.
ณ งานเกษตรแฟร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตหนึ่งที่เธอทำงานอยู่ใกล้ ๆ ทุก ๆ ปีมหาวิทยาลัยจะจัดงานเกษตรแฟร์แบบนี้ขึ้นเสมอ พรนภากับเมธีกำลังเดินชมงานเรื่อย ๆ กะมาเดินเล่นเฉย ๆ ไม่ได้จะซื้ออะไร เพราะเธออยากมา หลังเลิกงานเมธีไปรับจึงพาแวะมาที่นี่
ภายในงานมีทั้งของกิน ของใช้ ต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับวางขายกันเรียงรายตามทางเดิน ขึ้นชื่อว่างานเกษตร ก็ต้องมีจำพวกต้นไม้ดอกไม้ขายมากที่สุด บรรดาของกินก็จะเป็นพวกผลไม้ มะขามหวาน มะขามแช่อิ่ม เกาลัดเป็นต้น ผัดไทยหอยทอดลูกชิ้นทอดบ้างประปรายปะปนกันไป
ผู้คนที่มาเดินชมงานมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่วัยทำงาน วัยรุ่นนักศึกษาเดินสวนกันขวักไขว่ ทุกคนใส่ผ้าปิดจมูกป้องกันไวรัสกันหมด ก็มีบางคนที่ไม่สวมใส่ ดึงลงใต้คางบ้าง ก็ไม่ว่ากันเข้าใจว่าอากาศมันร้อน แม้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ไม่หนาวเท่าที่ควรจะเป็น
ส่วนมากคนที่มาเดินงาน ก็จะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ที่มาเดินชมงาน พรนภาเดินนำหน้า เมธีเดินตามหลัง ทั้งสองเดินเคียงคู่กันชมงานเรื่อย ๆ ยังไม่ซื้ออะไรเลย พึ่งมาถึงกะว่าจะเดินสักสองรอบกันเลยทีเดียว
เมธียกมือขึ้นมาแตะไหล่ของเธอเดินตามกันไป เขาสูงกว่าเธอมาก พรนภาตัวเล็กนิดเดียว ผู้คนมาเดินชมงานเยอะมาก ๆ ทว่ายังพอมีอากาศหายใจ ไม่ถึงกับแน่นเบียดเสียดกัน
“น้องนภาอยากได้อะไรมั้ยคะ” เมธีก้มหัวลงมาคุยกับเธอนิดหน่อย “ดูเอาเลยนะ พี่ซื้อให้ค่ะ”
“หื่อ ไม่อ่ะนภาแค่อยากมาเดินงานเล่นเฉย ๆ พี่เมธีอยากซื้ออะไรมั้ยล่ะ”
“ไม่เหมือนกันค่ะ อือ... พี่ว่างั้นเราหาซื้ออะไรกลับไปทานที่ห้องดีมั้ยล่ะ”
“ได้ค่ะ ซื้ออะไรล่ะ มะขามแช่อิ่มมั้ย นภาชอบกิน” พรนภาเดินไปด้วยคุยกับเมธีไปด้วย เธอเดินนำหน้าเขาตลอด คอยมองหาของกินที่จะซื้อกลับไปทานที่คอนโด ในใจหมายตาไว้มะขามแช่อิ่มต้องได้ อย่างน้อยสองถุงกลับบ้าน
“พี่เมธีกินหอยทอดมั้ย” เธอหยุดเดินพร้อมเงยหน้าถาม “พี่เมธีชอบผัดไทยหรือหอยทอด นภาชอบหอยทอด และก็ต้องเป็นทะเลด้วย อร่อย” เธอยิ้มให้กับเขา
“ก็ได้ค่ะสั่งเลย นภากินไรพี่ก็กินอันนั้นแหละ น้องนภานู่นมะขามแช่อิ่มหนูตรงนู้นน่ะ เดี๋ยวซื้อหอยทอดเสร็จเราค่อยเดินไปซื้อเนอะ กลับเลยน้อพี่อยากกลับแล้วอ่ะ อึดอัด”
เขายืนข้าง ๆ เธอ ยกมือขึ้นมาชวนคอของเธอแบบคนรักเขาทำกัน ไม่สนสายตาคนที่มาเดินงานจะมองอย่างไร ช่างประไรคนรักกัน สมัยนี้ความรักมันออกแบบกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไม่ได้หรอก
