ฝันมรณะ
Story by Ancient Blue
(Blue Bravenick)
Chapter V
Lost
Memory transfers 48%
ข้อความประหลาดปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้า ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า
อาเธอร์นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง ขนาดพอดีสำหรับเด็กตัวเล็กอย่างเขา ระหว่างรอมาเรียภายในห้อง
ห้องทำงานของมาเรียมีขนาดกว้างพอประมาณ พื้นไม้เก่าแต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บนโต๊ะทำงานมีสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ วางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ อีกด้านหนึ่งมีตู้ใบใหญ่ตั้งไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์และผ้ากันเปื้อน ชั้นล่างของตู้เป็นลิ้นชักสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ
บานประตูปิดแง้มอยู่ค่อย ๆ เปิดอ้าออกเรียกความสนใจของอาเธอร์ เมื่อรู้ว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาเป็นใครเขาก็รีบหันกลับไปมองโต๊ะทำงานของมาเรีย
เรย์เดินเข้ามาในห้องเงียบ ๆ นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ใกล้ ๆ กัน
ไม่นานหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีก็เดินเข้ามา ผ้ากันเปื้อนสีเทาที่เต็มไปด้วยคราบซอสมะเขือเทศ เธอยิ้มให้กับเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดู “เดี๋ยวพอเราคุยกันเสร็จค่อยไปกินมื้อเย็นกันนะ”
มาเรียไม่แสดงท่าทางโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอนั่งลงบนเก้าอี้พนักพิงก่อนรวบเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะไปไว้มุมหนึ่งเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำงาน
“ไหนใครจะเป็นคนเล่าให้ฉันฟังก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
มาเรียพอเดาได้ว่าใครเป็นคนหาเรื่องใครก่อน เมื่อดูจากนิสัยของเด็กทั้งสองแล้วนั้นมั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นเรย์ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรือว่าเจ้าตัวในทันที หญิงวัยกลางคนหันไปมองเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เธอลองเล่าให้ฉันฟังทีสิ...เรย์”
“ผมขอโทษฮะมาเรีย ผมผิดเองที่ไป...” เรย์ระล่ำระลัก
“มันเป็นความผิดของผมเอง” มาเรียหันกลับมาทางอาเธอร์ “ผมขอโทษด้วยครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“เมื่อกี้เธอกำลังบอกฉันว่า...”
“ใช่ครับ ผมเป็นคนต่อยเรย์ก่อน”
“เธอพูดจริงเหรออาเธอร์” มาเรียแปลกใจ
เธอแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าเด็กอย่างอาเธอร์จะเป็นฝ่ายลงไม้ลงมือก่อน
“ผมขอโทษครับมาเรีย”
เรย์ลอบมองคู่กรณีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้ตอบอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนหาเรื่องก่อนแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเป็นความผิดของตน
“ฉันเองก็ไม่ได้โกรธหรือว่าจะลงโทษอะไรพวกเธอหรอก” เธอพูดพร้อมกับถอดแว่นตาพับวางไว้บนโต๊ะ ถอนหายใจเบา ๆ “ฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจนักหรอกนะเวลาที่เห็นพวกเธอทะเลาะกัน โดยเฉพาะเธอนะ...อาเธอร์”
มาเรียลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องทำงาน เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนในห้องยังนั่งซึมอยู่บนเก้าอี้จึงส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“อ้าว...พวกเธอไม่กินมื้อเย็นเหรอ” เธอทำท่านึกขณะที่มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตูเอาไว้ “จริงสิ...วันนี้มีของชอบของเธอด้วยเรย์”
“จริงเหรอฮะ” เรย์โพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“เธอเองก็รีบมาสิอาเธอร์” มาเรียกวักมือเรียก
“ครับมาเรีย” อาเธอร์เดินออกไปอย่างว่าง่าย
เรย์เปิดไฟฉายขึ้น เผยให้เห็นแสงสว่างบริเวณรอบ ๆ เล็กน้อย
มาเรียรู้ว่ามีเด็กบางคนยังไม่อยากนอนแม้จะถึงเวลานอนแล้ว แต่เธอมักไม่อยากจะดุหรือตำหนิเด็ก ๆ บางครั้งหากไม่เป็นการรบกวนเด็กคนอื่นในห้องเธอจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำให้เด็กบางคนยังลุกขึ้นมานั่งเล่น หรือแอบกินขนมที่เก็บเอาไว้ก่อนนอน
“นี่เรย์ นายเลิกเอาไฟส่องคนอื่นเถอะ” เพื่อนคนแรกเอ่ยขึ้น “ถ้าใครตื่นขึ้นมาเดี๋ยวก็โดนมาเรียดุหรอก”
