คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
อ่านแล้ว...
เขายินดีที่จะจดทะเบียนกับคุณนี่ครับ...
แต่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาไม่อยากจัดงานแต่งฯกับคุณ...
ด้วยอายุของเขา (45) เป็นไปได้ไหมว่าเขาเคยแต่งงานมาแล้ว ?
และ.... การแต่งงานนั้นสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเลิกรา...
เขาเลยมองว่า การจัดงานแต่งฯ ไม่ใช่เรื่องจำเป็น มีแต่สิ้นเปลืองเท่านั้น...
เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเชิญ ญาติ เชิญเพื่อนฝูง มาร่วมงานมงคลซ้ำอีกครั้ง (แต่เปลี่ยนเจ้าสาว)
ใน comment ของคุณ (ความเห็นที่ 1-1) คุณบอกว่า....
" เรื่องแต่งงาน แค่เขาพูดมาว่าไม่ต้องจัดใหญ่โตดิฉันเองก็พร้อมรับฟัง "
แล้วคุณได้บอกเขาไปแบบนี้ไหมล่ะครับ หรือคุณรอเขาเอ่ยปากก่อน ?
เขารู้ว่าคุณอยากจะมีงานแต่ง อยากจะเชิญญาติ เชิญเพื่อน เพื่อเป็นการป่าวประกาศ
ซึ่ง... เขาไม่คิดว่าคุณจะเชิญแขกมาร่วมงานเพียง 5-10 คนแน่ๆ
เขาก็เลยไม่พูดเรื่องจัดงานเล็กๆไงครับ... เพราะรู้ว่าถ้าพูดไป อาจทำให้คุณเสียใจ...
อาจทำให้คุณรู้สึกว่า... " ทำให้ฉันได้แค่นี้เองเหรอ "
การที่เขาซื้อแหวนให้คุณและขอคุณแต่งงานมันหมายถึงอะไร ?
มันหมายถึง เขาอยากดูแลคุณ... เขาพร้อมดูแลคุณ... เขาพยายามแสดงเจตนาของเขาอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว...
เขาเพียงแค่แอบหวังไว้เท่านั้นว่าคุณจะตอบเขาไปว่า..... " ฉันยินดีแต่งงานกับคุณค่ะ เราจัดงานเล็กๆกันก็พอเนอะ "
แค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ.... แต่ก็ไม่มีประโยคนั้นออกจากปากคุณ... คุณยังคงวาดฝันสวยหรูอยู่เช่นเดิม...
ตอนที่คุณคืนแหวนให้เขา...
คุณอาจเห็นว่าเขา " เงียบและไม่ตอบกลับอะไรมา "
แต่เชื่อเถอะว่าความรู้สึกเขาในตอนนั้นคงปวดร้าวไม่น้อย..... กับความคิดที่พรั่งพรูและวนเวียนอยู่ในหัวว่า.......
" เวลาเกือบ 6 ปีที่ผ่านมามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย.... เธอเลือกที่จะเลิกกับเรา เพียงเพราะเธอไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว...
เธอแคร์คนรอบข้าง มากกว่าคนที่อยู่ตรงหน้า... "
อยากให้ลองหาโอกาสคุยกันอีกสักครั้งครับ... ไม่อยากให้เลิกกันเลย....
ผมเชื่อว่าเขารักคุณไม่น้อย.... ผู้ชายบางคนยินดีที่จะจัดงานแต่งฯ แต่ไม่ยอมจดทะเบียนนะครับ....
ในขณะที่.... เขายินดีที่จะจดทะเบียนกับคุณ... ยินดีที่จะรับคุณเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย...
เขาเพียงแค่ไม่อยากจัดงานแต่งฯ เท่านั้นเอง...
เขายินดีที่จะจดทะเบียนกับคุณนี่ครับ...
แต่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาไม่อยากจัดงานแต่งฯกับคุณ...
ด้วยอายุของเขา (45) เป็นไปได้ไหมว่าเขาเคยแต่งงานมาแล้ว ?
และ.... การแต่งงานนั้นสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเลิกรา...
เขาเลยมองว่า การจัดงานแต่งฯ ไม่ใช่เรื่องจำเป็น มีแต่สิ้นเปลืองเท่านั้น...
เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเชิญ ญาติ เชิญเพื่อนฝูง มาร่วมงานมงคลซ้ำอีกครั้ง (แต่เปลี่ยนเจ้าสาว)
ใน comment ของคุณ (ความเห็นที่ 1-1) คุณบอกว่า....
