คางคกหมอตำแย ( Midwife toad)
คางคกหมอตำแย หรือ กบหมอตำแย เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบหรือคางคก จัดอยู่ในสกุล Alytes ในวงศ์คางคกหมอตำแย (Alytidae)
เป็นกบขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวประมาณ 4–5 เซนติเมตร เหตุที่ได้ชื่อว่า "หมอตำแย" เนื่องจากพฤติกรรมในการแพร่ขยายพันธุ์ เมื่อคางคกตัวผู้ผสมพันธุ์และกอดรัดกับตัวเมียอยู่บนบก เมื่อตัวเมียวางไข่และไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว
คางคกตัวผู้จะกวาดไข่ขึ้นไปแบกไว้บนหลังของตัวเองหรือบนขาหลังแล้วแบกไข่ไว้ตลอดเวลา และจะลงน้ำเป็นบางครั้งเพื่อให้ไข่ได้รับความชุ่มชื้น เมื่อไข่ฟักเป็นลูกอ๊อดแล้ว คางคกตัวผู้ก็จะปล่อยลูกอ๊อดลงสู่แหล่งน้ำ พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปยุโรป จนถึงตะวันออกกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา พบได้ในยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,000–6,500 ฟุต
อ้างอิง
Frost, Darrel R. (2014). "Alytidae Fitzinger, 1843". Amphibian Species of the World: an Online Reference. Version 6.0. American Museum of Natural History. สืบค้นเมื่อ 12 April 2014.
วีรยุทธ์ เลาหะจินดา. วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2552. 458 หน้า. หน้า 320. ISBN 978-616-556-016-0
Cr.
https://th.wikipedia.org/wiki/คางคกหมอตำแย
แมลงดาสวน (Giant Waterbug)
ชื่อท้องถิ่น: แมลงก้าน มวนตะพาบ มวนหลังไข่ อยู่ในวงศ์: Belostomatidae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphaerodema sp.
จะมีขนาดเล็กกว่าแมลงดานามาก ลักษณะลำตัวกว้างแบนและสั้น มีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม มีขาหน้าแบบขาจับใช้สำหรับจับเหยื่อ ขาคู่กลาง และขาคู่หลังเป็นขาสำหรับว่ายน้ำ ที่ปลายท้องมีแพนหางสั้นๆ ลักษณะเป็นแผ่นเล็ก ๆ 2 แผ่นสำหรับช่วยในการหายใจ
แมลงดาสวนตัวเมียจะออกไข่โดยมียางเหนียว ๆ ติดไว้บนหลังของแมลงดาตัวผู้ ให้แบกไข่ติดตัวไปด้วยจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว ขนาด 16 – 18 มิลลิเมตร
มันอาศัยอยู่ในร่องน้ำ แหล่งน้ำจืด บริเวณที่น้ำนิ่งและไหลช้าๆ โดยจะเกาะตามพืชน้ำ กินแมลงอื่น หอยตัวเล็ก และปลาตัวเล็กๆ เป็นอาหาร
แมลงชนิดนี้นำมาประกอบอาหารได้ เช่น คั่ว ทอด หรือตำเป็นน้ำพริก
Cr.
