
ทุนชีวิตมีแค่ทะเบียนบ้านฉบับจริงที่มีชื่อผมเหลืออยู่คนเดียวและตัวบ้านไม่มีอยู่แล้วกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด
ขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันมีงานมั่นคง ผ่อนบ้านผ่อนรถกับครอบครัว ส่วนผมต้องเริ่มจากรับจ้างรายวันหาเงินซื้อที่นอน หมอน จาน ชาม ช้อนกินข้าว
วันนึงต้องทำงานควบสองที่เพื่อให้มีเงินเท่ากับเพื่อน ๆ ที่ทำงานครึ่งวัน
อาศัยอยู่ในห้องเช่าคนเดียว ตอนป่วยไข้ ตอนเจอปัญหาก็ต้องสู้คนเดียว อิจฉาคนอื่นมาก ๆ ครับ...ไม่ได้อิจฉาที่คนอื่นมีเงินเยอะ แต่อิจฉาที่ครอบครัวเขาช่วยเหลือกัน ทำอะไรด้วยกัน มีกันและกัน
งานบวชเพื่อน งานรับปริญญาเพื่อนก็ไม่อยากไป เพราะเห็นภาพครอบครัวพวกเขาแล้วมันปวดใจมาก ๆ
ผ่านมา 8 ปีแล้ว ตอนนี้มีงานประจำ แต่ตอนกลางคืนก็ยังไปทำงานพิเศษอยู่ มีมอไซด์ขับ(ผ่อนหมดแล้ว) มีมือถือใช้และพอจะมีเงินเก็บสำรองบ้างนิดหน่อย
ได้แต่หวังว่าสักวันชีวิตเราต้องดีกว่านี้และลูกเราต้องไม่ลำบากแบบที่เราเจอ
ทุนชีวิตมีแค่ทะเบียนบ้านฉบับจริงที่มีชื่อผมเหลืออยู่คนเดียวและตัวบ้านไม่มีอยู่แล้วกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด
ขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันมีงานมั่นคง ผ่อนบ้านผ่อนรถกับครอบครัว ส่วนผมต้องเริ่มจากรับจ้างรายวันหาเงินซื้อที่นอน หมอน จาน ชาม ช้อนกินข้าว
วันนึงต้องทำงานควบสองที่เพื่อให้มีเงินเท่ากับเพื่อน ๆ ที่ทำงานครึ่งวัน
อาศัยอยู่ในห้องเช่าคนเดียว ตอนป่วยไข้ ตอนเจอปัญหาก็ต้องสู้คนเดียว อิจฉาคนอื่นมาก ๆ ครับ...ไม่ได้อิจฉาที่คนอื่นมีเงินเยอะ แต่อิจฉาที่ครอบครัวเขาช่วยเหลือกัน ทำอะไรด้วยกัน มีกันและกัน
งานบวชเพื่อน งานรับปริญญาเพื่อนก็ไม่อยากไป เพราะเห็นภาพครอบครัวพวกเขาแล้วมันปวดใจมาก ๆ
ผ่านมา 8 ปีแล้ว ตอนนี้มีงานประจำ แต่ตอนกลางคืนก็ยังไปทำงานพิเศษอยู่ มีมอไซด์ขับ(ผ่อนหมดแล้ว) มีมือถือใช้และพอจะมีเงินเก็บสำรองบ้างนิดหน่อย
ได้แต่หวังว่าสักวันชีวิตเราต้องดีกว่านี้และลูกเราต้องไม่ลำบากแบบที่เราเจอ
แสดงความคิดเห็น
ลูกคนมีกะตังค์ที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่รู้จักคำว่าลำบาก แถมพ่อแม่ยังปูพื้นฐานชีวิตไว้ให้อีก มันต้องโชคดีขนาดไหนคับ?
( ตัวอย่างที่1 )เพื่อนของผมคับ มันโตขึ้นมาบนครอบครัวที่มีกิจการร้านอาหาร มีบ้านหลังใหญ่โต กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ ครอบครัวให้เงินใช้อาทิตย์ละ5,000 ออกไปเที่ยวผับบาร์ สังสรรค์ จัดงานเลี้ยงปาตี้กับเพื่อนประจำๆ งานวัดเกิดก็จัดใหญ่โตทุกครั้ง เชิญผู้คนมางานมากมาย พ่อแม่ซื้อรถให้ขับ โดยที่ไม่ต้องสร้างด้วยตัวเองเลย โห! ชีวิตโชคดีมาก
( ตัวอย่างที่2 )ลูกพี่ลูกน้องของผมคับ ก็คือลูกของพี่ชายของแม่นั้นแหละ
-ลูกสาวคนเล็กของบ้านเขาไปเรียนมหาลัย พ่อแม่เช่าห่อให้อยู่คนเดียวเดือนละหมื่นบาท เรียนจบไปทำงานที่กรุงเทพ พ่อแม่ก็ดาวน์รถให้ ผ่อนให้อีกต่างหาก
-ลูกพี่ชายคนโตของบ้านเขา เรียนจบมหาลัยแล้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ พ่อแม่ซื้อคอนโดให้เป็นของขวัญ เวลาต่อมาอยากซื้อบ้าน พ่อแม่ก็ดาวน์บ้านให้ แล้วขายคอนโดมาโป๊ะบ้าน
**แค่เริ่มต้นชีวิตต้นทุนก็ต่างกันแล้ว**
ไหนจะเรื่องที่ครอบครัวเขามีที่ดินเป็นร้อยๆเป็นพันไร่ แต่ลูกพี่ลูกน้องผม กลับไม่เคยรู้จักเลยว่าสวนหรือที่ดิน มันอยู่ตรงไหนบ้าง จากที่ลุงเล่าให้ผมฟังครอบครัวแกแทบจะไม่เคยให้ลูกทำงานหนักเลย เข้าสวนหนักสุดก็แค่ใส่ปุ๋ย แต่อย่างอื่นลุงไม่เคยให้ลูกทำเลย กลัวลูกจะเหนื่อย
**ปล.อันนี้เป็นการยกตัวอย่างบุคคลต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพ แค่บางส่วนเท่านั้น
พอมาลองย้อนมองกลับมาในชีวิตผม พ่อแม่ผมสอนให้รู้จักคำว่า"ลำบาก"
ตั้งแต่เด็ก ทั้งตื่นไปเก็บยางก่อนไปโรงเรียน สอนให้กรีดยางเก็บยาง รับจ้างใส่ปุ๋ยปาล์มใส่ปุ๋ยยาง รับจ้างตัดหญ้า รับจ้างปลูกปาล์มปลูกต้นไม้ และอีกต่างๆนาๆ ฯลฯๅ จนตอนนี้ทำงาน กว่าจะมีบ้านสักหลัง มีรถสักคัน มันเหนื่อยมาก พ่อบอกว่า"แบบนี้แหละดีแล้ว ต่อให้พื้นฐานชีวิตเราไม่ดีแบบคนอื่น แต่ถ้าเราสร้างมันด้วยตัวเองได้ เราจะภูมิใจกับมัน และภูมิใจกว่าคนที่พ่อแม่เขาสร้างมาให้ทกอย่าง"
ดังนั้นคำถามที่ผมจะถามเพื่อนๆในวันนี้ก็คือ คนที่เขาอยู่สบาย โตขึ้นมาบนกองเงินกองทอง พ่อแม่ปูทางทุกอย่างมาให้แล้ว มันมีความสุขจริงๆรึป่าวคับ?