" เรื่องแต่งงาน แค่เขาพูดมาว่าไม่ต้องจัดใหญ่โตดิฉันเองก็พร้อมรับฟัง "
แล้วคุณได้บอกเขาไปแบบนี้ไหมล่ะครับ หรือคุณรอเขาเอ่ยปากก่อน ?
เขารู้ว่าคุณอยากจะมีงานแต่ง อยากจะเชิญญาติ เชิญเพื่อน เพื่อเป็นการป่าวประกาศ
ซึ่ง... เขาไม่คิดว่าคุณจะเชิญแขกมาร่วมงานเพียง 5-10 คนแน่ๆ
เขาก็เลยไม่พูดเรื่องจัดงานเล็กๆไงครับ... เพราะรู้ว่าถ้าพูดไป อาจทำให้คุณเสียใจ...
อาจทำให้คุณรู้สึกว่า... " ทำให้ฉันได้แค่นี้เองเหรอ "
การที่เขาซื้อแหวนให้คุณและขอคุณแต่งงานมันหมายถึงอะไร ?
มันหมายถึง เขาอยากดูแลคุณ... เขาพร้อมดูแลคุณ... เขาพยายามแสดงเจตนาของเขาอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว...
เขาเพียงแค่แอบหวังไว้เท่านั้นว่าคุณจะตอบเขาไปว่า..... " ฉันยินดีแต่งงานกับคุณค่ะ เราจัดงานเล็กๆกันก็พอเนอะ "
แค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ.... แต่ก็ไม่มีประโยคนั้นออกจากปากคุณ... คุณยังคงวาดฝันสวยหรูอยู่เช่นเดิม...
ตอนที่คุณคืนแหวนให้เขา...
คุณอาจเห็นว่าเขา " เงียบและไม่ตอบกลับอะไรมา "
แต่เชื่อเถอะว่าความรู้สึกเขาในตอนนั้นคงปวดร้าวไม่น้อย..... กับความคิดที่พรั่งพรูและวนเวียนอยู่ในหัวว่า.......
" เวลาเกือบ 6 ปีที่ผ่านมามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย.... เธอเลือกที่จะเลิกกับเรา เพียงเพราะเธอไม่ได้ใส่ชุดเจ้าสาว...
เธอแคร์คนรอบข้าง มากกว่าคนที่อยู่ตรงหน้า... "
อยากให้ลองหาโอกาสคุยกันอีกสักครั้งครับ... ไม่อยากให้เลิกกันเลย....
ผมเชื่อว่าเขารักคุณไม่น้อย.... ผู้ชายบางคนยินดีที่จะจัดงานแต่งฯ แต่ไม่ยอมจดทะเบียนนะครับ....
ในขณะที่.... เขายินดีที่จะจดทะเบียนกับคุณ... ยินดีที่จะรับคุณเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย...
เขาเพียงแค่ไม่อยากจัดงานแต่งฯ เท่านั้นเอง...
ความคิดเห็นที่ 8
ผมอ่านจากที่คุณเขียนระบายมา เข้าใจและรับรู้ได้ว่า คุณมีความฝันในการจัดงานแต่ง
แต่คุณไม่น่าเอาเงื่อนไขนี้ มาแลกกับ ควาุขแท้จริง ที่อยู่ด้วยกัน ส่ิงที่คุณอ้างว่า เป็นการให้เกียรติผู้ใหญ่ อันนี้เห็นด้วย
การให้เกียรติ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานแต่งที่เป็นพิธีการ เชิญแขกใหญ่โต
เพราะฝ่ายชายก็บอกแล้ว ว่า เขายินดีจดทะเบียนสมรส
คุณก็ขอเขาว่า ขอจัดแบบบ้านๆ สบายๆ ให้เกียรติพ่อแม่ จัดแบบง่ายๆ พ่อแม่สองฝ่าย ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนสนิท ยิ่งช่วง Covid ด้วย อ้างได้เลย ขออภัยที่ไม่ได้เชิญ
ผมว่า เขาไม่ชอบภาพพวกนี้ รบกวนแขกเหรื่อด้วยซ้ำ การแต่งงาน เป็นเรื่องคนสองคน ญาติผู้ใหญ่ พอเลย จะมีอีกนิดหน่อยก็เพื่อนสนิท
แต่หากจะต้องไปตาม รูปแบบการตลาด มีถ่ายภาพ ทำคลิป เชิญแขกผู้ใหญ่มากล่าว บางคนมองว่าสร้างภาพ
ไม่น้อยเลย ที่จัดแล้วก็.หย่าล้าง มันไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันว่า รักนี้นิรันดร์
