ลูกทะเลาะวิวาท เพราะโดนแกล้ง เราจะสอนลูกยังไงดี

เกริ่นนะครับ นี่คือเรื่องที่เกิดมานานแล้ว แต่ยังจำฝังใจ จึงนำมาเล่า และ เผื่อมีคนให้ความเห็นที่อาจเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ
เรื่องย่อ : ลูกสาว ตอนนั้น ม.2  ไปวิวาทกับเด็กผู้ชายในโรงเรียน เพราะช่วยเพื่อนที่โดนล้อจนร้องไห้ ถูกโรงเรียนเรียกไปพบ ทำเอกสารขอโทษผู้ปกครองอีกฝ่าย ทำทัณฑ์บน โดนหักคะแนนความประะพฤติตามระเบียบ

สิ่งที่สอนลูกในวันนั้น : การใช้กำลัง ทะเลาะ จะด้วยสาเหตุอะไรก็ถือว่าผิด การวิวาท ไม่ใช่การป้องกันตัว ไม่ได้ถูกกระทำถึงร่างกาย ไม่คุกคามสวัสดิภาพ เป็นเพียงการยั่วโทสะ ก่อความรำคาญ หากเราเข้าไปตอบโต้ และนำไปสู่การทะเลาะวิวาท ถือว่า เราผิด เราแพ้โทสะของตนเอง ทางออกของคนฉลาดคือ ชนะ โดยไม่ต้องสู้ หลีก หลบ เลี่ยง และ หาโอกาส ที่อีกฝ่ายผิด โดยเราไม่ต้องลงมือ นั่นคือการชนะ เนหือชัยชนะ

---------- เรื่องเต็ม สำหรับท่านที่ต้องการรายละเอียด ------------

เรือ่งทั้งหมด รายละเอียด เกิดจาก การให้ปากคำของลูกสาว และคู่กรณี รวมถึง สอบพยานในช่วงเวลาดังกล่าว ที่สำคัญ ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้
ฝ่ายปกครอง ได้สืบพยาน ก่อนเรียกผู้ปกครองมาพบ ทางผมเอง ก็ขอคุยกับนักเรียน ทั้งโจทย์ จำเลย และพยาน โดยมีครุปกคองและที่ปรึกษาร่วมเป็นพยานในการสอบถาม

เด็กชายคนหนึ่ง อยู่ห้องเดียวกันกับลูกสาว มีความเป็นหัวดจกพอสมควร มีลิ่วล้อตามสองคน ปกติมักชอบแซว บูลลี่เพื่อน ชอบตั้งฉายาให้เพือ่น อ้างอิงจากกายภาพ ชอบล้อเลียนและกีดกัน LGBT ไม่ได้เกเรถึงขั้นทะเลาะวิวาทกับใคร มีบ้างที่แกล้งถึงร่างกายแต่ไม่ใช่ความรุนแรง เช่น แปะกระดาษ เอาของไปซ่อน จิ๊กของเพื่อน ไถเงินเด็กรุ่นน้อง

ส่วนนางเอก ลูกสาวตัวดีของผม เป็นเด็กสาวธรรมดาในครอบครัวที่พ่อแม่เลิกรากัน อยู่กับพ่อสองคนมาตั้งแต่ 8-9 ขวบ ที่บ้านเป็นครอบครัวกิจกรรม ชอบเล่นกีฬา เรียนและแข่งเทควันโดตั้งแต่อนุบาล เรียนและแข่งยูโดตั้งแต่ประถม เข้ายิม ต่อยมวยเล่นๆไม่ได้จริงจัง และ วิ่งออกกำลังกายกันเกือบทุกวัน วันหยุด ไปงานวิ่งเป็นกิจกรรมประจำครอบครัวเล็กๆนี้

ที่สำคัญ สอนมายังไงไม่รู้ เป็นคนดื้อ เถียง ไม่ยอมคน ซน และ ชอบตั้งคำถามกับความไม่ปกติ ไม่ยุติธรรมทั้งหมด

เหตุเกิดเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ลูกสาวผมเล่นบาสกับเพื่อนผู้หญิงและ LGBT  กันอย่างเป็นสุข ก็มีก๊วนตัวป่วนมานั่งแซว โดยเรือ่งที่แซวก็จะไปทางสรีระของเด็กหญิงมากกว่า เพราะ วัยนี้ ผู้หญิง สรีระเปลี่ยนแล้ว พวกผู้ชายแสบๆก็มักจะแซวกัน รวมถึง แซวบางคนที่เจ้าเนื้อ และแน่นอนว่า LGBT โดนแซวเยอะ