“โอเคค่า” พรนภาหันไปตอบคำถามเขา ทำเสียงออดอ้อนน่ารักพร้อมยิ้มให้ เมธียกมือขึ้นมาจับศีรษะด้วยความเอ็นดูแฟนเด็กคนนี้ เขาจะต้องขอเธอแต่งงาน อีกไม่นานเขาสองคนจะต้องแต่งงานกันถูกต้องตามประเพณี และจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแน่นอน จะได้ไม่ต้องถูกนินทา
เมื่อทั้งคู่ซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับคอนโดตนเอง เดินงานเกษตรแฟร์คืนนี้ไม่ได้อะไรเลย นอกจากหอยทอด ของเมธีสองห่อ และมะขามแช่อิ่มของเธอสองห่อแค่นี้ ขอแค่ได้มาเธอก็พอใจ
เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขที่แท้จริงนอกจากได้กินมะขามแช่อิ่มที่ชอบนั่นก็คือ การตามใจ การถูกคนรักตามใจ เอาใจใส่ แคร์ความรู้สึก มันมีความสุขที่สุด สุขที่อธิบายเป็นคำพูดและตัวอักษรไม่ได้ รู้แค่ว่ามันสุขล้นที่ใจ
เธออยากมาเดินงานเกษตรเมธีก็พามา อยากกินชาบู หมูกระทะ ย่างเนย นั่งค่าเฟ่วันหยุด ไปเที่ยวต่างจังหวัด เมธีก็พาไปหมด ตามใจทุกอย่างถ้าเขาว่างและพอมีเวลา ไม่ต้องให้พูดเกินสองครั้ง จึงทำให้เธอหลงและรักผู้ชายคนนี้มากที่สุด
ปั้ง ๆ! เสียงเคาะประตูห้องรัว ๆ ลงน้ำหนักมือแรง ๆ เหมือนเกรงว่าคนข้างในจะไม่ได้ยิน และคงจะเคาะนานแล้ว ถึงได้ลงน้ำหนักมือแรงขนาดนี้
“นภา นภาเปิดประตูให้พี่หน่อย” พรนภาตกใจ สะดุ้งตื่นกลางดึก ลืมตาตื่นอย่างเร็วด้วยเสียงเคาะประตูห้องที่ดังมาก ๆ เธอฝันไปเองเหรอ ฝันอีกแล้ว ฝันถึงเมธีอีกแล้ว และอดที่จะยิ้มให้กับฝันเมื่อครู่ไม่ได้
ก๊อก ๆ ! “นภาเปิดประตูให้หน่อย” เสียงของพี่โค๊ก คราวนี้พี่โค๊กเปลี่ยนจากเคาะประตูห้องเป็นเคาะหน้าต่างแทน พร้อมโทรศัพท์หาเธอด้วย พรนภาตื่นแล้ว ทว่าเล่นตัวยังไม่อยากลุกไปเปิดให้ตอนนี้ มองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ตีสองกว่า ๆ
“นภาเปิดประตูให้พี่หน่อย” เสียงพูดเอื่อย ๆ เหมือนคนเมา กระโชกโฮกฮากเหมือนคนจะอาเจียนด้วย
“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ “ พรนภาลุกขึ้นเปิดไฟห้อง เปิดม่านดูว่าเป็นโค๊กจริงหรือเปล่า พอเธอเปิดม่านดู โค๊กก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้กับเธอที่หน้าต่าง แต่เธอไม่ยิ้มตอบ มองดูเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย มันโกรธจนไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ตีสองกว่า
“ขอโทษ ๆ เค้าขอโทษนะนภา “ โค๊กจะเข้ามาสวมกอดขอโทษเธอ เธอเบี่ยงตัวหลบทัน ทำให้โค๊กถลาล้มลงบนที่นอนและหลับไป ส่วนตนเองก็ปิดไฟนอนต่อเช่นกัน นอนลงข้าง ๆ เขา ตะแคงข้างหันหลังให้กับเขา
“เค้าขอโทษนะตัวเอง” โค๊กพูดขณะหลับและเอื้อมมือมาสวมกอดเธอ พยายามขยับตัวเข้ามาหาเธอให้ชิดที่สุด
