300ชีวิตช็อกตกงาน รง.ชุมนุมสหกรณ์สวนปาล์มฯปิดตัว
300 ชีวิตช็อกตกงานทันที หลังโรงงานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.กระบี่ ปิดตัว แถมไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เหตุขาดทุนต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. แหล่งข่าวจากทางผู้บริหารชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.อ่าวลุก และ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ทางโรงงานได้เรียกประชุมพนักงาน พร้อมกับแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.เป็นต้นไป ทางชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมัน ประกาศหยุดชั่วคราว รวมเวลาประมาณ 2 เดือน โดยจะเปิดทำการอีกครั้งประมาณปลายเดือนมกราคม ส่วนสาเหตุเกิดจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พนักงานกว่า 300 ชีวิตต้องตกงานกะทันหัน
แหล่งข่าวรายเดิม ยังระบุว่า เป็นไปตามความคาดหมายว่า ทางชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่จะปิดกิจการ เนื่องจากที่ผ่านมามีผลประกอบการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องทำให้ทางชุมนุมสหกรณ์ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก และต้องประกาศหยุดกิจการชั่วคราวในวันนี้ ทางพนักงานทุกคนก็เข้าใจดี และมีผล กระทบบ้างกับพนักงานบางคน แต่ไม่มากนักเนื่องจากส่วนใหญ่ เป็นชาวสวนปาล์มน้ำมัน มีสวนปาล์มและสวนยางพาราประกอบกิจการอยู่แล้ว พอจะมีรายได้บ้าง เพื่อรอวันที่ทางชุมนุมสหกรณ์กลับมาเปิดทำการอีกครั้งในต้นปีหน้า
สำหรับชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ประกอบกิจการโรงงานสกัดน้ำปาล์มโดยรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกร เป็นหลัก โดยที่ผ่านมามีผลประกอบการกำไรปีละไม่ต่ำกว่า 2-3 ร้อยล้านบาท แต่มาระยะหลังต้องประสบกับปัญหาในหลายๆ ด้าน ทำให้ทางชุมนุมสหกรณ์ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนี้สินหลายสิบล้านบาท จนต้องปิดกิจการชั่วคราวในวันนี้เนื่องจากขาดสภาพคล่อง
ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตก สารพัดปัจจัยลบ-รัฐเร่งเดินหน้าประกันรายได้
https://www.thairath.co.th/news/business/1973776
พาณิชย์เผยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำ จากหลายสาเหตุรุมเร้า ทั้งโควิด-19 กระทบต่อการบริโภค ส่งออกน้อย ขณะที่ราคาข้าวไทยแพง หลังบาทแข็งทำแข่งขันยาก แต่รัฐเร่งเดินหน้าโครงการประกันรายได้ข้าวเปลือก 5 ชนิด พร้อมออกมาตรการคู่ขนานแล้ว ยันช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกได้แน่นอน
นาย
วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบปัญหาข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตกต่ำว่า ขอชี้แจงว่า ขณะนี้ผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิฤดูกาลผลิตปี 63/64 อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวและกำลังทยอยออกสู่ตลาด ผู้นำเข้ารอดูสถานการณ์ผลผลิตข้าวไทย
ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวน้อยลง อีกทั้งยังมีปัญหาการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งทำให้แข่งขันได้ยาก และปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าค่าเงินของประเทศคู่แข่ง รวมถึงผู้ค้าข้าวได้ระบายข้าวเพื่อเสริมสภาพคล่องรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่
"ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในช่วงนี้ปรับตัวลดลง โดยข้าวเกี่ยวสดความชื้น 28-30% ตันละ 9,500-10,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกแห้ง ความชื้นไม่เกิน 15% ตันละ 12,000-12,500 บาท แต่เชื่อว่าสถานการณ์ราคาจะดีขึ้น หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 3 พ.ย.63 อนุมัติในหลักการในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 63/64 รอบที่ 1 พร้อมมาตรการคู่ขนานและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 63/64"
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกปี 63/64 รอบที่ 1 นั้น กำหนดราคาประกันข้าวเปลือก 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละราคา 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน, ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน, ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน, ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน โดยจะจ่ายเงินส่วนต่างของราคาประกันและราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงให้เกษตรกร ซึ่งหากราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงต่ำกว่าราคาประกัน เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยส่วนต่าง
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการคู่ขนาน ซึ่งจะช่วยดูดซับผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่จะออกสู่ตลาดมาก ในช่วงเดือน พ.ย.นี้ โดยจูงใจให้เกษตรกร สหกรณ์ สถาบันเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการค้าข้าวทั่วไปเก็บสต๊อก เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพราคาตลาด โดยมีเป้าหมาย 7 ล้านตันข้าวเปลือกผ่านโครงการต่างๆ ทั้ง โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี (จำนำยุ้งฉาง)