"ไปที่อื่นเหอะ แถวนี้ขยะเยอะ" ทางฝ่ายหญิง เลิกเล่นบาสก่อนจะหยิบของเดินออกจากบริเวณนั้น กับเสียงยั่วยวนของอีกฝ่ายตามไล่หลังมา

พวกสาวๆเข้าร้านขนม(สหกรณ์)ในโรงเรียน ซื้อขนม ขณะกำลังเลือกซื้อขนมกันนั้น

"จะกินนมหรอ ไม่ต้องกินแล้วมั้ง" ก่อนจะหัวเราะ แซวกัน ทำท่ามือโกยอก แซวเพื่อนหญิงคนนึง ที่หน้าอกโตลำหน้าเพื่อนกันอย่างสนุกสนาน พวกสามหน่อนั้นตามเข้าร้านมาแซวด้วย จนกลุ่มนี้ ต้องหนีอีกรอบ ได้ซื้อขนมกันเพียงนิดๆหน่อยๆ มานั่งกินที่สนามหน้าโรงเรียน ซึ่งสามหน่อนั้นก็ตามมาราวีต่อ ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายหนี ก้มหน้า หน้าแดง เขิน อาย ก็ยิ่งหัวเราะ

เดี๋ยวก็แซวเรือ่งหุ่นของคนที่ไซส์จัมโบ้ เดี๋ยวก็แซวก้น  เดี๋ยวก็แซวเพื่อน LGBT ของกลุ่มนี้

"เฮ้ยๆๆ เอ็งรู้ป่าว ทำไมไอ้คมชอบเล่นกับผู้หญิง" หัวโจกพูด
"อะไรว้าาา ไม่รู้ดิ" ลิ่วล้อก็ถามต่อ ก่อนที่หัโจกจะตบมุกว่า "เอ็งก็ดูดี๊ ไอ้นี่ก็นมใหญ่ ไอ้นั่นก็นมโต มันคงอยากมีนมเหมือนพวกนี้ไง อีกหน่อยเป็น อีคมนมโต"
"อีคม นมโตๆๆ" สามคนร้องเล่นเยอะกันอย่างสนุกสนาน

จนเพื่อน LGBT เริ่มรำคาญและทนไม่ได้ แว๊ดกลับไปแรงว่า
"ไปไกลๆเลยไป๊  อุตส่าห์หนีมนี่ยังจะตามมาอีก"

"ใครเค้าตามแก อีตุ๊ด สงสัยคิดว่าผู้ชายคอยตามหรือจ๊ะ" แล้วระเบิดหัวเราะกันอีกรอบ

นักเรียนหญิงเริ่มโวยบ้าง เนือ้หาือ ไล่ให้พวกนี้ไปพ้นๆ ทั้งไล่ดีๆ และ ไล่แบบประชดประชันจิกกัด จนในที่สุดก็กลายเป็นการ โตวาทะใส่กัน และเมื่อเรือ่งมันชักจะบานปลายขึ้น "ผู้ชาย" คนเดียวมนกลุ่ม น้อง LGBT  ก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินปรี่มาหาสามตัวแสบ
"พวกแกไปไกลๆเลยนะ ไม่งั้นล่ะก็" เสียงแว๊ดจากเด็กชายคม
"ไม่งั้นจะอะไร อีตุ๊ด" ลิ่วล้อหนึ่งเดินก้าวเข้ามาแล้วรีบขวางประจันหน้ากันห่างกันแค่คืบทันที

"คิดว่าข้าไม่กล้าต่อยตุ๊ดหรอวะ" ฝ่ายแมนชายแทร่ยังไม่หยุด
"สงสัยวันนี้ได้สั่งสอนตุ๊ดหน่อยเว้ยยย" สามคนเข้ามารุมล้อม ก่อนที่หัวโจกจะบอกว่า
"ตุ๊ด ก็อยู่ส่วนตุ๊ดไปเลย" แล้ว ผลักอกอย่างแรง จนร่างขาวบอบบางปลิวลงไปก้นจ้ำเบ้า และ ทั้งสามคนก็หัวเราะ กับเสียง "ว๊ายยย" ของเด็กชายคม

ยิ่งเห็นว่าเด็กชายคมเข่าถลอกเลือดออก แล้วกำลังตื่นตกใจ ใหเ้เพื่อนไปฟ้องครู ส่วนเพื่อหญิงอีกคนก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดแผล ทั้งสามลั่นหัวเราะออกมา
"อีตุ๊ดถลอกนิดเดียวก็ร้องอย่างกับแขนขาด"
และยิงมุกต่ออีกว่า "ระวังทำนมแล้วเป็นลมนะเว้ยยยอีตุ๊ด"

และ จากภาพของกล้องวงจรปิด สิ่งที่ผมเห็นต่อจากนั้นคือ
ลูกสาวของผม บินได้...