พรนภาขยับตัวหนี แกะแขนของเขาที่กอดลำตัวของเธอออก ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากเขาเพราะเมามาก สุดท้ายก็หลับสนิทไม่รู้เรื่องไป แต่เธอยังนอนไม่หลับ ในสมองคิดอะไรไปเรื่อย คิดถึงเมธี คิดถึงฝันเมื่อครู่ก่อนที่โค๊กจะปลุกให้ตื่น คิดถึงเรื่องราววันนี้ของเธอกับโค๊ก คิดอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะปนเปกันไปหมด และทำได้แค่นอนถอนหายใจเท่านั้น
เธอไม่โกรธโค๊กเลย ไม่โกรธแม้แต่น้อย ไม่อยากจะพูดอะไรเลย ไม่อยากบ่น ไม่อยากด่า ในใจมันอยากจะเงียบ เงียบให้ถึงที่สุด ไม่อยากแม้จะอ้าปากเสียด้วยซ้ำ
ภายในใจก็ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเขาทำแบบนี้ได้ไง เขาทำกับเธอแบบนี้ได้ยังไง ตั้งแต่เช้ากลับมาเอาตีสอง เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน! ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ทำไมเขาถึงกล้าทำกับเธอแบบนี้ หรือมันเป็นเรื่องปกติ แฟนบางคนกลับเช้าเหรอ
เธอนอนตะแคงหันหลังให้เขา คิดซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไม่โกรธ ไม่โวยวาย แค่มันอยากรู้ว่าเขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไรกัน มันไม่มากไปเหรอ คิดไม่ได้เลยเหรอ ไม่คิดว่าเธอรอ หรือไม่คิดว่ามีเธอบ้างเลยหรืออย่างไร
“ตัวเองเค้าขอนะวันนี้ วันเดียว”
“เค้าเลิกงานหนึ่งทุ่มต้องเจอนะ ไม่เกินสองทุ่มต้องถึงห้อง” เธอตอบ กลับมาจากทำงานไม่ยอมกลับห้องตัวเองด้วยซ้ำ ทำไมเหรอ ห้องมันไม่น่ากลับแล้วหรือไร ทำไมไม่บอกกันให้รู้แล้วรู้รอดไป ถ้าห้องมันไม่น่าอยู่แล้ว
พวกเธอสองคนคุยกัน เธอหวังมากว่ากลับถึงห้องจะเจอสามีของตน หลายวันที่ไม่อยู่เธอคิดถึงเขาอยู่บ้าง ยอมรับว่าคิดถึง เธอคาดหวังมากเกินไป เขาทำตัวดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็จริง ใช่ว่านิสัยถาวรเขาจะเปลี่ยนไป นิสัยถาวรมันก็คือนิสัยถาวรอยู่วันยังค่ำ
หนึ่งทุ่มกว่า ๆ เธอกลับมาถึงห้องพัก หวังอยากจะเจอสามี คงชื่นใจยิ้มได้หายคิดถึง เห็นประตูห้องปิดสนิท ไฟในห้องปิดมืดไปหมด โค๊กยังไม่กลับมาอีก เธอทำได้แค่ถอนหายใจ เปิดกุญแจเข้าห้อง ไม่น้อยใจ ไม่เสียใจ แปลกมากที่เธอรู้สึกเฉย ๆ อาบน้ำ ทานข้าวคนเดียวปกติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโทรจิกเหวี่ยงไปนานแล้ว โพสต์สู่สาธารณะให้คนรับรู้ไปแล้ว
ห้าทุ่มพี่บ่าวหัวหน้าของโค๊กโทรเข้าเบอร์มือถือเธอ ก่อนหน้านี้ส่งข้อความทางเฟซบุ๊กมา เธอไม่อ่านไม่ตอบกลับ “น้องนภามารับไอ้โค๊กด่วน น็อคหลับกลับบ้านไม่ได้นิ”
พูดเสียงห้วน ๆ พูดภาษากลางสำเนียงใต้ นี่ก็อีกคน มันเป็นอย่างไรกันหรือ ถึงได้พากันเป็นแบบนี้ เธอแทบไม่อยากคุยด้วย นี่หรือ... เกิดคำถามขึ้นในสายตาของเธอเสมอเวลาเจอกัน ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าคนอื่นเขามีคนรอ อย่างว่าแหละ ถ้าคนของเราไม่เป็นเอง ใครจะทำอะไรได้
