สามสัตว์ในธรรมชาติ "ซูเปอร์ฮีโร่" ด้านมืด



PICTURENOW/UIG VIA GETTY IMAGES
ภาพวาดคางคก ชื่อว่า " Amazing by Theodore Kittelsen " โดย Ella Davies


ในขณะที่สิ่งมีชีวิตตั้งแต่ มดตัวน้อย แมงมุมไปจนถึง เสือดำที่แสนสง่างาม ต่างก็กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในหนัง ซึ่งสร้างชื่อเสียงด้านดีให้พวกมัน ยังมีสัตว์ที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็น "ซูเปอร์ฮีโร่ " แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่เข้าตากรรมการของพวกมันทำให้ถูกมองข้ามไป แต่มีสัตว์ซูเปอร์ฮีโร่อย่า่งน้อยสามสายพันธุ์นี้ ที่ธรรมชาติได้ออกแบบพวกมันมาอย่างน่าทึ่ง รวมทั้งบทบาทของมันในระบบนิเวศน์ก็ไม่ธรรมดา 


คางคก


MARC GUITARD  คางคกอเมริกา (anaxyrus americanus)


คางคกเป็นที่รู้จักกันดีในหลากหลายบทบาท เช่น สัตว์เลี้ยงคู่กายแม่มด ตัวการ์ตูนมนุษย์กลายพันธ์ หรือแม้กระทั่ง ใช้ขึ้นวอเพื่อเป็นสำนวนแทนคนที่ลืมชาติกำเนิดของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถพิเศษของมันแต่อย่างใด

ในทางวิทยาศาสตร์ กบและคางคกนั้นแยกออกจากกันได้ค่อนข้างยาก โดยคางคกจัดเป็นสัตว์ครึ่งบกครื่งน้ำ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนบกมากกว่า และมีผิวหนังที่ตะปุ่มตะป่ำที่แห้งกว่ากบ คางคกกินแมลงขนาดเล็กเป็นอาหารโดยอาศัยลิ้นอันยืดหยุ่น ซึ่งนอกเหนือจากนั้นแล้ว พวกมันก็ไม่มีอาวุธอื่นใดเพื่อใช้ล่าเหยื่อได้อีก แต่สำหรับเรื่องการป้องกันตัวแล้ว คางคกบางสายพันธุ์กลับร้ายกาจอย่างมาก

นอกจากนี้ ศักยภาพของพวกมันยังเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในตำรับยาแผนโบราณและการแพทย์แผนปัจจุบัน ในประเทศจีนนั้น "หนังคางคก" ที่เชื่อกันว่ามีพิษ ยังถูกยกย่องว่ามีสรรพคุณหลายด้าน ตั้งแต่ระงับความเจ็บปวดไปจนถึงเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ คางคกส่วนใหญ่ปกป้องตัวเองด้วยการขับสารพิษออกมาสู่ผิวหนังจากต่อมชนิดหนึ่ง



GETTY IMAGES, มิสเตอร์โทด ตัวละครในหนังสือเด็กคลาสสิคเรื่อง 'The Wind in the Willows'


Digitalis ดอกไม้มีพิษติดอันดับต้นๆ ของโลก


อย่างไรก็ตาม คางคกยักษ์ออสเตรเลีย (cane toads) สัตว์ท้องถิ่นทางตอนกลางและใต้ของสหรัฐอเมริกา (ซึ่งกลายเป็นสัตว์รุกรานในหลายพื้นที่) นั้นโดดเด่นเป็นพิเศษจาก Bufotoxin จากต่อมพิษข้างๆหู (พาโรติด /Parotid gland) เป็นน้ำพิษซึ่งมีสารที่เป็นพิษสารที่มีลักษณะคล้ายน้ำนมซึ่งออกฤทธิ์รุนแรงจนสามารถล้มสัตว์ขนาดใหญ่อย่างสุนัข และหากได้รับเข้าไปก็ส่งผลให้มนุษย์เจ็บป่วยอย่างแสนสาหัส นอกจากนั้นยังพบสารพิษอยู่ในเลือดและไข่ของคางคกด้วย  สารพิษเหล่านี้ทนความร้อนโดยไม่สลายตัวได้สูงแม้อุณหภูมิ  100  องศาเซลเซียส 

สารเคมีชนิดหนึ่งในพิษที่ร้ายแรงของคางคกนี้คล้ายคลึงกับพิษของดอก Digitalis หรือถุงมือจิ้งจอก ซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ ถ้าใช้ในปริมาณเล็กน้อยนั้นก็สามารถรักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจล้มเหลวได้ด้วย งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย พบผลลัพธ์ที่เป็นบวก เมื่อลองใช้พิษของคางคกยักษ์ออสเตรเลียยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก  แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของคางคกจะไม่ค่อยน่ารักนัก
แต่หากพวกมันสามารถปราบมะเร็งได้ อาจกล่าวได้ว่า คางคกนั้นก็คงเหมาะสมกับตำแหน่ง " ฮีโร่ที่มีด้านมืด"  




