ต้นทุนชีวิตต่ำมากๆชนิดที่ว่า พ่อแม่ไม่ได้ให้อะไรเรามาเลย นอกจากเสื้อผ้าที่เราใส่?

คือพ่อแม่หย้าร้างกัน คือสรุปเลยครับ ส่งตัวเองเรียนตั้งแต่ม.1ยันตอนนี้เป็นทนายความ ผมรู้สึกว่ามันเหนื่อยมากๆจากการที่พ่อแม่เห็นแก่ตัวกันแบบนี้
เงินสัก1บาทไม่เคยได้จากพวกเขาเลย ต้องทำงานแลกมันมากเอง

มีใครเจอแย่ๆกว่าผมมั้งไหมครับ?
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ผมกำพร้าตั้งแต่เกิดครับ พ่อแม่หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย ดิ้นรนเอาตัวรอดมาลำพังคนเดียวกว่าจะมาถึงวันนี้ได้เลือดตาแทบกระเด็น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เรานับถือคนสู้ชีวิตแบบ จขกท มากเลยค่ะ
ต่อสู้ ขยัน อดทน จนสามารถส่งเสียตนเองเรียนจนจบปริญญาได้ และ ปัจจุบันนี้มีอาชีพที่ดี

ทำไมไม่มองและภาคภูมิใจในตนเองค่ะ ว่าได้เลือกทางดี แม้จะต้นทุนไม่มาก
จขกท เองเก่งมากนะ ไม่เลือกทางผิด หันไปติดยาเสพติด หรือ ทำตัวเป็นปัญหากับสังคม

จงใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและภาคภูมิใจนะคะ เราคนหนึ่งล่ะที่นับถือคนอย่าง จขกท

จงใช้อดีตมาสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมนะคะ
ความคิดเห็นที่ 25
ผมจะเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวผมให้ฟังนะครับ

ตั้งแต่เด็ก ผมมีพี่น้อง 6 คน
ตั้งแต่เด็กสมัยก่อน ผมได้เงินไปรร. 1 บาท สมัยก่อนจะได้เงินไปเรียน 2 บาท
คือซื้อข้าว 1 บาท นั่นคือ จะไม่ได้กินขนม
ถ้าจะกินขนมวันไหนต้องอดข้าว
ไปเรียนผมไม่เคยมีชุดนักเรียนใหม่เลย
มีแต่รับเค้ามา บางทีกางเกงก็ต้องใช้หนังยางรัด


ตอนไปเข้าลูกเสือ
คือต้องใช้ชุดลูกเสือ อุปกรณ์​เข็มขัด
แต่แม่ขอกว่าไม่มี
แต่ผมไม่มี )และวันก่อนเข้าค่ายคือผมไม่มีชุดเลย (พิมพ์ไปผมก็ร้องให้ตามไปเลยตอนนี้)​ และต้องไปนอนพักอีกหมู่บ้าน
ผมจำได้จวบจนทุกวันนี้ ประมาณรุ่งสาง
เช้าวันนั้นคือแม่มายืนรอ  ไปหาซื้อเข็มขัดลูกเสือมาให้ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าแ ่อาจจะต้องดิ้นรน ด้วยวิธีการอย่างใดอย่างนึงแน่นอน  