“ปล่อยมันไว้ที่นั่นแหละค่ะ นภาขี้เกียจไป ถ้าพี่บ่าวจะนอน ก็ลากมันมานอนหน้าบ้านพี่นั่นแหละ แล้วปิดบ้านปล่อยมันนอนนอกเลย นภาไม่ไปหรอก ดึกแล้ว แค่นี้นะคะ” แล้วเธอก็ตัดสายทิ้งไป ไม่สนใจจะไปรับเขาด้วย มาไม่ได้ก็นอนที่นั่นไปเลย
พรนภาปิดไฟห้อง นอนเล่นมือถือและพล่อยหลับไปในที่สุด หลับลึกแค่ไหนไม่อาจทราบได้จนฝันถึงเมธี ฝันที่มีความสุขที่สุด ฝันดีที่สุด ฝันหวานที่สุด ถ้ามันเกิดขึ้นจริงเธอจะมีความสุขแค่ไหน ยังนึกภาพไม่ออกเลย ถ้ามีคนอย่างเมธีในฝันชีวิตนี้คงไม่ต้องการใครอีก
เมธีคนในฝัน คนในจินตนาการของเธอ ถ้าความจริงมันไม่เป็นอย่างที่ฝัน ก็ให้มันอยู่ในจินตนาการของเราก็แล้วกัน สุขอยู่ในใจ สุขที่ไม่มีใครรู้
ความจริงมันทุกข์ทรมานปางตาย ใยจะต้องให้มันตามไปทุกข์ในฝันด้วยล่ะ ขอแค่ได้ฝันถึง ขอแค่ได้นึกถึงก็เพียงพอ
นอนนึกถึงใบหน้า นึกถึงคำพูด นึกถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเมธีภายใต้ความมืดในห้องนอน นึกถึงตอนเด็ก ๆ ว่าตัวเองน้อยใจเก่งแบบนี้มั้ยนะ พร้อมหันไปมองโค๊กที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วเธอก็พล่อยหลับไปอีกรอบในที่สุดเพราะความง่วง
ให้ฝันถึงเมธีอีกครั้งด้วยเถิด !
จบบท...
ฝันหวาน (sweet dream) 10
.
ณ งานเกษตรแฟร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตหนึ่งที่เธอทำงานอยู่ใกล้ ๆ ทุก ๆ ปีมหาวิทยาลัยจะจัดงานเกษตรแฟร์แบบนี้ขึ้นเสมอ พรนภากับเมธีกำลังเดินชมงานเรื่อย ๆ กะมาเดินเล่นเฉย ๆ ไม่ได้จะซื้ออะไร เพราะเธออยากมา หลังเลิกงานเมธีไปรับจึงพาแวะมาที่นี่
ภายในงานมีทั้งของกิน ของใช้ ต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับวางขายกันเรียงรายตามทางเดิน ขึ้นชื่อว่างานเกษตร ก็ต้องมีจำพวกต้นไม้ดอกไม้ขายมากที่สุด บรรดาของกินก็จะเป็นพวกผลไม้ มะขามหวาน มะขามแช่อิ่ม เกาลัดเป็นต้น ผัดไทยหอยทอดลูกชิ้นทอดบ้างประปรายปะปนกันไป
ผู้คนที่มาเดินชมงานมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่วัยทำงาน วัยรุ่นนักศึกษาเดินสวนกันขวักไขว่ ทุกคนใส่ผ้าปิดจมูกป้องกันไวรัสกันหมด ก็มีบางคนที่ไม่สวมใส่ ดึงลงใต้คางบ้าง ก็ไม่ว่ากันเข้าใจว่าอากาศมันร้อน แม้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ไม่หนาวเท่าที่ควรจะเป็น
ส่วนมากคนที่มาเดินงาน ก็จะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ที่มาเดินชมงาน พรนภาเดินนำหน้า เมธีเดินตามหลัง ทั้งสองเดินเคียงคู่กันชมงานเรื่อย ๆ ยังไม่ซื้ออะไรเลย พึ่งมาถึงกะว่าจะเดินสักสองรอบกันเลยทีเดียว