“ใช่ ๆ” เพื่อนอีกคนเสริม
อาเธอร์หรี่ตามองครู่หนึ่งเมื่อเขารู้สึกว่ามีแสงบางอย่างเข้าตา เมื่อเห็นว่าเป็นเรย์และเพื่อนอีกสองคนเด็กชายจึงพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อข่มตานอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“จะพูดดังไปทำไมล่ะ” เด็กชายผมแดงทำเสียงปรามใส่เพื่อนอีกสองคน ก่อนหันกลับไปมองว่ามีเด็กคนอื่นนอกเหนือจากพวกตนตื่นอยู่หรือไม่ “เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมดหรอก”
โดยไม่รู้ว่าทุกการกระทำมีเพื่อนบางคนที่ยังไม่ได้หลับสนิทได้ยินและเห็นทุกการกระทำ
“แล้วเมื่อตอนเย็นนายโดนมาเรียทำโทษหรือเปล่า” เพื่อนคนแรกถาม
“ไม่โดน” เรย์ส่ายหน้าก่อนจะมองไปที่ปลายเตียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับเตียงของเขาไปหนึ่งช่อง “หมอนั่นบอกว่าตัวเองเป็นคนเริ่มก่อน”
อาเธอร์นอนฟังอยู่เงียบ ๆ พยายามข่มตาหลับต่อโดยไม่สนใจ
“หมอนั่นพูดแบบนั้นจริงเหรอ”
“จริงสิ ฉันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่มาเรียเองก็ดูออกนะว่าฉันเป็นคนเริ่ม” เด็กชายผมแดงอธิบายพลางชะโงกหน้าไปดูนอกหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่ามาเรียไม่ได้อยู่บริเวณระเบียงทางเดิน “ว่าแต่คืนนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี”
เด็กสามคนมีสีหน้าครุ่นคิดขณะมองไฟฉายที่วางนอนไว้กับพื้นอยู่กลางวง
“เล่นเกมทดสอบความกล้ากันหรือเปล่าล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งเสนอความคิด “เมื่อหลายวันก่อนมีคนเล่าว่ามีคนเดินเข้าไปในป่าแล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”
เรย์กลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียว “ฉันขอผ่านดีกว่า”
“นายไม่กล้าล่ะสิ” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด
“เฮ้ย...กล้าสิถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยก็ได้” เรย์เผลอพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายไม่คาดคิดมาก่อนว่าความปากไวของตนเองจะทำให้เขาจำต้องเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาเธอร์ไม่แน่ใจว่าทั้งสามคนวางแผนทำอะไรกัน แต่ท่าทางน่าจะเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านหลังบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างแน่นอน เขาควรทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินออกจากห้องนอนของโรงนอนพร้อมกับไฟฉายหนึ่งกระบอก
เด็กชายเดินออกจากห้องเงียบ ๆ พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดขณะแง้มบานประตูไม้สีขาวปิดลงช้า ๆ ระเบียงทางเดินที่ปูด้วยพื้นไม้กระดานไร้แสงสว่างให้ความรู้สึกวังเวง ถึงเขาจะไม่ใช่คนขี้กลัวแต่เมื่อกระแสลมเย็นพัดผ่านสัมผัสถูกใบหน้าทีไรก็รู้สึกเย็นวูบทุกครั้ง
เมื่อมองไกลออกไปเป็นกำแพงรั้วคอนกรีตสีขาว ด้านหลังเป็นป่าขนาดใหญ่หนาทึบ ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามที่มาเรียสั่งห้ามเด็กทุกคนข้ามไปในป่าอย่างเด็ดขาด
เด็กชายหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่อยู่ติดกับหัวมุมทางเดินด้านหน้าของตัวตึก เขามองเห็นแสงไฟลอดผ่านใต้บานประตูสีน้ำตาล เขาเคาะประตูห้องเพื่อเรียกผู้ดูแลบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
ไม่นานเกินรอหญิงวัยกลางคนผมหยิกเป็นลอนในชุดนอนก็เปิดประตูออก พร้อมกับก้มลงมองเด็กน้อยที่กำลังยืนรออยู่
“อ้าวยังไม่นอนอีกเหรออาเธอร์” มาเรียยิ้มทัก ก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนังเหนือโต๊ะทำงานของเธอ
อาเธอร์สังเกตเห็นว่าดึกป่านนี้แล้วมาเรียก็ยังคงทำงานอยู่ จากเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงาน แต่เขาไม่ลืมเรื่องสำคัญที่จะมาบอกอีกฝ่าย “พวกเรย์กำลังเข้าไปที่ป่าด้านหลังกำแพงครับมาเรีย”
“เธอว่าอะไรนะ” หญิงวัยกลางคนอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ “แล้วพวกเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อครู่นี้เองครับ” อาเธอร์ตอบ
“เธอรีบกลับไปที่ห้องนอนนะ แล้วช่วยดูด้วยว่านอกจากกลุ่มของเรย์แล้วยังมีใครออกไปไหนอีกหรือเปล่า”
“ในป่านั่นมีอะไรเหรอครับ” เด็กชายถามด้วยความสงสัย “ผมเห็นคุณสั่งห้ามไม่ให้พวกเราเข้าไป”
“หมาป่า...”
