The Trial of the Chicago 7 (Aaron Sorkin, 2020)
The Trial of the Chicago 7 ว่าด้วยเหตุการณ์จริงการชุมนุมทางการเมือง ว่าด้วยการประท้วงสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1968 ซึ่งผลที่เกิดขึ้นที่ควรจะเป็นการประท้วงอย่างสันติวิธี แต่กลายเป็นว่ามีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้แกนนำในการชุมนุมประท้วงถูกจับและโดนตั้งขอ้หาสมรู้ร่วมคิดกันปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกพิจารณาคดีในชั้นศาล หนังหยิบเหตุการณ์นี้มานำเสนอในแบบจำลองการไต่สวน โลเคชั่นเกือบทั้งหมดของเรื่องคือบรรยากาศในศาล คดีความนี้คือการต่อสู้ฟ้องร้องของรัฐบาลต่อแกนนำผู้ชุมนุม และอยู่ในยุคประธานาธิบดีนิกสันสมัยแรก ทำให้ตัวคดีนี้โด่งดังและถูกจับตามอง
ความสนุกและความกดดันของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเกิดจากบทภาพยนตร์ ความดีงามของบทสนทนาในเรื่องที่ตอบโต้กันระหว่างคู่กรณี ทนายความ ผู้ผู้พิพากษาดุเดือดมาก ใครชอบหนังที่มีไดอะล็อกตอบโต้กันสนุก ๆ น่าจะดูเพลินกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าต้องยกความชื่นชมให้กับ แอรอน ซอร์กิน ทั้งเขียนบทเองและกำกับเองในการทำฉากพิจารณาคดีได้สนุกน่าติดตาม นอกจากนี้ ความตกลร้ายเสียดสีของตัวละครยังช่วยสร้างสีสันตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวหนังจะใช้ชื่อการพิจารณาคดีของคนทั้ง 7 คน แต่ในเรื่องมีจำเลย 8 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำผิวสีหัวรุนแรงแบล็กแพนเธอร์ ซึ่งมีความตลกร้ายผสมความเศร้าอยู่พอสมควร
จุดเด่นอีกจุดคือการรวมตัวกันของนักแสดงมากฝีมือที่ต้องประชันอารมณ์กันตลอดเวลา ซึ่งทำได้ดีสมบทบาทกันทุกคน เช่น เอ็ดดี้ เรดเมย์, ซาซ่า บารอน โคเฮน, มาร์ก ไรแลนซ์, โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ นอกจากนี้ สถานการณ์ในชั้นศาลที่ดูยังไงก็รู้ว่าลำเอียงไปทางฝั่งรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ก็ชวนปั่นกระแสให้การพิจารณาคดีนี้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ความลำเอียงของศาลชนิดที่มีคำตัดสินในใจอยู่แล้ว ทำให้แง่มุมหนึ่ง หนังสะท้อนความเชื่อของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ตั้งคำถามและพยายามต่อสู้แก้ไขอำนาจรัฐที่ผิดพลาด และฝ่ายที่ถืออำนาจอยู่ย่อมมีแต้มต่อเหนืออยู่เสมอ ถึงกระนั้น ความจริงก็คือความจริงและตัวละครในเรื่องก็ได้รับผลจากการกระทำ
ท้ายสุด The Trial of the Chicago 7 เป็นภาพยนตร์อิงจากเรื่องจริงอีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนการเรียกร้อง สิทธิเสรีภาพจากประชาชน ความเชื่อมั่นในหลักการ และต้องการให้ประเทศนี้ดีขึ้น แม้ว่าท้ายสุด อำนาจรัฐจะพยายามกดทับและจำกัดพวกเขาก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น บรรยากาศในการเล่าเรื่อง วิธีนำเสนอข้อมูลนั้นมีความสนุกสนานผสมมุกตลก เสียดสี กระแทกกระทั้นกันไปมา และตัดสลับดราม่าที่ดีในท้ายเรื่องซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ใช้โลเคชั่นในชั้นศาลได้อย่างน่าประทับใจเรื่องเลย…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
The Trial of the Chicago 7 (Aaron Sorkin, 2020) รีวิวโดย MDC