เมธียกมือขึ้นมาแตะไหล่ของเธอเดินตามกันไป เขาสูงกว่าเธอมาก พรนภาตัวเล็กนิดเดียว ผู้คนมาเดินชมงานเยอะมาก ๆ ทว่ายังพอมีอากาศหายใจ ไม่ถึงกับแน่นเบียดเสียดกัน
“น้องนภาอยากได้อะไรมั้ยคะ” เมธีก้มหัวลงมาคุยกับเธอนิดหน่อย “ดูเอาเลยนะ พี่ซื้อให้ค่ะ”
“หื่อ ไม่อ่ะนภาแค่อยากมาเดินงานเล่นเฉย ๆ พี่เมธีอยากซื้ออะไรมั้ยล่ะ”
“ไม่เหมือนกันค่ะ อือ... พี่ว่างั้นเราหาซื้ออะไรกลับไปทานที่ห้องดีมั้ยล่ะ”
“ได้ค่ะ ซื้ออะไรล่ะ มะขามแช่อิ่มมั้ย นภาชอบกิน” พรนภาเดินไปด้วยคุยกับเมธีไปด้วย เธอเดินนำหน้าเขาตลอด คอยมองหาของกินที่จะซื้อกลับไปทานที่คอนโด ในใจหมายตาไว้มะขามแช่อิ่มต้องได้ อย่างน้อยสองถุงกลับบ้าน
“พี่เมธีกินหอยทอดมั้ย” เธอหยุดเดินพร้อมเงยหน้าถาม “พี่เมธีชอบผัดไทยหรือหอยทอด นภาชอบหอยทอด และก็ต้องเป็นทะเลด้วย อร่อย” เธอยิ้มให้กับเขา
“ก็ได้ค่ะสั่งเลย นภากินไรพี่ก็กินอันนั้นแหละ น้องนภานู่นมะขามแช่อิ่มหนูตรงนู้นน่ะ เดี๋ยวซื้อหอยทอดเสร็จเราค่อยเดินไปซื้อเนอะ กลับเลยน้อพี่อยากกลับแล้วอ่ะ อึดอัด”
เขายืนข้าง ๆ เธอ ยกมือขึ้นมาชวนคอของเธอแบบคนรักเขาทำกัน ไม่สนสายตาคนที่มาเดินงานจะมองอย่างไร ช่างประไรคนรักกัน สมัยนี้ความรักมันออกแบบกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไม่ได้หรอก
“โอเคค่า” พรนภาหันไปตอบคำถามเขา ทำเสียงออดอ้อนน่ารักพร้อมยิ้มให้ เมธียกมือขึ้นมาจับศีรษะด้วยความเอ็นดูแฟนเด็กคนนี้ เขาจะต้องขอเธอแต่งงาน อีกไม่นานเขาสองคนจะต้องแต่งงานกันถูกต้องตามประเพณี และจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแน่นอน จะได้ไม่ต้องถูกนินทา
เมื่อทั้งคู่ซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับคอนโดตนเอง เดินงานเกษตรแฟร์คืนนี้ไม่ได้อะไรเลย นอกจากหอยทอด ของเมธีสองห่อ และมะขามแช่อิ่มของเธอสองห่อแค่นี้ ขอแค่ได้มาเธอก็พอใจ
เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขที่แท้จริงนอกจากได้กินมะขามแช่อิ่มที่ชอบนั่นก็คือ การตามใจ การถูกคนรักตามใจ เอาใจใส่ แคร์ความรู้สึก มันมีความสุขที่สุด สุขที่อธิบายเป็นคำพูดและตัวอักษรไม่ได้ รู้แค่ว่ามันสุขล้นที่ใจ
เธออยากมาเดินงานเกษตรเมธีก็พามา อยากกินชาบู หมูกระทะ ย่างเนย นั่งค่าเฟ่วันหยุด ไปเที่ยวต่างจังหวัด เมธีก็พาไปหมด ตามใจทุกอย่างถ้าเขาว่างและพอมีเวลา ไม่ต้องให้พูดเกินสองครั้ง จึงทำให้เธอหลงและรักผู้ชายคนนี้มากที่สุด
ปั้ง ๆ! เสียงเคาะประตูห้องรัว ๆ ลงน้ำหนักมือแรง ๆ เหมือนเกรงว่าคนข้างในจะไม่ได้ยิน และคงจะเคาะนานแล้ว ถึงได้ลงน้ำหนักมือแรงขนาดนี้
“นภา นภาเปิดประตูให้พี่หน่อย” พรนภาตกใจ สะดุ้งตื่นกลางดึก ลืมตาตื่นอย่างเร็วด้วยเสียงเคาะประตูห้องที่ดังมาก ๆ เธอฝันไปเองเหรอ ฝันอีกแล้ว ฝันถึงเมธีอีกแล้ว และอดที่จะยิ้มให้กับฝันเมื่อครู่ไม่ได้