อาเธอร์อึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจก่อนจะได้สติ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบไปช่วยพวกเขาแล้วละครับ”
ยังไม่ทันที่มาเรียจะอธิบายอะไรต่อเด็กชายก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ
“เดี๋ยวก่อนสิ”
มาเรียส่ายหน้าก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องทำงาน เปิดตู้เสื้อผ้าออก เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่แขวนอยู่ออกมาจากไม้แขวนเสื้อ สวมทับชุดนอนที่เป็นกระโปรงยาวสีเทา
ด้านในตู้มีหีบไม้ใบยาวล็อกด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่วางตะแคงอยู่ด้านใน เธอดึงมันออกมาอย่างทุลักทุเล
“บางทีถ้าจำเป็นฉันอาจต้องใช้มัน”
ฝันมรณะ : Chapter V Lost
ข้อความประหลาดปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้า ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า
อาเธอร์นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้พนักพิง ขนาดพอดีสำหรับเด็กตัวเล็กอย่างเขา ระหว่างรอมาเรียภายในห้อง
ห้องทำงานของมาเรียมีขนาดกว้างพอประมาณ พื้นไม้เก่าแต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บนโต๊ะทำงานมีสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ วางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ อีกด้านหนึ่งมีตู้ใบใหญ่ตั้งไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์และผ้ากันเปื้อน ชั้นล่างของตู้เป็นลิ้นชักสำหรับใส่อุปกรณ์ต่าง ๆ
บานประตูปิดแง้มอยู่ค่อย ๆ เปิดอ้าออกเรียกความสนใจของอาเธอร์ เมื่อรู้ว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาเป็นใครเขาก็รีบหันกลับไปมองโต๊ะทำงานของมาเรีย
เรย์เดินเข้ามาในห้องเงียบ ๆ นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ใกล้ ๆ กัน
ไม่นานหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีก็เดินเข้ามา ผ้ากันเปื้อนสีเทาที่เต็มไปด้วยคราบซอสมะเขือเทศ เธอยิ้มให้กับเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดู “เดี๋ยวพอเราคุยกันเสร็จค่อยไปกินมื้อเย็นกันนะ”
มาเรียไม่แสดงท่าทางโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอนั่งลงบนเก้าอี้พนักพิงก่อนรวบเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะไปไว้มุมหนึ่งเพื่อไม่ให้เกะกะเวลาทำงาน
“ไหนใครจะเป็นคนเล่าให้ฉันฟังก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
มาเรียพอเดาได้ว่าใครเป็นคนหาเรื่องใครก่อน เมื่อดูจากนิสัยของเด็กทั้งสองแล้วนั้นมั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นเรย์ แต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรือว่าเจ้าตัวในทันที หญิงวัยกลางคนหันไปมองเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เธอลองเล่าให้ฉันฟังทีสิ...เรย์”
“ผมขอโทษฮะมาเรีย ผมผิดเองที่ไป...” เรย์ระล่ำระลัก
“มันเป็นความผิดของผมเอง” มาเรียหันกลับมาทางอาเธอร์ “ผมขอโทษด้วยครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“เมื่อกี้เธอกำลังบอกฉันว่า...”