เสียดาย ที่คุณให้ราคามันมากไป เมื่อเทียบกับความดี ที่คุณพรรณาบุคลิกของแฟนคุณ
แถมคุณยัง ตีราคาความรักเขา แลกกับการจัดงาน ซึ่งเป็นแค่กิจกรรมหนึ่งเท่านั้น
หาความหมาย ของคำว่า การให้เกียรติผู้ใหญ่ ใหม่ดีไหมครับ ว่ากิจกรรมแค่ไหนที่ให้เกียรติพ่อแม่คุณ
การให้เกียรติ คือ เอาผู้ใหญ่มาสู่ขอ ให้คำมั่นสัญญาการดูแล แทนพ่อแม่เขา
ให้ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันว่า ไม่ได้แค่ต้องการคุณไปเป็นคนรับใช้ ทำงานบ้าน แต่เป็นคู่ชีวิต ดูแลกัน
จัดกิจกรรม ง่ายๆ กินเลี้ยงฉลองสองครอบครัว มีเพื่อนสนิทมาร่วมด้วยนิดหน่อย
ในยุคสมัใหม่ ผมว่า แบบนี้ก็น่ารักดีออก อย่าให้ชีวิตเรามีเงื่อนไขทางสังคมมากเลยนะครับ
ที่เขียนมาเช่นนี้ อาจจะดูว่า เขาข้างผู้ชายด้วยกัน แต่ผมอยากจะชวนคุณ ทบทวนและเปรียบเทียบอีกครั้งว่า
กิจกรรม งานแต่งงาน มันมีรูปแบบเดียวหรือ และมันมีค่ามากกว่า ความดีในหลายปีของเขาหรือ
แฟนคุณอาจจะรู้สึกว่า กำลังโดนข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า ไม่ทำเลิก มันทางเลือกเดียวเลยหรือครับ ชีวิตนี้
ถามตัวเองแล้วคุยกันอีกครั้งเถอะครับ
แต่คุณไม่น่าเอาเงื่อนไขนี้ มาแลกกับ ควาุขแท้จริง ที่อยู่ด้วยกัน ส่ิงที่คุณอ้างว่า เป็นการให้เกียรติผู้ใหญ่ อันนี้เห็นด้วย
การให้เกียรติ ไม่จำเป็นต้องเป็นงานแต่งที่เป็นพิธีการ เชิญแขกใหญ่โต
เพราะฝ่ายชายก็บอกแล้ว ว่า เขายินดีจดทะเบียนสมรส
คุณก็ขอเขาว่า ขอจัดแบบบ้านๆ สบายๆ ให้เกียรติพ่อแม่ จัดแบบง่ายๆ พ่อแม่สองฝ่าย ญาติผู้ใหญ่ เพื่อนสนิท ยิ่งช่วง Covid ด้วย อ้างได้เลย ขออภัยที่ไม่ได้เชิญ
ผมว่า เขาไม่ชอบภาพพวกนี้ รบกวนแขกเหรื่อด้วยซ้ำ การแต่งงาน เป็นเรื่องคนสองคน ญาติผู้ใหญ่ พอเลย จะมีอีกนิดหน่อยก็เพื่อนสนิท
แต่หากจะต้องไปตาม รูปแบบการตลาด มีถ่ายภาพ ทำคลิป เชิญแขกผู้ใหญ่มากล่าว บางคนมองว่าสร้างภาพ
ไม่น้อยเลย ที่จัดแล้วก็.หย่าล้าง มันไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันว่า รักนี้นิรันดร์
เสียดาย ที่คุณให้ราคามันมากไป เมื่อเทียบกับความดี ที่คุณพรรณาบุคลิกของแฟนคุณ
แถมคุณยัง ตีราคาความรักเขา แลกกับการจัดงาน ซึ่งเป็นแค่กิจกรรมหนึ่งเท่านั้น
หาความหมาย ของคำว่า การให้เกียรติผู้ใหญ่ ใหม่ดีไหมครับ ว่ากิจกรรมแค่ไหนที่ให้เกียรติพ่อแม่คุณ
การให้เกียรติ คือ เอาผู้ใหญ่มาสู่ขอ ให้คำมั่นสัญญาการดูแล แทนพ่อแม่เขา
ให้ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันว่า ไม่ได้แค่ต้องการคุณไปเป็นคนรับใช้ ทำงานบ้าน แต่เป็นคู่ชีวิต ดูแลกัน
จัดกิจกรรม ง่ายๆ กินเลี้ยงฉลองสองครอบครัว มีเพื่อนสนิทมาร่วมด้วยนิดหน่อย
ในยุคสมัใหม่ ผมว่า แบบนี้ก็น่ารักดีออก อย่าให้ชีวิตเรามีเงื่อนไขทางสังคมมากเลยนะครับ
ที่เขียนมาเช่นนี้ อาจจะดูว่า เขาข้างผู้ชายด้วยกัน แต่ผมอยากจะชวนคุณ ทบทวนและเปรียบเทียบอีกครั้งว่า