ก๊อก ๆ ! “นภาเปิดประตูให้หน่อย” เสียงของพี่โค๊ก คราวนี้พี่โค๊กเปลี่ยนจากเคาะประตูห้องเป็นเคาะหน้าต่างแทน พร้อมโทรศัพท์หาเธอด้วย พรนภาตื่นแล้ว ทว่าเล่นตัวยังไม่อยากลุกไปเปิดให้ตอนนี้ มองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ตีสองกว่า ๆ
“นภาเปิดประตูให้พี่หน่อย” เสียงพูดเอื่อย ๆ เหมือนคนเมา กระโชกโฮกฮากเหมือนคนจะอาเจียนด้วย
“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ “ พรนภาลุกขึ้นเปิดไฟห้อง เปิดม่านดูว่าเป็นโค๊กจริงหรือเปล่า พอเธอเปิดม่านดู โค๊กก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้กับเธอที่หน้าต่าง แต่เธอไม่ยิ้มตอบ มองดูเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย มันโกรธจนไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ตีสองกว่า
“ขอโทษ ๆ เค้าขอโทษนะนภา “ โค๊กจะเข้ามาสวมกอดขอโทษเธอ เธอเบี่ยงตัวหลบทัน ทำให้โค๊กถลาล้มลงบนที่นอนและหลับไป ส่วนตนเองก็ปิดไฟนอนต่อเช่นกัน นอนลงข้าง ๆ เขา ตะแคงข้างหันหลังให้กับเขา
“เค้าขอโทษนะตัวเอง” โค๊กพูดขณะหลับและเอื้อมมือมาสวมกอดเธอ พยายามขยับตัวเข้ามาหาเธอให้ชิดที่สุด
พรนภาขยับตัวหนี แกะแขนของเขาที่กอดลำตัวของเธอออก ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากเขาเพราะเมามาก สุดท้ายก็หลับสนิทไม่รู้เรื่องไป แต่เธอยังนอนไม่หลับ ในสมองคิดอะไรไปเรื่อย คิดถึงเมธี คิดถึงฝันเมื่อครู่ก่อนที่โค๊กจะปลุกให้ตื่น คิดถึงเรื่องราววันนี้ของเธอกับโค๊ก คิดอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะปนเปกันไปหมด และทำได้แค่นอนถอนหายใจเท่านั้น
เธอไม่โกรธโค๊กเลย ไม่โกรธแม้แต่น้อย ไม่อยากจะพูดอะไรเลย ไม่อยากบ่น ไม่อยากด่า ในใจมันอยากจะเงียบ เงียบให้ถึงที่สุด ไม่อยากแม้จะอ้าปากเสียด้วยซ้ำ
ภายในใจก็ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเขาทำแบบนี้ได้ไง เขาทำกับเธอแบบนี้ได้ยังไง ตั้งแต่เช้ากลับมาเอาตีสอง เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน! ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ทำไมเขาถึงกล้าทำกับเธอแบบนี้ หรือมันเป็นเรื่องปกติ แฟนบางคนกลับเช้าเหรอ
เธอนอนตะแคงหันหลังให้เขา คิดซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไม่โกรธ ไม่โวยวาย แค่มันอยากรู้ว่าเขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไรกัน มันไม่มากไปเหรอ คิดไม่ได้เลยเหรอ ไม่คิดว่าเธอรอ หรือไม่คิดว่ามีเธอบ้างเลยหรืออย่างไร
“ตัวเองเค้าขอนะวันนี้ วันเดียว”