“ใช่ครับ ผมเป็นคนต่อยเรย์ก่อน”
“เธอพูดจริงเหรออาเธอร์” มาเรียแปลกใจ
เธอแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าเด็กอย่างอาเธอร์จะเป็นฝ่ายลงไม้ลงมือก่อน
“ผมขอโทษครับมาเรีย”
เรย์ลอบมองคู่กรณีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้ตอบอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนหาเรื่องก่อนแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าเป็นความผิดของตน
“ฉันเองก็ไม่ได้โกรธหรือว่าจะลงโทษอะไรพวกเธอหรอก” เธอพูดพร้อมกับถอดแว่นตาพับวางไว้บนโต๊ะ ถอนหายใจเบา ๆ “ฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจนักหรอกนะเวลาที่เห็นพวกเธอทะเลาะกัน โดยเฉพาะเธอนะ...อาเธอร์”
มาเรียลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องทำงาน เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนในห้องยังนั่งซึมอยู่บนเก้าอี้จึงส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“อ้าว...พวกเธอไม่กินมื้อเย็นเหรอ” เธอทำท่านึกขณะที่มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตูเอาไว้ “จริงสิ...วันนี้มีของชอบของเธอด้วยเรย์”
“จริงเหรอฮะ” เรย์โพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“เธอเองก็รีบมาสิอาเธอร์” มาเรียกวักมือเรียก
“ครับมาเรีย” อาเธอร์เดินออกไปอย่างว่าง่าย
เรย์เปิดไฟฉายขึ้น เผยให้เห็นแสงสว่างบริเวณรอบ ๆ เล็กน้อย
มาเรียรู้ว่ามีเด็กบางคนยังไม่อยากนอนแม้จะถึงเวลานอนแล้ว แต่เธอมักไม่อยากจะดุหรือตำหนิเด็ก ๆ บางครั้งหากไม่เป็นการรบกวนเด็กคนอื่นในห้องเธอจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำให้เด็กบางคนยังลุกขึ้นมานั่งเล่น หรือแอบกินขนมที่เก็บเอาไว้ก่อนนอน
“นี่เรย์ นายเลิกเอาไฟส่องคนอื่นเถอะ” เพื่อนคนแรกเอ่ยขึ้น “ถ้าใครตื่นขึ้นมาเดี๋ยวก็โดนมาเรียดุหรอก”
“ใช่ ๆ” เพื่อนอีกคนเสริม
อาเธอร์หรี่ตามองครู่หนึ่งเมื่อเขารู้สึกว่ามีแสงบางอย่างเข้าตา เมื่อเห็นว่าเป็นเรย์และเพื่อนอีกสองคนเด็กชายจึงพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อข่มตานอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“จะพูดดังไปทำไมล่ะ” เด็กชายผมแดงทำเสียงปรามใส่เพื่อนอีกสองคน ก่อนหันกลับไปมองว่ามีเด็กคนอื่นนอกเหนือจากพวกตนตื่นอยู่หรือไม่ “เดี๋ยวคนอื่นก็ตื่นกันหมดหรอก”
โดยไม่รู้ว่าทุกการกระทำมีเพื่อนบางคนที่ยังไม่ได้หลับสนิทได้ยินและเห็นทุกการกระทำ
“แล้วเมื่อตอนเย็นนายโดนมาเรียทำโทษหรือเปล่า” เพื่อนคนแรกถาม
“ไม่โดน” เรย์ส่ายหน้าก่อนจะมองไปที่ปลายเตียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับเตียงของเขาไปหนึ่งช่อง “หมอนั่นบอกว่าตัวเองเป็นคนเริ่มก่อน”
อาเธอร์นอนฟังอยู่เงียบ ๆ พยายามข่มตาหลับต่อโดยไม่สนใจ
“หมอนั่นพูดแบบนั้นจริงเหรอ”
“จริงสิ ฉันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันทั้ง ๆ ที่มาเรียเองก็ดูออกนะว่าฉันเป็นคนเริ่ม” เด็กชายผมแดงอธิบายพลางชะโงกหน้าไปดูนอกหน้าต่าง เพื่อให้แน่ใจว่ามาเรียไม่ได้อยู่บริเวณระเบียงทางเดิน “ว่าแต่คืนนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี”
เด็กสามคนมีสีหน้าครุ่นคิดขณะมองไฟฉายที่วางนอนไว้กับพื้นอยู่กลางวง
“เล่นเกมทดสอบความกล้ากันหรือเปล่าล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งเสนอความคิด “เมื่อหลายวันก่อนมีคนเล่าว่ามีคนเดินเข้าไปในป่าแล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”