กิจกรรม งานแต่งงาน มันมีรูปแบบเดียวหรือ และมันมีค่ามากกว่า ความดีในหลายปีของเขาหรือ
แฟนคุณอาจจะรู้สึกว่า กำลังโดนข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า ไม่ทำเลิก มันทางเลือกเดียวเลยหรือครับ ชีวิตนี้
ถามตัวเองแล้วคุยกันอีกครั้งเถอะครับ
ความคิดเห็นที่ 50
คุณรักผู้ชายคนนี้จริงๆหรือคะ หรือใครก็ได้เพียงแค่คุณอยากเข้าพิธีแต่งงาน ใส่ชุดเจ้าสาว
ทำไมเราอ่านแล้วเราเห็นแต่ความอยาก อยากให้เป็นแบบนั้น แบบนี้ อ่านแล้ว อึดอัด คุณเอาแต่คร่ำครวญ ว่ารัก
ปากก็บอกว่ารักเขา แต่คุณก็คิดถึงความต้องการของตัวคุณเป็นหลักมีแต่ความต้องการของคุณเต็มไปหมด
ต้องอย่างนั้นสิ ต้องอย่างนี้สิ จดทะเบียนอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีพิธีแต่งงานด้วย ต้องมีหน้ามีตาในสังคม ในหมู่ญาติมิตร
แล้วพูดถึงความต้องการของฝ่ายชายน้อยมาก เช่น เขาไม่อยากแต่งงาน เขาอยากแค่จดทะเบียนสมรสเฉยๆ
เรากลับมองว่า ผู้ชายเป็นฝ่ายขอคุณแต่งงาน ให้แหวน ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย นั่นคือความจริงใจที่สุดของเขาแล้ว
การจดทะเบียนสมรสคือการผูกมัดขั้นสุด มากยิ่งกว่า พิธีรีตองใดๆ พิธีรีตองมันใช้ไม่ได้ตามกฎหมายค่ะ
ส่วนทำไมไม่พาพ่อแม่เขามาสู่ขอคุณ คุณน่าจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า
ครอบครัวพ่อแม่ของฝ่ายชาย อยู่ครบทั้งสองท่านหรือไม่ มีใครเจ็บป่วยไม่สบายไหม (จำเป็นต้องสำรองเงินเป็นค่ารักษาไหม)
ท่านเอ็นดูคุณแค่ไหน เข้ากันกับพ่อแม่ ญาติๆ ฝั่งเขาได้มากหรือน้อย ขอคิดในมุมต่างออกไป
พ่อแม่ฝ่ายชาย อาจจะคิดไม่เหมือนพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิง หากสมมติลูกเราอยู่กินก่อนแต่งกับเขาแล้ว
ก็อยากให้มีพิธีแต่งงาน เรื่องหน้าตาก็มีส่วน เพื่อรักษาหน้าตาในสังคม
ส่วนพ่อแม่ฝ่ายชายอาจจะคิดก็ได้ว่า จัดพิธีรีตองเยอะทำไมสิ้นเปลือง อยู่ด้วยกันแล้ว
ควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ สร้างครอบครัว คุณอยู่กันก่อนแต่งใช่ไหมคะ หากมันเลยมาถึงขั้นนั้นแล้ว จะย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นที่จะจัดพิธีแต่งงานทำไม สู้เอาเงินที่มีมาทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับทั้งคุณทั้งลูก เก็บเงินเพื่ออนาคตดีกว่าไหมอะ งานแต่ง มันมีรายละเอียดเยอะ และใช้เงินไม่น้อย
คิอมันเยอะ เยอะจนเหนื่อยเลยแหละ เราว่า แฟนคุณเป็นคนที่สมถะ แบบไม่ชอบอะไรที่มันเยอะๆ ไม่ชอบพิธีรีตอง เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง
เรามองอย่างคนนอก ปัญหาที่ทำให้เลิกกัน ไม่ใช่เรื่องคนนึงอยากแต่ง คนนึงไม่อยากแต่ง
แต่มันคือความไม่เข้าใจกัน เป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน และที่พังจริงๆ คือความคาดหวัง