http://www.soccersuck.com/boards/topic/929911 / By ซุปตาร์ยูโร
แมงมุมหมาป่า (Wolf spider)
เป็นแมงมุมนักล่าที่แข็งแกร่งมาก มีทั้งความคล่องแคล่ว ขยับตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีสายตาที่เฉียบแหลม แมงมุมหมาป่าสายพันธ์ในประเทศออสเตรเลียเคยทำให้มนุษย์เสียชีวิต โดยมีลำตัวยาว 3.5 เซนติเมตร (ไม่รวมขา) ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เพียงเล็กน้อย
จากการที่มันมีสายตาที่ยอดเยี่ยมจึงออกหากินได้ทั้งในเวลากลางคืนและกลางวัน ความพิเศษของแมงมุมหมาป่า คือ ตัวเมียจะแบกลูกไว้บนหลังเต็มยั้วเยี้ยไปหมด ทำให้น่าขนลุกจากผู้ที่พบเห็น โดยบริเวณใต้ท้องของเพศเมียจะมีถุงเพื่ออุ้มไข่ไว้ เมื่อตัวอ่อนฟักออกมาก็จะไต่ขึ้นมาเกาะติดอยู่บนหลังของแม่เป็นเวลา 1 ปี หรือจนกว่าลูกจะสามารถหากินเองได้ มีสีน้ำตาลอ่อนค่อนดำ
เป็นแมงมุมที่ไม่สร้างใยดักเหยื่อแบบแมงมุมทั่วไป จะจับเหยื่อกินโดยตรงสามารถกินเหยื่อได้ตั้งแต่ตัวยังมีขนาดเล็ก และไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพราะจะกัดกินกันเอง พบได้ทั่วไปตามทุ่งนาต่างๆ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว วิ่งไปมาได้อย่างเสรีทั้งบนผิวน้ำและกอข้าว มันจะคอยซุ่มดักเหยื่อพร้อมกระโดดกัดและปล่อยพิษร้ายที่ทำให้เกิดอาการคัน, ปวดแสบปวดร้อน พิษยังไม่รุนแรงมากถึงขนาดเสียชีวิต แต่ก็ควรรีบไปรักษาก่อนพิษจะลุกลามจนอันตราย
อาหารของพวกมัน ได้แก่ แมลงขนาดเล็ก เช่น เพลี้ยกระโดด หรือจักจั่น เป็นต้น โดยสายตาของมันมองเห็นได้ดีทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนี้ชื่อของมันน่าจะมาจากพฤติกรรมการออกล่าที่คล่องแคล่วราวกับหมาป่านั่นเอง
Cr.
https://www.spidr.org/แมงมุมหมาป่า-นักฆ่า-8-ขาผ/
แมงป่องช้าง Giant scorpion
แมงป่องช้างเป็นสัตว์มีเปลือกแข็งหุ้ม ลำตัวเรียว มีขาจำนวน ๔ คู่ อวัยวะที่โดดเด่น คือ “ก้ามใหญ่”๑ คู่ที่ทรงพลัง มีหางเรียวยาว เรียกว่า”เมตาโซมา” (metasoma) ประกอบด้วยปล้อง ๕ ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ”ปล้องพิษ” มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า”เหล็กไน” (sting apparatus) เสมือนเป็นเข็มเพชฌฆาต ฉีดพิษเพื่อคร่าชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
แม้ว่าแมงป่องมีตาหลายคู่ แต่มีประสิทธิภาพการมองเห็นต่ำมาก จึงถูกทดแทนด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมอยู่ทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณปล้องเพชฌฆาต ขนเหล่านี้รับความรู้สึกจากการเคลื่อนไหวของอากาศทำให้แมงป่องไวต่อเสียง
หลังการผสมพันธุ์ แมงป่องช้างสาวจะตั้งท้อง มันไม่ได้วางไข่แต่จะคลอดลูกเป็นตัว ลูกจะคลอดโดยเอาก้นออกมาก่อน หลังคลอดจากท้องแม่แล้ว ลูกๆ จะรวบรวมกำลังปีนขึ้นไปอยู่บนหลังแม่ด้วยตนเอง ระยะนี้คาดว่าแม่แมงป่องจะกินอาหารและน้ำน้อยมาก และไม่พักผ่อนเลย เพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดเฝ้าคอยระแวดระวังภัยที่อาจกล้ำกรายสู่ลูก ส่วนแมงป่องตัวน้อยเหล่านี้จะอยู่บนหลังแม่นานถึงสองสัปดาห์โดยไม่กินน้ำและอาหาร
หากลูกอ่อนพลัดตกจากหลังแม่ แม่จะไม่ช่วยมันกลับขึ้นไปบนหลัง มันจึงอาจตกเป็นอาหารของสัตว์อื่น และอาจถูกแม่ของตัวเองจับกิน เพื่อมิให้ลูกน้อยที่อ่อนแอเป็นเสมือนเหยื่อที่จะชักนำให้ศัตรูเข้ามาใกล้
ลักษณะพิเศษของแมงป่อง (ไม่เฉพาะแมงป่องช้าง) คือมีสารชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบแน่นอน ฝังตัวอยู่เป็นชั้นบางๆ ในเปลือกของแมงป่อง สารชนิดนี้ทำให้เปลือกแมงป่องเรืองแสงสีเขียวภายใต้แสง UV ถึงแม้แมงป่องตายไปแล้วเป็นเวลานาน คุณสมบัติเรืองแสงนี้ก็ยังคงอยู่ จากฟอสซิลแมงป่องอายุหลายร้อยปีพบว่า แม้ว่าเปลือกจะไม่คงรูปร่างแล้ว แต่สารเรืองแสงยังคงฝังตัวติดกับหินฟอสซิล
เรื่องโดย นันทวัน เอื้อวงศ์กูล, ผศ.ดร.ศักดา ดาดวง
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Cr.