พอเข้ามัธยม ช่วงชีวิตวัยแรกรุ่นผมหายไป
เพราะแม่ไม่มีเงินส่งเรียนเหมือนคนทั่วไป
ผมจึงต้องเรียน รร.วัด ซึ่งอยู่ไกลหมู่บ้าน
หลายสิบกิโล ชีวิตม.ต้น อย่างเด็กคนอื่นๆ
ผมไม่เคยได้สัมผัส เลิกเรียนต้องรอพ่อไป
รับ บางวันกว่าพ่อจะไปรับ ก็3-4 ทุ่ม
บางวันพ่อไปรับไม่ได้ ผมก็ต้องเดินเท้าเปล่าลัดเลาะตามทางลูกลัง หลายสิบกิโล
ตอนเรียนช่างปวช พี่สาวสองคนเรียนพานิชย์​ แต่มีมอไซค์ คันเดียว
ผมก็ต้องอาศัยติดรถคนอื่น
บางวันเลิก 5 โมง ก็ต้องรอทุ่มสองทุ่มเพื่อให้รอเขาเลิก  ผมมีเงินไปเรียนแค่วันล่ะ 20 บาทนั่นคือแค่ค่าข้าว ก่อนไปเรียน
ผมต้องทำนาช่วยพ่อแม่ก่อนทุกวัน
พอถึงเวลาคืออาบน้ำแล้วไปเรียน
บางวันแม่ไม่มีเงินก็ต้องไปหายืมเพื่อนบ้านมาให้
ในยุคแรกที่เริ่มมีอินเทอร์เน็ต​
ผมมีความสนใจในอินเทอร์เน็ต​มาก
บางวันผมก็ต้องยอมอดข้าว
เพื่อเแ็นค่าชม.internet ชม.ล่ะ20 บาท

เสาร์อาทิตย์ ผมอิจฉาเพื่อนคนอื่น
ที่ได้นอนดูทีวี พักผ่อนที่บ้าน
แต่ผมต้องไปเลี้ยงควาย ทุกวันหยุด
ตกช่วงหน้าร้อน เสาร์​อาทิตย์
ผมก็ต้องไปปีนต้นมะขามตามท้องทุ่ง
เพื่อมาแกะขายกับแม่
กลางคืนกว่าทุกคืน ต้องแกะเม็ดมะขาม
เพื่อส่งขายทุกวัน

แต่สิ่งเหล่านี้แหละ
ที่มันผลักดันผมจนมาไกล
เกินกว่าที่ทุกคนไม่เชื่อว่าอดีตผมจะเหมือนสิ่งที่ผมเล่า

ความลำบาก
ความด้อยทั้งหมด
มันคือแรงผลักดันสำหรับผม
ผมสอบติดบางมด
พอจบ ผมเดินทางไปอเมริกา
แล้วก็กลับมาทำงานในไทย
ตั้งแต่จบมา ผมเป็นพนักงานไอที
บริชั้นนำต่างชาติทุกที่

ในขณะที่ทุกคนตกงาน
ผมกลับยังเลือกงานได้
และล่าสุด เชื่อมั้ย
ในสถานการณ์​โควิด ที่บางคนตกงาน
บางคนไม่ได้รับเงินเดือน
แต่... ผมได้ปรับขึ้นเงินเดือน
ท่ามกลางสถานการณ์​แบบนี้

ปัจจุบันผมมีคอนโดของตัวเอง
ราคา 3 ลบ.ต้นๆ
ผมเดินทางเที่ยวมาแล้วค่อนโลก
ทานอาหารภัตราคารหรูบ้าง ออกงาน
สังคมชั้นสูงบ้างบางครา
ทุกวันนี้ผมมีเกินกว่าใครหลายคน
จนมีคนไม่น้อยที่อิจฉาชีวิตผม
ทุกวันนั  พ่อแม่ผมกินดีอยู่ดี
มีพร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องเดือดร้อนอะไรเลย


สำหรับผมชีวิตเริ่มต้นจาคำว่าศูนย์
จนเรียกว่าติดลบ
แต่เราทุกคน
สามารถกำหนดและสร้างชีวิต
ของเราได้ครับ

สุดท้าย
หวังว่าเรื่องราวชีวิตของผม
พอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆคนได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 4
คุณผ่านความยากลำบากมาได้แล้ว
ควรภาคถูมิใจสิครับ จะไปน้อยใจทำไม
วันข้างหน้ามีครอบครัว ก็อย่าให้มันผิดพลาดแบบพ่อแม่เราเคยทำพลาด แค่นั้นก็พอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่