คุณก็แบกรับความคาดหวังของพ่อแม่คุณ คุณก็รู้สึกหนักหนาและเป็นทุกข์ที่ต้องแบกมันไว้ และต้องทำให้สำเร็จ
เขาก็คงเป็นทุกข์ไม่น้อย ที่ทำตามความต้องการของคุณไม่ได้มันฝืนความรู้สึกลึกๆ ที่เขาไม่อยากจัดพิธีแต่งงาน
และเขาไม่อยากทำเพราะรู้สึกวา มันอึดอัด มันเหมือนโดนบีบบังคับ มันเยอะ และที่เลิกกันเพราะเหนื่อย คุณบีบเขามากไป
ไม่มีใครมีหน้าที่เติมเต็มความสุขในชีวิตให้เรานะคะ เราต้องสร้างความสุขของเราเอง แล้วมอบให้คนที่เรารู้สึกรัก
และรู้สึกว่าเขาสำคัญมากที่สุดในชีวิตคนนึง และอยากดูแลเขาให้ดี
การอยู่ร่วมชีวิตกับใครสักคน เราจะต้องแชร์ สุข - ทุกข์ร่วมกันกับเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาความรู้สึกเขา มาดูแลใส่ใจ
ความสุขของคุณควรอยากเห็นคนที่คุณรักมีความสุข ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาทำให้คุณมีความสุข มันจะเหนื่อยทั้งคู่ค่ะ
คนทุกข์กับคนคนทุกข์สองคนมาเจอกัน แล้วคิดว่า อยู่ด้วยกัน แล้วจะมีความสุข กลับพบว่า ทุกข์มากด้วยกันทั้งคู่
*แก้ไขคำผิด
ทำไมเราอ่านแล้วเราเห็นแต่ความอยาก อยากให้เป็นแบบนั้น แบบนี้ อ่านแล้ว อึดอัด คุณเอาแต่คร่ำครวญ ว่ารัก
ปากก็บอกว่ารักเขา แต่คุณก็คิดถึงความต้องการของตัวคุณเป็นหลักมีแต่ความต้องการของคุณเต็มไปหมด
ต้องอย่างนั้นสิ ต้องอย่างนี้สิ จดทะเบียนอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีพิธีแต่งงานด้วย ต้องมีหน้ามีตาในสังคม ในหมู่ญาติมิตร
แล้วพูดถึงความต้องการของฝ่ายชายน้อยมาก เช่น เขาไม่อยากแต่งงาน เขาอยากแค่จดทะเบียนสมรสเฉยๆ
เรากลับมองว่า ผู้ชายเป็นฝ่ายขอคุณแต่งงาน ให้แหวน ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย นั่นคือความจริงใจที่สุดของเขาแล้ว
การจดทะเบียนสมรสคือการผูกมัดขั้นสุด มากยิ่งกว่า พิธีรีตองใดๆ พิธีรีตองมันใช้ไม่ได้ตามกฎหมายค่ะ
ส่วนทำไมไม่พาพ่อแม่เขามาสู่ขอคุณ คุณน่าจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า
ครอบครัวพ่อแม่ของฝ่ายชาย อยู่ครบทั้งสองท่านหรือไม่ มีใครเจ็บป่วยไม่สบายไหม (จำเป็นต้องสำรองเงินเป็นค่ารักษาไหม)
ท่านเอ็นดูคุณแค่ไหน เข้ากันกับพ่อแม่ ญาติๆ ฝั่งเขาได้มากหรือน้อย ขอคิดในมุมต่างออกไป
พ่อแม่ฝ่ายชาย อาจจะคิดไม่เหมือนพ่อแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิง หากสมมติลูกเราอยู่กินก่อนแต่งกับเขาแล้ว
ก็อยากให้มีพิธีแต่งงาน เรื่องหน้าตาก็มีส่วน เพื่อรักษาหน้าตาในสังคม
ส่วนพ่อแม่ฝ่ายชายอาจจะคิดก็ได้ว่า จัดพิธีรีตองเยอะทำไมสิ้นเปลือง อยู่ด้วยกันแล้ว
ควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ สร้างครอบครัว คุณอยู่กันก่อนแต่งใช่ไหมคะ หากมันเลยมาถึงขั้นนั้นแล้ว จะย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นที่จะจัดพิธีแต่งงานทำไม สู้เอาเงินที่มีมาทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับทั้งคุณทั้งลูก เก็บเงินเพื่ออนาคตดีกว่าไหมอะ งานแต่ง มันมีรายละเอียดเยอะ และใช้เงินไม่น้อย