นางพุ่งจากอีกข้างของโต๊ะม้าหิน ก้าวขึ้นม้านั่ง และ ลอยจากบนโต๊ะ ส่งเท้าที่ใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวไปข้างหน้า เข้าที่ปากของลิ่วล้อคนนึงทันที ก่อนจะลงมายืนตั้งท่าการ์ด สเต็ปฟุตเวิร์คไปมา ไม่พูดไม่จาอะไรเลย แต่ ด้วยภาษากายคือ พร้อมสู้แบบไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกันแล้ว

ส่วนฝ่ายแก็งค์ชายนั้น ลิ่วล้อสอง รีบเข้าไปช่วยเพื่อนคนแรกที่ลงไปนอน ปากแตก ตัวหัวหน้าก็เห็นแล้วยิ่งเลือดขึ้นหน้า เดินปรี่เข้ามาหมายจะจัดการ ระหว่างเดินก็พูดซ้ำๆ "จะเอาใช่มั้ยๆๆ"

หัวโจกยื่นมือมา จะผลักไหล่ลูกสาวแบบหาเรือ่ง เมื่อเข้าระยะห่างเพียงช่วงเอื้อมแขน แต่ พอมือเข้ามาจะถึงตัว ลูกสาวก็คว้าเอาแขน พลิกหันตัว  ย่อและใช้แรงที่อีกฝ่ายเดินปรี่เข้ามา ทุ่มลอยข้ามตัวเอง โยนฝ่ายชายลงไปบนพื้น แล้วสเต็ปถอยออกไปห่างที่ระยะห่างประมาณ 2.5 เมตร
พลางม้วนขอบกระโปรงขึ้นมาจนกระโปรงร่นมาเป็นมินิสเกิร์ต แล้วตั้งท่า ขยับฟุตเวิร์ค ก่อนจะพูดออกมาว่า
"ก็เอาสิ อยากรู้ว่าจะเก่งแต่ปากมั้ย"

ฝ่ายชายหัวโจก ที่ตอนนี้ ลิ่วล้อสอง เข้ามาพยุงให้ลุก กำลังนั่งกองกับพื้น
"ตูไม่เป็นไร เอ็งยืนโง่อยู่ได้ ไปจับมันสิวะ" หัวโจกสั่งลิ่วล้อ "จับมันล็อคไว้ ตูจะสั่งสอนวให้มันจำ"
ลิ่วล้อสอง ลังเลหน่อยนึง แล้วตัดสินใจ พุ่งเข้าไปหา เงื้อกำปั้นไว้สูง

แต่ก็เหมือนวิ่งเข้าไปหาเท้าก็เท่านั้น เพราะ สิ่งที่เจอก่อนถึงตัวคือ เท้า และ เท้า ซึ่ง ประเคนเข้าหน้ามา  2-3 เท้าต่อๆกัน โดยเท้าสุดท้ายเป็นเตะฮุคด้านข้าง เข้าป้าบที่หูอย่างจัง จนลงไปฟุบกับพื้นแบบมึนๆงงๆ

แต่ก็พรวดเดยวกันนั้นเอง ที่ หัวโจก พุ่งเข้ามาคว้าเอาเสื้อนักเรียนของนางไว้ แล้วกระชากอย่างแรง เงื้อหมัดเอาไว้ หมายจะทุบเข้าที่หน้า ส่วนลูกสาวผมก็พยายามสลัด ปัดแขนออกไป  ฝ่ายชายก็พยายามวางหมัดเข้าที่หน้า ที่ตัวของเธอ แต่เดชะบุญ ที่ปัดป้องไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะอาศัยจังหวะเสี้ยววินาที ใช้มือสองข้าง คว้าเคข้าที่เสื้อนักเรียนฝ่ายชาย อาศัยแรงที่กำลังฟัดเหวี่ยงกันอยู่ ส่งให้ฝ่ายชายเสียหลักไปด้านข้าง แล้วใช้การถ่ายน้ำหนักตัวเอง กับเท้าที่เอาไปขัดไว้ ผลักเพียงนิดเดียว ฝ่ายชายก็ลิ้งขลุ่กๆๆ ลงไปที่พื้นอีก แต่แดเมจไม่มากพอที่จะหยุดยั้งได้ ทันทีที่ลงไปกอง ก็รีบลุกขึ้นมาแล้ว พุ่งเข้ามาหาอย่างเร็ว พร้อมกับเสียงโวยวาย "ย๊ากกกก"