https://www.sarakadee.com/2004/01/16/scorpion/
คางคกสุรินัม Surinam toad
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pipa pipa มีอีกชื่อหนึ่งว่า คางคกนิ้วดาว เนื่องจากพวกมันมีพังพืดเชื่อมระหว่างนิ้วเท้าหน้าขนาดเล็ก ทำให้นิ้วเท้าแยกจากกันจนมีลักษณะคล้ายนิ้วแยกเป็น แฉกเหมือนดาว
ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ คางคกสุรินัมมีลำตัวคล้ายทรงสี่เหลี่ยม หัวป็นรูปทรงสามเหลี่ยม มีสีเทาไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ขนาด ๑๐ - ๑๓ เซนติเมตร แต่ตัวใหญ่ถึงได้ถึง ๒๐ เซนติเมตร ไม่มีทั้งลิ้นและฟันจึงใช้ปากงับหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร บางครั้งจะทำตัวลีบแบนเหมือนใบไม้หรือซากกบที่แห้งตาย คางคกสุรินัมไม่ได้ร้องจับคู่เหมือนคางคกชนิดอื่นๆ แต่ใช้วิธีสร้างเสียงแหลมๆด้วยการหักกระดูกส่วน hyoid ที่อยู่ในลำคอแทน
คางคกซูรินามมีพฤติกรรมที่เป็นที่น่าสนใจ คือ ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์กับตัวผู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวผู้จะว่ายขึ้นสู่ด้านบนของหลังตัวเมีย เพื่อนำไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ววางลงบนหลังตัวเมีย ซึ่งจะมีไข่ทั้งหมดราว 60-100 ฟอง ไข่จะฝังลงบนหลังของตัวเมีย ผ่านไป 10 วัน ไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อด แต่ยังไม่ออกมาจากหลัง จนกระทั่งผ่านไปราว 10-20 สัปดาห์ที่พัฒนาเหมือนตัวเต็มวัยที่มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร จะผุดโผล่มาจากหลังตัวเมียจนผิวบนหลังเป็นรูพรุนเต็มไปหมด และแยกย้ายออกไปใช้ชีวิตเอง
ปัจจุบันคางคกสุรินัมจำนวนลดลงไปมากสาเหตุจากการทำลายแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของคางคกสุรินัม จึงมีการนำมาเพาะพันธุ์และเป็นคางคกยอดนิยมอีกชนิดนึงของผู้เลี้ยงสัตว์แปลก
Cr. Junior Wolfpack
ขอบคุณที่มา:
http://wowboom.blogspot.com/2010/09/surinam-toad.html
ขอบคุณที่มา:
http://www.xn--12c1bij4d1a0fza6gi5c.com/fact-of-surinam-toad.html
Cr.