คิอมันเยอะ เยอะจนเหนื่อยเลยแหละ เราว่า แฟนคุณเป็นคนที่สมถะ แบบไม่ชอบอะไรที่มันเยอะๆ ไม่ชอบพิธีรีตอง เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง
เรามองอย่างคนนอก ปัญหาที่ทำให้เลิกกัน ไม่ใช่เรื่องคนนึงอยากแต่ง คนนึงไม่อยากแต่ง
แต่มันคือความไม่เข้าใจกัน เป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน และที่พังจริงๆ คือความคาดหวัง
คุณก็แบกรับความคาดหวังของพ่อแม่คุณ คุณก็รู้สึกหนักหนาและเป็นทุกข์ที่ต้องแบกมันไว้ และต้องทำให้สำเร็จ
เขาก็คงเป็นทุกข์ไม่น้อย ที่ทำตามความต้องการของคุณไม่ได้มันฝืนความรู้สึกลึกๆ ที่เขาไม่อยากจัดพิธีแต่งงาน
และเขาไม่อยากทำเพราะรู้สึกวา มันอึดอัด มันเหมือนโดนบีบบังคับ มันเยอะ และที่เลิกกันเพราะเหนื่อย คุณบีบเขามากไป
ไม่มีใครมีหน้าที่เติมเต็มความสุขในชีวิตให้เรานะคะ เราต้องสร้างความสุขของเราเอง แล้วมอบให้คนที่เรารู้สึกรัก
และรู้สึกว่าเขาสำคัญมากที่สุดในชีวิตคนนึง และอยากดูแลเขาให้ดี
การอยู่ร่วมชีวิตกับใครสักคน เราจะต้องแชร์ สุข - ทุกข์ร่วมกันกับเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาความรู้สึกเขา มาดูแลใส่ใจ
ความสุขของคุณควรอยากเห็นคนที่คุณรักมีความสุข ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาทำให้คุณมีความสุข มันจะเหนื่อยทั้งคู่ค่ะ
คนทุกข์กับคนคนทุกข์สองคนมาเจอกัน แล้วคิดว่า อยู่ด้วยกัน แล้วจะมีความสุข กลับพบว่า ทุกข์มากด้วยกันทั้งคู่
*แก้ไขคำผิด
ความคิดเห็นที่ 68
ขอฝอยตรงๆ
40แล้วยังงี่เง่า จะจัดงานแต่ง
45-40 เค้าชวนคุณไปจดทะเบียนก็ให้เกียรติคุณเท่าไหร่แล้ว
จุดประสงค์ของงานแต่งคือ อยากได้หน้า อยากหน้าใหญ่ หน้าบาน แค่นั้น
ไร้สาระมาก
ชีวิตจริง มีแต่ครอบครัวเท่านั้นแหละที่สำคัญและจริงใจที่สุด
ไปให้ค่าอะไรกับคนรอบข้าง มากกว่าครอบครัวทำไม
ถามเค้าสิ ถ้าไม่แต่ง เราจะทำยังไงถึงจะเป็นครอบครัว
40แล้วยังงี่เง่า จะจัดงานแต่ง
45-40 เค้าชวนคุณไปจดทะเบียนก็ให้เกียรติคุณเท่าไหร่แล้ว
จุดประสงค์ของงานแต่งคือ อยากได้หน้า อยากหน้าใหญ่ หน้าบาน แค่นั้น
ไร้สาระมาก
ชีวิตจริง มีแต่ครอบครัวเท่านั้นแหละที่สำคัญและจริงใจที่สุด
ไปให้ค่าอะไรกับคนรอบข้าง มากกว่าครอบครัวทำไม
ถามเค้าสิ ถ้าไม่แต่ง เราจะทำยังไงถึงจะเป็นครอบครัว
ความคิดเห็นที่ 44
สงสารคุณมากๆครับ
การที่คุณบอกว่า ไม่ได้เคยไปเจอผู้ใหญ่ทางเขาเลยเป็นได้ 2 อย่าง
1.เขาไม่มี หรือเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน
2.เขาไม่อยากให้เจอบ้านใหญ่ที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือเจอลูกๆเขา
3.เขารู้ว่าคุณต้องคืนแหวนกลับมาแน่ จึงกล้าให้และเตะถ่วงเวลา เขาอาจมีคนสำรองนานแล้วก็ได้ครับ