The Trial of the Chicago 7 ว่าด้วยเหตุการณ์จริงการชุมนุมทางการเมือง ว่าด้วยการประท้วงสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1968 ซึ่งผลที่เกิดขึ้นที่ควรจะเป็นการประท้วงอย่างสันติวิธี แต่กลายเป็นว่ามีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้แกนนำในการชุมนุมประท้วงถูกจับและโดนตั้งขอ้หาสมรู้ร่วมคิดกันปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกพิจารณาคดีในชั้นศาล หนังหยิบเหตุการณ์นี้มานำเสนอในแบบจำลองการไต่สวน โลเคชั่นเกือบทั้งหมดของเรื่องคือบรรยากาศในศาล คดีความนี้คือการต่อสู้ฟ้องร้องของรัฐบาลต่อแกนนำผู้ชุมนุม และอยู่ในยุคประธานาธิบดีนิกสันสมัยแรก ทำให้ตัวคดีนี้โด่งดังและถูกจับตามอง
ความสนุกและความกดดันของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเกิดจากบทภาพยนตร์ ความดีงามของบทสนทนาในเรื่องที่ตอบโต้กันระหว่างคู่กรณี ทนายความ ผู้ผู้พิพากษาดุเดือดมาก ใครชอบหนังที่มีไดอะล็อกตอบโต้กันสนุก ๆ น่าจะดูเพลินกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าต้องยกความชื่นชมให้กับ แอรอน ซอร์กิน ทั้งเขียนบทเองและกำกับเองในการทำฉากพิจารณาคดีได้สนุกน่าติดตาม นอกจากนี้ ความตกลร้ายเสียดสีของตัวละครยังช่วยสร้างสีสันตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย อย่างไรก็ดี แม้ว่าตัวหนังจะใช้ชื่อการพิจารณาคดีของคนทั้ง 7 คน แต่ในเรื่องมีจำเลย 8 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำผิวสีหัวรุนแรงแบล็กแพนเธอร์ ซึ่งมีความตลกร้ายผสมความเศร้าอยู่พอสมควร
จุดเด่นอีกจุดคือการรวมตัวกันของนักแสดงมากฝีมือที่ต้องประชันอารมณ์กันตลอดเวลา ซึ่งทำได้ดีสมบทบาทกันทุกคน เช่น เอ็ดดี้ เรดเมย์, ซาซ่า บารอน โคเฮน, มาร์ก ไรแลนซ์, โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ นอกจากนี้ สถานการณ์ในชั้นศาลที่ดูยังไงก็รู้ว่าลำเอียงไปทางฝั่งรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ก็ชวนปั่นกระแสให้การพิจารณาคดีนี้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ความลำเอียงของศาลชนิดที่มีคำตัดสินในใจอยู่แล้ว ทำให้แง่มุมหนึ่ง หนังสะท้อนความเชื่อของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ตั้งคำถามและพยายามต่อสู้แก้ไขอำนาจรัฐที่ผิดพลาด และฝ่ายที่ถืออำนาจอยู่ย่อมมีแต้มต่อเหนืออยู่เสมอ ถึงกระนั้น ความจริงก็คือความจริงและตัวละครในเรื่องก็ได้รับผลจากการกระทำ
ท้ายสุด The Trial of the Chicago 7 เป็นภาพยนตร์อิงจากเรื่องจริงอีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนการเรียกร้อง สิทธิเสรีภาพจากประชาชน ความเชื่อมั่นในหลักการ และต้องการให้ประเทศนี้ดีขึ้น แม้ว่าท้ายสุด อำนาจรัฐจะพยายามกดทับและจำกัดพวกเขาก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้น บรรยากาศในการเล่าเรื่อง วิธีนำเสนอข้อมูลนั้นมีความสนุกสนานผสมมุกตลก เสียดสี กระแทกกระทั้นกันไปมา และตัดสลับดราม่าที่ดีในท้ายเรื่องซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ใช้โลเคชั่นในชั้นศาลได้อย่างน่าประทับใจเรื่องเลย…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่าง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/