https://board.postjung.com/992315
โอพอสซัม (Opossum)
หรือเรียกโดยทั่วไปว่าพอสซัม มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์คือ อันดับโอพอสซัม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู แต่มีถุงหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ ในซีกโลกตะวันตก จมูกยาว กะโหลกแคบ และมีปุ่มกระดูกบริเวณกระหม่อม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีฟันเต็มส่วนกราม ซึ่งจะมีเขี้ยวที่มีขนาดใหญ่กว่าฟันอื่นๆ
ตามปกติแล้วเขาจะให้กำเนิดลูกในฤดุหนาวหลังจากที่ตั้งครรภ์แล้ว 12-14 วัน และลูกพอสซัมที่เพิ่งเกิดใหม่จะอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่เป็นเวลา 70-125 วัน ก่อนที่จะย้ายออกมาเกาะติดที่หลังของแม่เป็นเวลาอีกประมาณ 2 เดือน
โอพอสซัมนั้นเป็นสัตว์ที่เดินโดยใช้ฝ่าเท้าราบไปกับพื้น นิ้วหัวแม่มือสามารถพับขวางฝ่ามือได้ ซึ่งเหมือนกันกับลิงยุคใหม่ มีถุงหน้าท้องขนาดกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าแมวทั่วไป และขนาดเล็กสุดเท่ากับหนูขนาดเล็ก
โอพอสซัมเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อเป็นอาหาร เมื่อพวกเขาถูกคุกคามจะแสดงปฏิกิริยาการตอบสนองในรูปแบบของการแกล้งตาย โดยมีระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 40 นาที ถึง 4 ชั่วโมง
โอพอสซัมมีระบบภูมิคุ้มกันที่น่าทึ่งมาก เพราะมันสามารถแสดงความต้านทานของพิษจากงูหางกระดิ่ง และงูพิษชนิดอื่นๆได้บางส่วน หรือทั้งหมดของพิษ ที่สำคัญยังพบอีกว่าโอพอสมีโอกาศน้อยมากที่จะเป็นพาหะของดรคพิษสุนัขบ้า
เรื่องโดย เที่ยวขอนแก่น Khonkaen Exotic Pets & The fountain Show
Cr.
https://www.facebook.com/kkepfs888/posts/1502303206541154/
มวนเพชฌฆาต Assassin Bug
มวนเพชฌฆาต มีนิสัยดุร้าย ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดูดกลืนของเหลวในแมลงอื่นๆ เป็นอาหาร และในกรณีนี้นั่นก็คือเหล่ามดผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง
แต่ความโหดของมันไม่ได้อยู่กับที่มดเท่านั้น เพราะมันยังล่าแมลงแทบทุกชนิดที่ตัวเล็กหรือพอๆ กับมัน ส่วนแมลงที่ตัวใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่จะรอด ในบางครั้งก็ตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน และมันยังล่าพวกเดียวกันเป็นอาหารด้วย ถ้าหิวมากจริงๆ
สายพันธุ์ของมันนั้นมีอยู่กระจายรอบโลก ปกติแล้วมันมีความยาวราวๆ 1 เซ็นติเมตร อาวุธและอุปกรณ์ที่ใช้หาอาหารของมันก็คือ ‘ปาก’ เท่านั้น
การล่าเหยื่อนั้น มันจะยื่นจงอยปากของมันแทงเข้าสู่ตัวเหยื่อและปล่อยน้ำลายพิษใส่ พิษของมวนนั้นจะมีความรุนแรงจนทำให้เหยื่อเสียชีวิต หลังจากนั้นพวกมันก็จะดูดกลืนของเหลวทั้งหมดในตัวเหยื่อจนเหือดแห้งและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
หลักจากนั้นมันจะเก็บศพของเหล่าเหยื่อที่ถูกดูดกินของเหลวไปแล้วสะสมไว้บนหลัง ปล่อยสารเหนียวๆ ออกมาเพื่อทำให้ซากศพของเหยื่อยึดติดกันเป็นหนึ่งในกลไกป้องกันตัวและหาอาหาร เมื่อมันสะสมซากศพของเหยื่อได้มากพอก็จะทำให้มันมีขนาดตัวที่ดูใหญ่ขึ้น ทำให้แมลงตัวอื่นๆ ไม่กล้ามาล่ามัน ส่วนซากศพของมดยังช่วยอำพรางกลิ่นของตัวมันเอง ซึ่งในกรณีนี้จะช่วยทั้งการพรางตัวและหาอาหารต่อไป
เจ้าแมลงตัวนี้จะมีวงจรชีวิตราวๆ 140 – 180 วัน สามารถวางไข่ได้ 1-3 ครั้งในระยะเวลาที่ห่างกัน 10 – 15 วัน จำนวน 50 – 150 ฟองต่อหนึ่งกลุ่ม และใช้เวลาราวๆ 20 วันในการฟักจนเป็นตัวอ่อน
ที่มา: Mata, Dnp, Arkin, warrenlaurde
Cr.