“เค้าเลิกงานหนึ่งทุ่มต้องเจอนะ ไม่เกินสองทุ่มต้องถึงห้อง” เธอตอบ กลับมาจากทำงานไม่ยอมกลับห้องตัวเองด้วยซ้ำ ทำไมเหรอ ห้องมันไม่น่ากลับแล้วหรือไร ทำไมไม่บอกกันให้รู้แล้วรู้รอดไป ถ้าห้องมันไม่น่าอยู่แล้ว
พวกเธอสองคนคุยกัน เธอหวังมากว่ากลับถึงห้องจะเจอสามีของตน หลายวันที่ไม่อยู่เธอคิดถึงเขาอยู่บ้าง ยอมรับว่าคิดถึง เธอคาดหวังมากเกินไป เขาทำตัวดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็จริง ใช่ว่านิสัยถาวรเขาจะเปลี่ยนไป นิสัยถาวรมันก็คือนิสัยถาวรอยู่วันยังค่ำ
หนึ่งทุ่มกว่า ๆ เธอกลับมาถึงห้องพัก หวังอยากจะเจอสามี คงชื่นใจยิ้มได้หายคิดถึง เห็นประตูห้องปิดสนิท ไฟในห้องปิดมืดไปหมด โค๊กยังไม่กลับมาอีก เธอทำได้แค่ถอนหายใจ เปิดกุญแจเข้าห้อง ไม่น้อยใจ ไม่เสียใจ แปลกมากที่เธอรู้สึกเฉย ๆ อาบน้ำ ทานข้าวคนเดียวปกติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโทรจิกเหวี่ยงไปนานแล้ว โพสต์สู่สาธารณะให้คนรับรู้ไปแล้ว
ห้าทุ่มพี่บ่าวหัวหน้าของโค๊กโทรเข้าเบอร์มือถือเธอ ก่อนหน้านี้ส่งข้อความทางเฟซบุ๊กมา เธอไม่อ่านไม่ตอบกลับ “น้องนภามารับไอ้โค๊กด่วน น็อคหลับกลับบ้านไม่ได้นิ”
พูดเสียงห้วน ๆ พูดภาษากลางสำเนียงใต้ นี่ก็อีกคน มันเป็นอย่างไรกันหรือ ถึงได้พากันเป็นแบบนี้ เธอแทบไม่อยากคุยด้วย นี่หรือ... เกิดคำถามขึ้นในสายตาของเธอเสมอเวลาเจอกัน ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าคนอื่นเขามีคนรอ อย่างว่าแหละ ถ้าคนของเราไม่เป็นเอง ใครจะทำอะไรได้
“ปล่อยมันไว้ที่นั่นแหละค่ะ นภาขี้เกียจไป ถ้าพี่บ่าวจะนอน ก็ลากมันมานอนหน้าบ้านพี่นั่นแหละ แล้วปิดบ้านปล่อยมันนอนนอกเลย นภาไม่ไปหรอก ดึกแล้ว แค่นี้นะคะ” แล้วเธอก็ตัดสายทิ้งไป ไม่สนใจจะไปรับเขาด้วย มาไม่ได้ก็นอนที่นั่นไปเลย
พรนภาปิดไฟห้อง นอนเล่นมือถือและพล่อยหลับไปในที่สุด หลับลึกแค่ไหนไม่อาจทราบได้จนฝันถึงเมธี ฝันที่มีความสุขที่สุด ฝันดีที่สุด ฝันหวานที่สุด ถ้ามันเกิดขึ้นจริงเธอจะมีความสุขแค่ไหน ยังนึกภาพไม่ออกเลย ถ้ามีคนอย่างเมธีในฝันชีวิตนี้คงไม่ต้องการใครอีก
เมธีคนในฝัน คนในจินตนาการของเธอ ถ้าความจริงมันไม่เป็นอย่างที่ฝัน ก็ให้มันอยู่ในจินตนาการของเราก็แล้วกัน สุขอยู่ในใจ สุขที่ไม่มีใครรู้
ความจริงมันทุกข์ทรมานปางตาย ใยจะต้องให้มันตามไปทุกข์ในฝันด้วยล่ะ ขอแค่ได้ฝันถึง ขอแค่ได้นึกถึงก็เพียงพอ
นอนนึกถึงใบหน้า นึกถึงคำพูด นึกถึงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเมธีภายใต้ความมืดในห้องนอน นึกถึงตอนเด็ก ๆ ว่าตัวเองน้อยใจเก่งแบบนี้มั้ยนะ พร้อมหันไปมองโค๊กที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วเธอก็พล่อยหลับไปอีกรอบในที่สุดเพราะความง่วง
ให้ฝันถึงเมธีอีกครั้งด้วยเถิด !
จบบท...