โดยจะให้ค่าฝากเก็บกับเกษตรกรที่ตันละ 1,500 บาท เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน, โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร สหกรณ์ โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 1% เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ในการเก็บสต๊อก โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ 3% เป้าหมาย 4 ล้านตัน
ส่วนการส่งออกข้าวไทยในปี 64 คงต้องรอดูปริมาณของผลผลิตข้าวในปี 63/64 ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด เบื้องต้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดว่าจะมีผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เพราะปริมาณน้ำที่มีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก และน่าจะส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศลดลง จากราคาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจะทำให้ช่องว่างของราคาข้าวไทยกับข้าวของประเทศคู่แข่งลดน้อยลง ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกดีขึ้น และน่าจะส่งผลให้การส่งออกในปี 64 ดีกว่าในปี 63
ขณะที่ประเด็นที่ไทยไม่มีพันธุ์ข้าวที่ไปแข่งขันในตลาดโลกนั้น คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย.63 เห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 63-67 แล้ว โดยมีวิสัยทัศน์คือ ไทยเป็นผู้นําการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยเน้น “
ตลาดนำการผลิต” เพื่อผลิตชนิดข้าวให้ตอบสนองความต้องการของตลาด
โดยมีการจัดกลุ่มข้าวไทยเป็น 7 ชนิด ตามความต้องการของตลาด 3 ตลาด ได้แก่ ตลาดพรีเมี่ยม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมไทย, ตลาดทั่วไป ได้แก่ ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง และข้าวนึ่ง และตลาดเฉพาะ ได้แก่ ข้าวเหนียว และข้าวสี หรือข้าวคุณลักษณะพิเศษ กำหนดให้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่สามารถแข่งขันกับพันธุ์ของคู่แข่งในตลาดโลก เช่น เวียดนาม เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งยกระดับและเร่งรัดการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดให้มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น ต้นเตี้ย ผลผลิตสูง และคุณภาพดี (สั้น เตี้ย ดก ดี)
JJNY : 4in1 300ชีวิตช็อกตกงาน/ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตก/พท.จี้รัฐแทรกแซงราคาข้าว/ครช.ยื่นชวนตีกลับร่างกม.ประชามติ
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. แหล่งข่าวจากทางผู้บริหารชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.อ่าวลุก และ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ทางโรงงานได้เรียกประชุมพนักงาน พร้อมกับแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.เป็นต้นไป ทางชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมัน ประกาศหยุดชั่วคราว รวมเวลาประมาณ 2 เดือน โดยจะเปิดทำการอีกครั้งประมาณปลายเดือนมกราคม ส่วนสาเหตุเกิดจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พนักงานกว่า 300 ชีวิตต้องตกงานกะทันหัน
แหล่งข่าวรายเดิม ยังระบุว่า เป็นไปตามความคาดหมายว่า ทางชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่จะปิดกิจการ เนื่องจากที่ผ่านมามีผลประกอบการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องทำให้ทางชุมนุมสหกรณ์ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก และต้องประกาศหยุดกิจการชั่วคราวในวันนี้ ทางพนักงานทุกคนก็เข้าใจดี และมีผล กระทบบ้างกับพนักงานบางคน แต่ไม่มากนักเนื่องจากส่วนใหญ่ เป็นชาวสวนปาล์มน้ำมัน มีสวนปาล์มและสวนยางพาราประกอบกิจการอยู่แล้ว พอจะมีรายได้บ้าง เพื่อรอวันที่ทางชุมนุมสหกรณ์กลับมาเปิดทำการอีกครั้งในต้นปีหน้า
สำหรับชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดกระบี่ ประกอบกิจการโรงงานสกัดน้ำปาล์มโดยรับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกร เป็นหลัก โดยที่ผ่านมามีผลประกอบการกำไรปีละไม่ต่ำกว่า 2-3 ร้อยล้านบาท แต่มาระยะหลังต้องประสบกับปัญหาในหลายๆ ด้าน ทำให้ทางชุมนุมสหกรณ์ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนี้สินหลายสิบล้านบาท จนต้องปิดกิจการชั่วคราวในวันนี้เนื่องจากขาดสภาพคล่อง
ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตก สารพัดปัจจัยลบ-รัฐเร่งเดินหน้าประกันรายได้
https://www.thairath.co.th/news/business/1973776
พาณิชย์เผยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำ จากหลายสาเหตุรุมเร้า ทั้งโควิด-19 กระทบต่อการบริโภค ส่งออกน้อย ขณะที่ราคาข้าวไทยแพง หลังบาทแข็งทำแข่งขันยาก แต่รัฐเร่งเดินหน้าโครงการประกันรายได้ข้าวเปลือก 5 ชนิด พร้อมออกมาตรการคู่ขนานแล้ว ยันช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกได้แน่นอน