https://www.catdumb.com/assassin-bug-333/ By อดีตเหมียว
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สัตว์ที่เลี้ยงลูกไว้บนไว้บนหลัง
คางคกหมอตำแย หรือ กบหมอตำแย เป็นสกุลของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกจำพวกกบหรือคางคก จัดอยู่ในสกุล Alytes ในวงศ์คางคกหมอตำแย (Alytidae)
เป็นกบขนาดเล็ก มีความยาวลำตัวประมาณ 4–5 เซนติเมตร เหตุที่ได้ชื่อว่า "หมอตำแย" เนื่องจากพฤติกรรมในการแพร่ขยายพันธุ์ เมื่อคางคกตัวผู้ผสมพันธุ์และกอดรัดกับตัวเมียอยู่บนบก เมื่อตัวเมียวางไข่และไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว
คางคกตัวผู้จะกวาดไข่ขึ้นไปแบกไว้บนหลังของตัวเองหรือบนขาหลังแล้วแบกไข่ไว้ตลอดเวลา และจะลงน้ำเป็นบางครั้งเพื่อให้ไข่ได้รับความชุ่มชื้น เมื่อไข่ฟักเป็นลูกอ๊อดแล้ว คางคกตัวผู้ก็จะปล่อยลูกอ๊อดลงสู่แหล่งน้ำ พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปยุโรป จนถึงตะวันออกกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา พบได้ในยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,000–6,500 ฟุต
อ้างอิง
Frost, Darrel R. (2014). "Alytidae Fitzinger, 1843". Amphibian Species of the World: an Online Reference. Version 6.0. American Museum of Natural History. สืบค้นเมื่อ 12 April 2014.
วีรยุทธ์ เลาหะจินดา. วิทยาสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2552. 458 หน้า. หน้า 320. ISBN 978-616-556-016-0
Cr.https://th.wikipedia.org/wiki/คางคกหมอตำแย
แมลงดาสวน (Giant Waterbug)
ชื่อท้องถิ่น: แมลงก้าน มวนตะพาบ มวนหลังไข่ อยู่ในวงศ์: Belostomatidae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sphaerodema sp.
จะมีขนาดเล็กกว่าแมลงดานามาก ลักษณะลำตัวกว้างแบนและสั้น มีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม มีขาหน้าแบบขาจับใช้สำหรับจับเหยื่อ ขาคู่กลาง และขาคู่หลังเป็นขาสำหรับว่ายน้ำ ที่ปลายท้องมีแพนหางสั้นๆ ลักษณะเป็นแผ่นเล็ก ๆ 2 แผ่นสำหรับช่วยในการหายใจ
แมลงดาสวนตัวเมียจะออกไข่โดยมียางเหนียว ๆ ติดไว้บนหลังของแมลงดาตัวผู้ ให้แบกไข่ติดตัวไปด้วยจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัว ขนาด 16 – 18 มิลลิเมตร
มันอาศัยอยู่ในร่องน้ำ แหล่งน้ำจืด บริเวณที่น้ำนิ่งและไหลช้าๆ โดยจะเกาะตามพืชน้ำ กินแมลงอื่น หอยตัวเล็ก และปลาตัวเล็กๆ เป็นอาหาร
แมลงชนิดนี้นำมาประกอบอาหารได้ เช่น คั่ว ทอด หรือตำเป็นน้ำพริก
Cr.http://www.soccersuck.com/boards/topic/929911 / By ซุปตาร์ยูโร
แมงมุมหมาป่า (Wolf spider)
เป็นแมงมุมนักล่าที่แข็งแกร่งมาก มีทั้งความคล่องแคล่ว ขยับตัวไปมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีสายตาที่เฉียบแหลม แมงมุมหมาป่าสายพันธ์ในประเทศออสเตรเลียเคยทำให้มนุษย์เสียชีวิต โดยมีลำตัวยาว 3.5 เซนติเมตร (ไม่รวมขา) ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้เพียงเล็กน้อย