4.จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ที่แน่ๆ เขารักคุณน้อยกว่าคุณมากและสำคัญที่สุดคือ ไม่เคารพหรือให้เกียรติ ผู่ใหญ่บ้านคุณเลย แก่แค่ไหนก็จัดงานแต่งได้ นี่มันมีความลับ ซ่อนแน่
ไม่ต้องเสียใจครับ ใจแข็งและเลิกกันนั้น ดีแล้วครับ
คุณอยู่และสู้ชีวิตต่อได่แน่ๆครับ
การที่คุณบอกว่า ไม่ได้เคยไปเจอผู้ใหญ่ทางเขาเลยเป็นได้ 2 อย่าง
1.เขาไม่มี หรือเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน
2.เขาไม่อยากให้เจอบ้านใหญ่ที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือเจอลูกๆเขา
3.เขารู้ว่าคุณต้องคืนแหวนกลับมาแน่ จึงกล้าให้และเตะถ่วงเวลา เขาอาจมีคนสำรองนานแล้วก็ได้ครับ
4.จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ที่แน่ๆ เขารักคุณน้อยกว่าคุณมากและสำคัญที่สุดคือ ไม่เคารพหรือให้เกียรติ ผู่ใหญ่บ้านคุณเลย แก่แค่ไหนก็จัดงานแต่งได้ นี่มันมีความลับ ซ่อนแน่
ไม่ต้องเสียใจครับ ใจแข็งและเลิกกันนั้น ดีแล้วครับ
คุณอยู่และสู้ชีวิตต่อได่แน่ๆครับ
แสดงความคิดเห็น
เลิกกันเพราะเรื่องแต่งงาน
ดิฉันอายุ 40 ปี คบกับแฟนอายุมากกว่ากัน 5 ปี ด้วยนิสัยเขาเป็นคนดี เรียกได้ว่าดีมากๆ เลยค่ะ เขาดูแล ใส่ใจ เสมอต้น เสมอปลายตั้งแต่สมัยคบกันวันแรกจนถึงปัจจุบัน เราชอบไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งต่างจังหวัด และต่างประเทศ (ไปในที่ที่เราสามารถจะเก็บเงินไปได้ค่ะ) ถ้านับรวมๆ แล้วเราก็คบกันมา 5 ปีกว่าจะครบ 6 ปีในต้นปีหน้านี้แล้วค่ะ
ในช่วง 1 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาดิฉันเคยถามเขาว่า ชีวิตเราจะเดินทางยังไงต่อดี เอาจริงๆ ดิฉันเองอยากแต่งงาน อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ถูกต้องตามประเพณี ให้พ่อแม่ได้ดีใจ ที่ผ่านมาพ่อ แม่ ดิฉันก็รับทราบเรื่องของเรา ท่านเองก็อยากให้ทำถูกต้องตามประเพณี ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสินสอดใดๆ แต่เขากลับบอกว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งงาน มันสิ้นเปลือง ขอแค่จดทะเบียนกันก็พอ แต่ดิฉันก็บอกและคุยตรงๆ ว่าอยากแต่งงานด้วยอายุก็เยอะขึ้น และอยากให้เขาให้เกียรติกับครอบครัวดิฉันบ้าง
ที่ผ่านมาดิฉันผิดหวังในเรื่องของความรักมาตลอด พยายามใช้อดีตที่ผิดพลาดมาแก้ไขปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าเราใช้ชีวิตไปด้วยดี แฟนคนปัจจุบันเป็นคนที่ดีมากๆ ถึงแม้เราจะทะเลาะกัน งอนกันบ้าง แต่เราก็ไม่เคยด่า หรือลงไม้ลงมือกัน เขาคือคนที่เข้ามาเติมเต็มความสุขให้ชีวิตของดิฉัน และเป็นพลังใจสำคัญให้ดิฉันก้าวต่อไป ให้กำลังใจในวันที่ทั้งทุกข์และสุข