ฉลาม


DAN BEECHAM/BBC BLUE PLANET II, ฉลามสีฟ้า หนึ่งในสายพันธ์ที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำเปิด
พวกมันท่องเที่ยวทางไกลเพื่อหาอาหาร แต่ก็อดอาหารได้นานเป็นอาทิตย์หากไร้เหยื่อ
ตามสื่อประเภทต่างๆ ฉลามมักถูกให้เล่นบทฆาตรกรจอมคลุ้มคลั่งแห่งท้องทะเลอยู่เสมอ  แต่บทเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับเครือญาติหลากหลายที่น่าทึ่งกว่า 400 สกุลของพวกมัน ที่แต่ละสายพันธ์นั้นล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ใจดี ฉลามวาฬ ที่กินแพลงตอนเป็นอาหาร ไปจนถึง ฉลามกบ (epaulette shark) ที่สามารถ 'เดิน' บนพื้นได้ 

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่ว่าฉลามสามารถได้กลิ่นเลือดจากระยะทางไกลหลายไมล์นั้นดูจะเกินจริงไป แต่ฉลามอีกหลายสายพันธุ์ก็มีประสาทสัมผัสที่เป็นเลิศ และเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ตอบสนองได้ว่องไวที่สุดในโลก โดยสามารถรับรู้ถึงสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่บางเบาอย่างมากได้

พวกมันมีอวัยวะรับสัมผัสแสนพิเศษบนหัวที่มีชื่อว่า Ampullae of Lorenzini  เป็นกลุ่มของรูที่อัดแน่นด้วยสารคล้ายเยลลี ด้วยการรับสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดจากเหยื่อซึ่งช่วยให้การล่าแม่นยำยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฉลามหัวค้อนถูหัวของพวกมันไปตามพื้นทรายใต้ทะเล เพื่อค้นหาปลากระเบนที่ซ่อนตัวอยู่
 

รูที่มี ampullae of Lorenzini ของTiger shark


ฉลามอินทรธนูได้รับการตั้งชื่อตามจุดดำที่โดดเด่นหลังครีบอก

นักวิจัยจากสถาบันชีววิทยาทางทะเลฮาวาย พบว่า ฉลามสามารถท่องเที่ยวโดยใช้สภาพแวดล้อมในท้องทะเล และสนามแม่เหล็กโลกเข้าช่วย เพื่อนำทางไปยังจุดออกหากินในเวลากลางคืน จุดพักผ่อนหย่อนใจในเวลากลางวัน หรือแม้กระทั่งติดตามเส้นทางอพยพอันยาวไกลได้อย่างแม่นยำ

ฉลามบางพันธุ์นั้นออกลูกเป็นตัว และมีระยะเวลาตั้งท้องยาวนาน รวมทั้งกว่าปลาฉลามจะโตเต็มวัยก็ใช้เวลามากด้วย ดังนั้นเมื่อถูกรังควานไม่ว่าจะโดยมนุษย์ผู้หวาดกลัว ได้รับผลกระทบจากมลพิษ ถูกล่าเพื่อเอาครีบ หรือติดอยู่ภายในแห ผลกระทบต่อเนื่องที่เกิดขึ้นทำให้จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว
หลายคนเข้าใจว่าฉลามไม่สามารถหยุดนิ่งได้เพราะต้องเคลื่อนไหวเอาออกซิเจนเข้าไปสู่ร่างกาย แต่ความจริงแล้ว อีกหลายสายพันธ์นั้นสามารถดึงก๊าซออกซิเจนเข้าสู่เหงือกโดยอาศัยกล้ามเนื้อส่วนแก้มเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน ระบบช่วยหายใจที่เรียกว่า obligate ram ventilators ของฉลามก็สามารถอาศัยประโยชน์จากกระแสน้ำที่ไหลแรง หรือกระแสน้ำที่มีระดับออกซิเจนสูงดึงออกซิเจนเข้าร่างกายได้ ทำให้สามารถหยุดว่ายน้ำได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ  ในมุมมองแบบโลกสวย อาจกล่าวได้ว่าความดุร้ายของฉลามนั้น ทำให้มันเป็นนักรบที่คอยพิทักษ์สรรพสิ่งในท้องทะเลให้พ้นจากอันตราย




แร้ง
 


ROBERT MUCKLEY, แร้งสวมหมวก (neccrosyrtes monachus) กำลังสยายปีกบินท่ามกลางท้องฟ้าโปร่งที่สดใส