จากการที่มันมีสายตาที่ยอดเยี่ยมจึงออกหากินได้ทั้งในเวลากลางคืนและกลางวัน ความพิเศษของแมงมุมหมาป่า คือ ตัวเมียจะแบกลูกไว้บนหลังเต็มยั้วเยี้ยไปหมด ทำให้น่าขนลุกจากผู้ที่พบเห็น โดยบริเวณใต้ท้องของเพศเมียจะมีถุงเพื่ออุ้มไข่ไว้ เมื่อตัวอ่อนฟักออกมาก็จะไต่ขึ้นมาเกาะติดอยู่บนหลังของแม่เป็นเวลา 1 ปี หรือจนกว่าลูกจะสามารถหากินเองได้ มีสีน้ำตาลอ่อนค่อนดำ
เป็นแมงมุมที่ไม่สร้างใยดักเหยื่อแบบแมงมุมทั่วไป จะจับเหยื่อกินโดยตรงสามารถกินเหยื่อได้ตั้งแต่ตัวยังมีขนาดเล็ก และไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพราะจะกัดกินกันเอง พบได้ทั่วไปตามทุ่งนาต่างๆ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว วิ่งไปมาได้อย่างเสรีทั้งบนผิวน้ำและกอข้าว มันจะคอยซุ่มดักเหยื่อพร้อมกระโดดกัดและปล่อยพิษร้ายที่ทำให้เกิดอาการคัน, ปวดแสบปวดร้อน พิษยังไม่รุนแรงมากถึงขนาดเสียชีวิต แต่ก็ควรรีบไปรักษาก่อนพิษจะลุกลามจนอันตราย
อาหารของพวกมัน ได้แก่ แมลงขนาดเล็ก เช่น เพลี้ยกระโดด หรือจักจั่น เป็นต้น โดยสายตาของมันมองเห็นได้ดีทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนี้ชื่อของมันน่าจะมาจากพฤติกรรมการออกล่าที่คล่องแคล่วราวกับหมาป่านั่นเอง
Cr.https://www.spidr.org/แมงมุมหมาป่า-นักฆ่า-8-ขาผ/
แมงป่องช้าง Giant scorpion
แมงป่องช้างเป็นสัตว์มีเปลือกแข็งหุ้ม ลำตัวเรียว มีขาจำนวน ๔ คู่ อวัยวะที่โดดเด่น คือ “ก้ามใหญ่”๑ คู่ที่ทรงพลัง มีหางเรียวยาว เรียกว่า”เมตาโซมา” (metasoma) ประกอบด้วยปล้อง ๕ ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ”ปล้องพิษ” มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า”เหล็กไน” (sting apparatus) เสมือนเป็นเข็มเพชฌฆาต ฉีดพิษเพื่อคร่าชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
แม้ว่าแมงป่องมีตาหลายคู่ แต่มีประสิทธิภาพการมองเห็นต่ำมาก จึงถูกทดแทนด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมอยู่ทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณปล้องเพชฌฆาต ขนเหล่านี้รับความรู้สึกจากการเคลื่อนไหวของอากาศทำให้แมงป่องไวต่อเสียง
หลังการผสมพันธุ์ แมงป่องช้างสาวจะตั้งท้อง มันไม่ได้วางไข่แต่จะคลอดลูกเป็นตัว ลูกจะคลอดโดยเอาก้นออกมาก่อน หลังคลอดจากท้องแม่แล้ว ลูกๆ จะรวบรวมกำลังปีนขึ้นไปอยู่บนหลังแม่ด้วยตนเอง ระยะนี้คาดว่าแม่แมงป่องจะกินอาหารและน้ำน้อยมาก และไม่พักผ่อนเลย เพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดเฝ้าคอยระแวดระวังภัยที่อาจกล้ำกรายสู่ลูก ส่วนแมงป่องตัวน้อยเหล่านี้จะอยู่บนหลังแม่นานถึงสองสัปดาห์โดยไม่กินน้ำและอาหาร
หากลูกอ่อนพลัดตกจากหลังแม่ แม่จะไม่ช่วยมันกลับขึ้นไปบนหลัง มันจึงอาจตกเป็นอาหารของสัตว์อื่น และอาจถูกแม่ของตัวเองจับกิน เพื่อมิให้ลูกน้อยที่อ่อนแอเป็นเสมือนเหยื่อที่จะชักนำให้ศัตรูเข้ามาใกล้