เรย์กลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียว “ฉันขอผ่านดีกว่า”
“นายไม่กล้าล่ะสิ” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด
“เฮ้ย...กล้าสิถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยก็ได้” เรย์เผลอพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายไม่คาดคิดมาก่อนว่าความปากไวของตนเองจะทำให้เขาจำต้องเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาเธอร์ไม่แน่ใจว่าทั้งสามคนวางแผนทำอะไรกัน แต่ท่าทางน่าจะเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านหลังบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างแน่นอน เขาควรทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินออกจากห้องนอนของโรงนอนพร้อมกับไฟฉายหนึ่งกระบอก
เด็กชายเดินออกจากห้องเงียบ ๆ พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดขณะแง้มบานประตูไม้สีขาวปิดลงช้า ๆ ระเบียงทางเดินที่ปูด้วยพื้นไม้กระดานไร้แสงสว่างให้ความรู้สึกวังเวง ถึงเขาจะไม่ใช่คนขี้กลัวแต่เมื่อกระแสลมเย็นพัดผ่านสัมผัสถูกใบหน้าทีไรก็รู้สึกเย็นวูบทุกครั้ง
เมื่อมองไกลออกไปเป็นกำแพงรั้วคอนกรีตสีขาว ด้านหลังเป็นป่าขนาดใหญ่หนาทึบ ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามที่มาเรียสั่งห้ามเด็กทุกคนข้ามไปในป่าอย่างเด็ดขาด
เด็กชายหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่อยู่ติดกับหัวมุมทางเดินด้านหน้าของตัวตึก เขามองเห็นแสงไฟลอดผ่านใต้บานประตูสีน้ำตาล เขาเคาะประตูห้องเพื่อเรียกผู้ดูแลบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
ไม่นานเกินรอหญิงวัยกลางคนผมหยิกเป็นลอนในชุดนอนก็เปิดประตูออก พร้อมกับก้มลงมองเด็กน้อยที่กำลังยืนรออยู่
“อ้าวยังไม่นอนอีกเหรออาเธอร์” มาเรียยิ้มทัก ก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาแขวนที่อยู่บนผนังเหนือโต๊ะทำงานของเธอ
อาเธอร์สังเกตเห็นว่าดึกป่านนี้แล้วมาเรียก็ยังคงทำงานอยู่ จากเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงาน แต่เขาไม่ลืมเรื่องสำคัญที่จะมาบอกอีกฝ่าย “พวกเรย์กำลังเข้าไปที่ป่าด้านหลังกำแพงครับมาเรีย”
“เธอว่าอะไรนะ” หญิงวัยกลางคนอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ “แล้วพวกเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อครู่นี้เองครับ” อาเธอร์ตอบ
“เธอรีบกลับไปที่ห้องนอนนะ แล้วช่วยดูด้วยว่านอกจากกลุ่มของเรย์แล้วยังมีใครออกไปไหนอีกหรือเปล่า”
“ในป่านั่นมีอะไรเหรอครับ” เด็กชายถามด้วยความสงสัย “ผมเห็นคุณสั่งห้ามไม่ให้พวกเราเข้าไป”
“หมาป่า...”
อาเธอร์อึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจก่อนจะได้สติ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบไปช่วยพวกเขาแล้วละครับ”
ยังไม่ทันที่มาเรียจะอธิบายอะไรต่อเด็กชายก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ
“เดี๋ยวก่อนสิ”
มาเรียส่ายหน้าก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องทำงาน เปิดตู้เสื้อผ้าออก เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่แขวนอยู่ออกมาจากไม้แขวนเสื้อ สวมทับชุดนอนที่เป็นกระโปรงยาวสีเทา
ด้านในตู้มีหีบไม้ใบยาวล็อกด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่วางตะแคงอยู่ด้านใน เธอดึงมันออกมาอย่างทุลักทุเล
“บางทีถ้าจำเป็นฉันอาจต้องใช้มัน”