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบปัญหาข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตกต่ำว่า ขอชี้แจงว่า ขณะนี้ผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิฤดูกาลผลิตปี 63/64 อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวและกำลังทยอยออกสู่ตลาด ผู้นำเข้ารอดูสถานการณ์ผลผลิตข้าวไทย
ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวน้อยลง อีกทั้งยังมีปัญหาการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งทำให้แข่งขันได้ยาก และปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าค่าเงินของประเทศคู่แข่ง รวมถึงผู้ค้าข้าวได้ระบายข้าวเพื่อเสริมสภาพคล่องรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่
"ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในช่วงนี้ปรับตัวลดลง โดยข้าวเกี่ยวสดความชื้น 28-30% ตันละ 9,500-10,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกแห้ง ความชื้นไม่เกิน 15% ตันละ 12,000-12,500 บาท แต่เชื่อว่าสถานการณ์ราคาจะดีขึ้น หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 3 พ.ย.63 อนุมัติในหลักการในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 63/64 รอบที่ 1 พร้อมมาตรการคู่ขนานและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 63/64"
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกปี 63/64 รอบที่ 1 นั้น กำหนดราคาประกันข้าวเปลือก 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละราคา 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน, ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน, ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน, ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน โดยจะจ่ายเงินส่วนต่างของราคาประกันและราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงให้เกษตรกร ซึ่งหากราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงต่ำกว่าราคาประกัน เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยส่วนต่าง
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการคู่ขนาน ซึ่งจะช่วยดูดซับผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่จะออกสู่ตลาดมาก ในช่วงเดือน พ.ย.นี้ โดยจูงใจให้เกษตรกร สหกรณ์ สถาบันเกษตรกร รวมทั้งผู้ประกอบการค้าข้าวทั่วไปเก็บสต๊อก เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพราคาตลาด โดยมีเป้าหมาย 7 ล้านตันข้าวเปลือกผ่านโครงการต่างๆ ทั้ง โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี (จำนำยุ้งฉาง)
โดยจะให้ค่าฝากเก็บกับเกษตรกรที่ตันละ 1,500 บาท เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน, โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร สหกรณ์ โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 1% เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ในการเก็บสต๊อก โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ 3% เป้าหมาย 4 ล้านตัน
ส่วนการส่งออกข้าวไทยในปี 64 คงต้องรอดูปริมาณของผลผลิตข้าวในปี 63/64 ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด เบื้องต้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดว่าจะมีผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เพราะปริมาณน้ำที่มีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูก และน่าจะส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศลดลง จากราคาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจะทำให้ช่องว่างของราคาข้าวไทยกับข้าวของประเทศคู่แข่งลดน้อยลง ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกดีขึ้น และน่าจะส่งผลให้การส่งออกในปี 64 ดีกว่าในปี 63
ขณะที่ประเด็นที่ไทยไม่มีพันธุ์ข้าวที่ไปแข่งขันในตลาดโลกนั้น คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย.63 เห็นชอบยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี 63-67 แล้ว โดยมีวิสัยทัศน์คือ ไทยเป็นผู้นําการผลิต การตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก โดยเน้น “ตลาดนำการผลิต” เพื่อผลิตชนิดข้าวให้ตอบสนองความต้องการของตลาด
โดยมีการจัดกลุ่มข้าวไทยเป็น 7 ชนิด ตามความต้องการของตลาด 3 ตลาด ได้แก่ ตลาดพรีเมี่ยม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมไทย, ตลาดทั่วไป ได้แก่ ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง และข้าวนึ่ง และตลาดเฉพาะ ได้แก่ ข้าวเหนียว และข้าวสี หรือข้าวคุณลักษณะพิเศษ กำหนดให้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่สามารถแข่งขันกับพันธุ์ของคู่แข่งในตลาดโลก เช่น เวียดนาม เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งยกระดับและเร่งรัดการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาดให้มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น ต้นเตี้ย ผลผลิตสูง และคุณภาพดี (สั้น เตี้ย ดก ดี)