แล้วก็เป็นอันจบเกมส์ครับ เนือ่งจากระยะห่างกำลังพอดีกับช่วงขาของนาง พุ่งเข้ามาดื้อๆแบบนั้น เพียงเตะยันไว้ เตะตรงอีกนิดหน่อย สเต็ปหลบดึงระยะ ก่อนจะเข้าไปประเคนเตะบน ล่าง สลับซ้ายขวาไปมา เข้าขา เข่า ตัว แล้วปิดฉากด้วยเตะหมายน็อค เข้าที่หัวอย่างเต็ม ถ้าเป็นการแข่งก็ได้คะแนนชัวร์ๆ ทั้งท่าเตะ ตำแหน่ง และเสียงดังฟังชัด

แน่นอนว่า ระฆังก็ดังด้วยเช่นกัน เพราะ ครูเวร วิ่งโร่มาแต่ไกล  เข้าใจว่าครูเวร น่าจะทันได้เห็นเพลงเตะชุดส่งท้ายเป็นภาพหลักฐานเชิงประจักษ์ของเหตุการณ์นี้ จึงมาควบคุมตัวผู้ต้องหาสาวไว้อย่างรัดกุม ก่อนที่จะเรียกครูและ ผู้ชาวย มาพาเหยื่อทั้งสามคนไปห้องพยาบาลก่อน แล้วให้ตามไปสมทบที่ห้องปกครอง

ส่วนแก็งค์สาวๆทั้งหมด พยายามเข้ามาช่วยเพื่อนสาวไว้ ยืนยันว่าพวกตนไม่ผิด
"พวกหนูไม่ได้เริ่มก่อนนะ" พวกเธอช่วยกันอธิบาย
"อย่าเอาไปห้องปกครองเลย" เด็กชายคมรีบอธิบาย "หนูโดนพวกนี้แกล้งก่อน" พลางชี้หลักฐานแผลให้ครูเวรเห็น

"ไปที่ห้องปกครองให้หมด เดี๋ยวครู กับครุฝ่ายปกครอง จะจัดการเองว่ามันเรืองอะไร

---------------------------------------------------------------------------

ผลสรุปความเสียหาย
ฝ่ายชาย ลิ่วล้อแรกปากแตก
ลิ่วล้อสอง ฟกช้ำนิดหน่อย และ หัวหน้า เจ็บหนักสุดคือ ปากแตก ฟันโยก และ เส้นเลือดฝอยในตาแตกข้างนึง
ส่วน นางตัวแสบของผมนั้น กระดุมขาด ต้องขอเข็มกลัดกับที่หนีบกระดาษมาหนีบเสื้อนักเรียนไว้ มีรอยช้ำที่ไหล่ แขนข้างซ้าย กับชายโครง หัวยุ่งกระจุย ยางมัดผมขาด

ผลของการกระทำ
ทางโรงเรียน สอบสวนและเรียกผู้ปกครองมาพบในวันรุ่งขึ้น โดย ผู้ปกครองฝ่ายชาย โกรธมาก จะเอาเรือ่งให้ถึงที่สุด เนือ่งจากลูกค้าเจ็บเยอะ

"ก็แค่เด็กเล่นกัน" คือสิ่งที่ฝ่ายนั้นยกมากล่าวอ้าง
"มันคือการทำเกินกว่าเหตุ เป็นการทะเลาะวิวาท" ผู้กครองฝ่ายนั้นยืนยันชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่การป้องกันตัว

ใช่ครับ ผมรับฟังเรือ่งราวทั้งหมด สอบถามพยาน ขอดูกล้องประกอบคำอธิบายแล้ว ยอมรับว่า นี่ไม่ใช่การป้องกันตัว มันคือการทะเลาะ วิวาท โดยมีพฤติกรรมของลูกสาวที่เจตนาพุ่งเข้าไป ทั้งมีคำพูดสำคัญในการยั่วยุ เปิดการวิวาทเป็นหลักฐานสำคัญ