เนื่องจากหนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่ที่เก่งกาจที่สุดนั้นบินได้ นกจึงสมควรนำมาอยู่ในรายชื่อด้วยเช่นกัน  ซึ่งมันคือ แร้ง เจ้าเวหานักเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมที่สุด 
แร้งมีกิตติศัพท์หลากหลายในศิลปวัฒนธรรมยุคใหม่ โดยมักจะรับบทเป็นตัวร้ายสุดโฉด ทว่าในอนิเมชั่นเรื่อง เมาคลีลูกหมาป่า (Jungle Book)
ในปี 1967 แร้งกลับมีบทบาทที่ตราตรึงใจผู้ชมในฐานะเพื่อนผู้ห่วงใยเมาคลี เด็กชายผู้ถูกทอดทิ้ง

แร้งอาจเป็นนกที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีมากที่สุดในโลก  พวกมันเป็นเหมือนอุปมาที่มีชีวิตของความโลภโมโทสันและตะกละตะกลาม ในบันทึกระหว่างเดินทางไปกับเรือหลวง บีเกิล ( HMS Beagle)  เมื่อปี 1835 ชาร์ลส์ ดาร์วิน พูดถึงแร้งว่า “น่าขยะแขยง” มีหัวล้าน “ไว้เกลือกกลั้วของเน่าเหม็น”

นกชนิดนี้มีลักษณะที่น่าพรั่นพรึง ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่เฉียบแหลม ปากอันทรงพลัง หัวโล้นเกลี้ยงเกลา และความกว้างของปีกทั้งสองข้างที่น่าทึ่ง (แร้งดำหิมาลัยในทวีปเอเชียและยุโรปมีปีกที่กว้างได้ถึง 3.1 เมตร) แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรังเกียจแร้งมากที่สุดนั้นดูเหมือนจะเป็นพฤติกรรมการกินของพวกมัน ที่เลือกกินซากศพแทนที่จะกินเหยื่อที่มีชีวิต 
 


แร้ง มีระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคที่น่าทึ่ง รวมถึงน้ำย่อยในกระเพาะที่มีฤทธิ์รุนแรงเพื่อย่อยซากศพ  แร้งตัวหนึ่งจะกินเนื้อได้ราวหนึ่งก.ก.ภายในหนึ่งนาที  ฝูงแร้งขนาดย่อมๆสามารถกินเนื้อม้าลายจากปลายจมูกถึงหางหมดได้ภายใน 30 นาที  หากปราศจากแร้ง  ซากสัตว์ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าอาจคงสภาพอยู่นานขึ้น ส่งผลให้ประชากรแมลงเพิ่มขึ้น และเชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่คน ปศุสัตว์ และสัตว์ป่าอื่นๆ

ปัจจุบัน สายพันธ์แร้งในแอฟริกาและเอเชียกำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากยาพิษ โดยในประเทศอินเดียและปากีสถาน มีการใช้ยาแก้อักเสบชนิดไดโคลฟีแนคในวัว  ส่งผลให้แร้งที่กินซากศพเหล่านั้นเกิดภาวะไตวาย ทำให้จำนวนประชากรแร้งลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ต่อมาหลังจากรัฐบาลห้ามใช้ไดโคลฟีแนคในปศุสัตว์ นักอนุรักษ์ก็พยายามเต็มที่เพื่ออนุรักษ์พวกมัน

และในหลายภูมิภาคที่แร้งเสี่ยงต่อการล่มสลาย  เช่น แอฟริกาสูญเสียแร้งดำหิมาลัย  1ใน 11 ชนิดจากที่มีอยู่ไปแล้ว และขณะนี้แร้งอีกเจ็ดชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ส่วนแร้งหน้าแดง จะพบเฉพาะในพื้นที่อนุรักษ์ ส่วนประชากรแร้งอียิปต์ และแร้งเคราในหลายภูมิภาคก็เกือบสูญพันธุ์เต็มที

ในแอฟริกาตะวันตก แร้งได้ผลกระทบจากซากศพที่ปนเปื้อนสารพิษ ซึ่งแต่เดิมการนำสารพิษมาใช้เพื่อควบคุมประชากรของไฮยีน่าและสุนัขจิ้งจอก นอกจากนี้ พวกมันยังมักจะบินชนสายไฟและกังหันลมจนตกมาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แร้งซึ่งมีสถานะสูงสุดในห่วงโซ่อาหารนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการที่พวกมันบินโฉบลงมาจัดการกับซากต่าง ๆ ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคร้ายแรง เช่น โรคแอนแทรกซ์  ดังนั้น แร้งควรเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่ ในฐานะนักเก็บกวาดที่ยอมทำงานอันแสนสกปรกเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากอันตรายของสิ่งปฏิกูล 
 
 
แร้งสีน้ำตาลอ่อน (Gyps coprotheres)  ในแอฟริกาใต้ 



Cr.https://www.scimath.org/article-biology/item/515-toad / โดย : สุนทร ตรีนันทวัน

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่