ลักษณะพิเศษของแมงป่อง (ไม่เฉพาะแมงป่องช้าง) คือมีสารชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบแน่นอน ฝังตัวอยู่เป็นชั้นบางๆ ในเปลือกของแมงป่อง สารชนิดนี้ทำให้เปลือกแมงป่องเรืองแสงสีเขียวภายใต้แสง UV ถึงแม้แมงป่องตายไปแล้วเป็นเวลานาน คุณสมบัติเรืองแสงนี้ก็ยังคงอยู่ จากฟอสซิลแมงป่องอายุหลายร้อยปีพบว่า แม้ว่าเปลือกจะไม่คงรูปร่างแล้ว แต่สารเรืองแสงยังคงฝังตัวติดกับหินฟอสซิล
เรื่องโดย นันทวัน เอื้อวงศ์กูล, ผศ.ดร.ศักดา ดาดวง
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Cr.https://www.sarakadee.com/2004/01/16/scorpion/
คางคกสุรินัม Surinam toad
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pipa pipa มีอีกชื่อหนึ่งว่า คางคกนิ้วดาว เนื่องจากพวกมันมีพังพืดเชื่อมระหว่างนิ้วเท้าหน้าขนาดเล็ก ทำให้นิ้วเท้าแยกจากกันจนมีลักษณะคล้ายนิ้วแยกเป็น แฉกเหมือนดาว
ถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ คางคกสุรินัมมีลำตัวคล้ายทรงสี่เหลี่ยม หัวป็นรูปทรงสามเหลี่ยม มีสีเทาไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ขนาด ๑๐ - ๑๓ เซนติเมตร แต่ตัวใหญ่ถึงได้ถึง ๒๐ เซนติเมตร ไม่มีทั้งลิ้นและฟันจึงใช้ปากงับหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร บางครั้งจะทำตัวลีบแบนเหมือนใบไม้หรือซากกบที่แห้งตาย คางคกสุรินัมไม่ได้ร้องจับคู่เหมือนคางคกชนิดอื่นๆ แต่ใช้วิธีสร้างเสียงแหลมๆด้วยการหักกระดูกส่วน hyoid ที่อยู่ในลำคอแทน
คางคกซูรินามมีพฤติกรรมที่เป็นที่น่าสนใจ คือ ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์กับตัวผู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวผู้จะว่ายขึ้นสู่ด้านบนของหลังตัวเมีย เพื่อนำไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ววางลงบนหลังตัวเมีย ซึ่งจะมีไข่ทั้งหมดราว 60-100 ฟอง ไข่จะฝังลงบนหลังของตัวเมีย ผ่านไป 10 วัน ไข่จะฟักเป็นลูกอ๊อด แต่ยังไม่ออกมาจากหลัง จนกระทั่งผ่านไปราว 10-20 สัปดาห์ที่พัฒนาเหมือนตัวเต็มวัยที่มีความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร จะผุดโผล่มาจากหลังตัวเมียจนผิวบนหลังเป็นรูพรุนเต็มไปหมด และแยกย้ายออกไปใช้ชีวิตเอง
ปัจจุบันคางคกสุรินัมจำนวนลดลงไปมากสาเหตุจากการทำลายแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของคางคกสุรินัม จึงมีการนำมาเพาะพันธุ์และเป็นคางคกยอดนิยมอีกชนิดนึงของผู้เลี้ยงสัตว์แปลก
Cr. Junior Wolfpack
ขอบคุณที่มา: http://wowboom.blogspot.com/2010/09/surinam-toad.html
ขอบคุณที่มา: http://www.xn--12c1bij4d1a0fza6gi5c.com/fact-of-surinam-toad.html
Cr.https://board.postjung.com/992315
โอพอสซัม (Opossum)
หรือเรียกโดยทั่วไปว่าพอสซัม มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์คือ อันดับโอพอสซัม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู แต่มีถุงหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ ในซีกโลกตะวันตก จมูกยาว กะโหลกแคบ และมีปุ่มกระดูกบริเวณกระหม่อม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีฟันเต็มส่วนกราม ซึ่งจะมีเขี้ยวที่มีขนาดใหญ่กว่าฟันอื่นๆ