หลังจากที่ดิฉันบอกอยากแต่งงาน เขาก็บอกโอเคร ดิฉันเลยให้เขาไปคุยกับที่บ้าน เขาก็บอกนะคะว่ายังไงก็จะแต่งงานกับดิฉัน ดิฉันดีใจมากที่วันนี้ก็มาถึง เราคุยกันเรื่องนี้จนผ่านมาครึ่งปีกว่าเขาก็ไม่เคยมีการพาผู้ใหญ่ฝ่ายเขาใาพูดคุยกับที่บ้านดิฉันเลย ดิฉันรู้สึกว่าเขาคงพยายามที่จะเลี่ยง จนทำให้ดิฉันรู้สึกท้อใจอีกและถามเขาตรงๆ จนช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็มีการให้แหวนและขอแต่งงาน วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันดีใจมากๆ (ดูสถานที่ที่อยากแต่งงาน ดูชุดที่อยากใส่ เพ้อฝันภาพไปต่างๆ นานา) เวลาผ่านไปจนถึงปลายปีหลังจากที่เขาให้แหวนและขอแต่งงาน เขาก็ไม่เคยพาผู้ใหญ่ หรือพูดอะไรต่อกับดิฉันเลย สิ่งรอบข้างตัวดิฉันก็เข้ามารุมเร้าความรู้สึกตลอด คนนั้นก็จะแต่ง คนนี้ก็จะแต่ง ดิฉันย้อนกลับมามองตัวเอง แล้วตัวเราเองละ ทำไมถึงไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ดิฉันเก็บความเสียใจนี้มาอย่างยาวนาน
ล่าสุดดิฉันได้คืนแหวนเขาไปแล้วบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยเอากลับมาให้ แต่เขาก็เงียบไม่ตอบกลับอะไรมา ดิฉันบอกว่าเหนื่อยกับการวิ่งตาม รู้สึกอายและสมเพธตัวเองที่บ้าบอคิดไปเองคนเดียวตลอด ดิฉันไม่เคยรู้เลยว่าเขาติดอะไรถึงไม่อยากแต่ง ขณะที่ดิฉันมองว่าคนนี้คือคนที่ดิฉันอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต ไม่ได้ต้องการชีวิตที่หวือหวา ช่วยกันทำงานเก็บเงิน เขากลับบอกว่าเขาเองก็คิดเรื่องนี้มาก คิดจนปวดหัวหาทางออก เขาบอกเขาเป็นคนคิดอะไรแปลกๆ ประหลาดๆ จนบางทีมองว่าเขาน่าจะเหมาะกับการอยู่คนเดียว ดิฉันบอกให้เขาเป็นคนตัดสินใจมาเลยว่ายังอยากจะไปต่อไหม หรือจะพอแค่นี้ ซึ่งจริงๆ คำตอบที่เขาพูดมามันก็ชัดแล้วว่าเขาคงไม่อยากไปต่อ แต่ดิฉันเองต่างหากที่โกหกความรู้สึกตัวเอง ดิฉันบอกเขาไปว่าทุกอย่างอยู่ที่ตัวเขาตัดสินใจ มันคิดไม่อยากเลย ถ้าเขารักดิฉันมากพอ ดิฉันเชื่อว่าเขาจะแต่งงานกับดิฉัน
จนวันนี้ดิฉันไม่ไหวกับความเงียบของเขาจึงตัดสินใจโทรถามว่าตกลงจะยังไงดี ดิฉันบอกความรู้สึกดิฉันที่มีต่อเขาตลอดที่คบกันว่ารักเขายังไงไม่เคยเปลี่ยน เขาคือส่วนเติมเต็มความสุข และพลังให้ดิฉันก้าวต่อไปข้างหน้า วันนี้ดิฉันวิ่งตามเหนื่อยแล้ว เสียใจมากพอแล้ว พยายามที่จะยอมรับความจริง เขาเลยบอกกลับมาว่าถ้าดิฉันเหนื่อยแล้วเขาก็ไม่ขอทำลายชีวิตดิฉันอีกต่อไป ดิฉันร้องไห้และก็ยอมรับในสิ่งที่เขาตอบมาแล้วบอกว่าจากนี้ไปดิฉันก็จะไม่เข้าไปวุ่นวายเขาอีก
มาถึงวันนี้ดิฉันยังคงเสียใจ และคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่เรามีให้กันตลอด น้ำตาไหลตลอดเวลาที่เห็นข้าวของของเขาที่ยังอยู่กับดิฉัน พยายามบอกตัวเองว่าเขาเข้มแข็ง ไม่เจ็บได้ ดิฉันก็ต้องอยู่ให้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาแค่ไหนในการรักษาใจให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง ดิฉันไม่เข้าใจตัวเขาเลยว่าเขาคิดอะไรในใจ
ขอบคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาอ่าน