เรือ่งนี้ ทำให้ผมนึกถึง"ลุงวิศวะ" ขึ้นมาทันที
ผมขอเวลาคุยกับลูกโดยลำพังในวันนั้น ผมอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง เธอร้องไห้ แล้วบอกว่ามันไม่ยุติธรรม พวกเธอคือคนที่โดนก่อกวน โดนแกล้ง เธอ ทำเพราะต่อสู้ ปกป้องเพื่อน ทำไม เธอถึงเป็นฝ่ายผิด แล้วทำไมพวกนั้นไม่ผิด?
"พวกนั้น มีความผิด แต่ความผิดของเค้า คนละอันกับของเรา"

ผมอธิบายลูกสาว ถึงประเด็นความผิดของเรา
"พวกน้น ทำได้อย่างมากก็แค่รำคาญ เราหนี และเลี่ยงได้" ผมอธิบายเธอให้เข้าใจ
"แล้วหนูต้องหนีพวกนั้นไปถึงเมื่อไหร่" เธอยกประเด็นโต้เถียงมา ก่อนที่ผมจะอธิบายให้เธอเข้าใจชัดๆว่า

"หนีไปถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้ รู้แต่ เผชิญหน้าเพื่อวิวาท ไม่ได้"
จากประโยคนี้ ผมอธิบายต่อถึงความแตกต่างระหว่าง วิวาท กับ การป้องกันตัว ที่สำคัญ พูดถึงความหนักของสิ่งที่เกิดขึ้น และ ยิ่งกว่านั้น ผมเตือนเธอ ว่า หากอีกฝ่ายร้ายแรงกว่านี้ หากอีกฝ่ายมีอาวุธ หากอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กในโรงเรียน แต่เป็นคนไม่ดีจริงๆ สิ่งที่เธอทำ จะเป็นอันตรายยิ่งกว่านี้หลายเท่า นี่ไม่ใช่สนามแข่ง นี่ไม่ใช่กีฬา แต่มันคือ การต่อสู้ ไม่มีกติกา ไม่มีกรรมการ เจ็บแล้ว ตายแล้ว คือตายเลย

"เราเรียนพวกนั้นมาเพื่อเป็นนักกีฬาไม่ใช่หรอ?" ผมถามลูกสาว

แล้วเธอก็เริ่มคิดไล่เรียงตามด้วยกัน และ เข้าใจประเด็นความผิดของตนเองในที่สุด ก่อนที่ผมจะเรีรยกครูและ ผู้ปกครองอีกฝ่ายเข้ามา ผมบอกเธอว่า ถ้าอยากชนะ คนแบบนี้ ต้องชนะด้วย "สมอง" ต้องสร้างสถานการณ์ที่เราได้เปรียบ และ ฝ่ายนั้น ผิดเต็ม ไม่ใช่ ใช้กำลัง ทางที่ดี หนี หลบ เลี่ยงได้ ก็คือจบ
ชนะ โดยไม่ต้องสู้ คือชัยชนะที่ดีที่สุด และ ชนะโทสะ ชนะความโกรธของตัวเองได้ อันนั้น ชนะยากที่สุด แต่ สำคัญที่สุด

บทลงโทษ โดนหักคะนนสะสมไปตามกฎโรงเรียน โดยผู้ปกครองอีกฝ่าย กดดันอยากให้ใช้โทษหนักที่สุด ไปจนถึงพักการเรียนให้ได้ แต่ ทางโรงเรียนยืนยันว่า มันยังไม่ร้ายแรงขนาดนั้น อีกฝ่ายจึง ขอให้ผมและลูก ลงลายมือชื่อในเอกสารยอมรับผิดและทำทัณฑ์บนกับตัวเองไว้ ว่าหากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีก ยินดีที่จะรับโทษสูงสุด ให้ออกจากโรงเรียน (โดยครูที่ปรึกษามาบอกทีหลังว่า ตอนนั้น ก็ลุ้นให้ทางผมยอมรับทำๆไปก่อน มันไม่มีผลมดๆกับระเบียบโรงเรียน ต่อให้มีเอกสารนี้ คราวหน้า ก็ไม่ถึงำับไล่ออกหรอก นอกจากมันจะหนักหนาจริงๆ โรงเรียนไม่สามารถไล่ออกจากเอกสารแบบนี้ได้)

เด็กทั้งสามคนตัวแสบนั้น ได้รับโทษให้ต้องมาบำเพ็ญประโยชน์ตอนเย็นสัปดาห์นึง

----------------------------------------

ภาคผนวก
ลูกสาวยังคงเรียนที่นั่น ทำกิจกรรม ตั้งชมรม ตั้งทีมอีสปอร์ต เป็นเด็ก ม.ต้น คนแรกของโรงเรียนที่ได้เส

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่