ตามปกติแล้วเขาจะให้กำเนิดลูกในฤดุหนาวหลังจากที่ตั้งครรภ์แล้ว 12-14 วัน และลูกพอสซัมที่เพิ่งเกิดใหม่จะอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่เป็นเวลา 70-125 วัน ก่อนที่จะย้ายออกมาเกาะติดที่หลังของแม่เป็นเวลาอีกประมาณ 2 เดือน
โอพอสซัมนั้นเป็นสัตว์ที่เดินโดยใช้ฝ่าเท้าราบไปกับพื้น นิ้วหัวแม่มือสามารถพับขวางฝ่ามือได้ ซึ่งเหมือนกันกับลิงยุคใหม่ มีถุงหน้าท้องขนาดกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าแมวทั่วไป และขนาดเล็กสุดเท่ากับหนูขนาดเล็ก
โอพอสซัมเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อเป็นอาหาร เมื่อพวกเขาถูกคุกคามจะแสดงปฏิกิริยาการตอบสนองในรูปแบบของการแกล้งตาย โดยมีระยะเวลาอยู่ที่ประมาณ 40 นาที ถึง 4 ชั่วโมง
โอพอสซัมมีระบบภูมิคุ้มกันที่น่าทึ่งมาก เพราะมันสามารถแสดงความต้านทานของพิษจากงูหางกระดิ่ง และงูพิษชนิดอื่นๆได้บางส่วน หรือทั้งหมดของพิษ ที่สำคัญยังพบอีกว่าโอพอสมีโอกาศน้อยมากที่จะเป็นพาหะของดรคพิษสุนัขบ้า
เรื่องโดย เที่ยวขอนแก่น Khonkaen Exotic Pets & The fountain Show
Cr.https://www.facebook.com/kkepfs888/posts/1502303206541154/
มวนเพชฌฆาต Assassin Bug
มวนเพชฌฆาต มีนิสัยดุร้าย ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดูดกลืนของเหลวในแมลงอื่นๆ เป็นอาหาร และในกรณีนี้นั่นก็คือเหล่ามดผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง
แต่ความโหดของมันไม่ได้อยู่กับที่มดเท่านั้น เพราะมันยังล่าแมลงแทบทุกชนิดที่ตัวเล็กหรือพอๆ กับมัน ส่วนแมลงที่ตัวใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่จะรอด ในบางครั้งก็ตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน และมันยังล่าพวกเดียวกันเป็นอาหารด้วย ถ้าหิวมากจริงๆ
สายพันธุ์ของมันนั้นมีอยู่กระจายรอบโลก ปกติแล้วมันมีความยาวราวๆ 1 เซ็นติเมตร อาวุธและอุปกรณ์ที่ใช้หาอาหารของมันก็คือ ‘ปาก’ เท่านั้น
การล่าเหยื่อนั้น มันจะยื่นจงอยปากของมันแทงเข้าสู่ตัวเหยื่อและปล่อยน้ำลายพิษใส่ พิษของมวนนั้นจะมีความรุนแรงจนทำให้เหยื่อเสียชีวิต หลังจากนั้นพวกมันก็จะดูดกลืนของเหลวทั้งหมดในตัวเหยื่อจนเหือดแห้งและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
หลักจากนั้นมันจะเก็บศพของเหล่าเหยื่อที่ถูกดูดกินของเหลวไปแล้วสะสมไว้บนหลัง ปล่อยสารเหนียวๆ ออกมาเพื่อทำให้ซากศพของเหยื่อยึดติดกันเป็นหนึ่งในกลไกป้องกันตัวและหาอาหาร เมื่อมันสะสมซากศพของเหยื่อได้มากพอก็จะทำให้มันมีขนาดตัวที่ดูใหญ่ขึ้น ทำให้แมลงตัวอื่นๆ ไม่กล้ามาล่ามัน ส่วนซากศพของมดยังช่วยอำพรางกลิ่นของตัวมันเอง ซึ่งในกรณีนี้จะช่วยทั้งการพรางตัวและหาอาหารต่อไป
เจ้าแมลงตัวนี้จะมีวงจรชีวิตราวๆ 140 – 180 วัน สามารถวางไข่ได้ 1-3 ครั้งในระยะเวลาที่ห่างกัน 10 – 15 วัน จำนวน 50 – 150 ฟองต่อหนึ่งกลุ่ม และใช้เวลาราวๆ 20 วันในการฟักจนเป็นตัวอ่อน
ที่มา: Mata, Dnp, Arkin, warrenlaurde
Cr.https://www.catdumb.com/assassin-bug-333/ By อดีตเหมียว
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)