สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะขออนุญาตเป็นตัวแทนของเด็กรุ่นใหม่ ที่อยู่ในวงการติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์
ซึ่งผมก็มีบทความเล็กน้อยๆ สำหรับคนที่มองหาการติดฟิล์มรถยนต์กันอยู่ครับ ^^
นอกจากลูกค้าจะต้องศึกษาฟิล์มก่อนการตัดสินใจเลือกฟิล์มแล้ว เรายังต้องมีรู้เท่าทันและมีวิธี "การเลือกร้านติดฟิล์มที่ดีอีกด้วย"
การที่ลูกค้า จะเลือกร้านติดฟิล์มสักร้านนึง ไม่เพียงแค่ ราคา บริการ แต่ยังมีปัจจัย อื่นๆด้วยที่เรา ควรคำนึง เมื่อก่อนลูกค้าอาจจะเลือกร้านติดฟิล์มร้านไหนก็ได้เพียงเพราะติดๆไปเถอะ แต่ด้วยการบริการงานขายเมื่อก่อนจะไม่ค่อยใช้การอธิบายความรู้เรื่องสินค้าให้กับลูกค้า เเละสินค้าบางชิ้นก็ตรวจสอบไม่ได้ การเปิดกิจการร้านติดฟิล์มแบบนี้เกิดขึ้นในยุครุ่นพ่อ หรือ Babyboom เป็นยุคที่ไม่ค่อยพูดขายอะไรมาก ลูกค้าก็เลือกซื้อแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปคนมีความซับซ้อนมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น มีความสงสัยมากขึ้น ซึ่งทำให้การขายเราต้องปรับเปลี่ยนตามลูกค้า ผมพูดเพราะผมอยู่ Gen Y ผมได้สังเกตและเห็นการหวังผลกำไรจากการเอาเปรียบลูกค้ามาเยอะครับ สมัยก่อนไม่ต้องมีเครื่องมือวัดฟิล์มก็ขายได้ พอลูกค้าเข้ามา ถามว่าฟิล์มตัวไหนกันร้อนดี บางร้านก็เชียร์ตัวที่ทำกำไรให้กับทางร้าน ซึ่งฟิล์มที่เชียร์ไปอาจไม่มีคุณภาพก็ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ และลูกค้าใช้ไปแรกๆก็เย็นแต่พอผ่านไป 1-2 ปีกลับร้อน บางร้านใช้แบรนด์ชั้นนำมาเป็นตัวล่อให้ลูกค้าเข้าแล้วขายของแบรนด์ที่ตัวเองได้กำไรมาก ซึ่งผมเข้าใจว่าทำธุรกิจต้องหวังผลกำไร แต่!! คุณได้กำไร แต่จะไม่ให้สิ่งดีๆกับลูกค้าหน่อยหรอ ซึ่งพอผมเห็นแบบนี้ผมไม่โอเครอย่างมาก เลยเริ่มมามองที่ร้านเราว่าเรา เป็นแบบนั้นไหม ซึ่งก็ทำให้ผมได้คิดหลายๆอย่าง เพื่อให้ได้ผลประโยชน์กับลูกค้าและก็ตัวผมเองด้วย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายนึงได้ประโยชน์ จากนั้นผมก็ศึกษาเรื่องฟิล์มอย่างละเอียดและหาฟิล์มที่กันความร้อนได้สูงๆและต่ำๆ ของทุกยี่ห้อมาเทียบกัน และเอา catalog ฟิล์มมาเทียบกันด้วย ผลที่ได้ปรากฏว่า ฟิล์มทุกยี่ห้อกัน UV 99% หมดเลย และกัน IRR ได้แตกต่างกันตามชนิดของฟิล์ม ผมก็วางใจเพราะรู้ว่าแต่ละตัว ตัวไหนกันร้อนได้ดีและไม่ดี แต่มาวันนึง ที่ผมจำได้ขึ้นใจ ลูกค้า Feedbackมาหาผมและบอกว่า
"คุณเชียร์ฟิล์มอะไรให้ผมเนี่ย ไม่เห็นกันร้อนได้ตามที่บอกเลย ผมเสียความรู้สึกมากนะครับ" , "น้องฟิล์มที่พี่ติดมา มันร้อนมากเลย กันร้อนได้ไม่ดีจะเชียร์ให้พี่ทำไม" ผมต้องแบกหน้ารับ และช่วงนึงทำให้ความรู้สึกผมมันตก และโทษตัวเองอยู่พักใหญ่ ผมเครียดมาก ผมก็เลยมานั่งคิดหาวิธีว่าฟิล์มที่ว่าดีและค่าผลลัพธ์ที่แสดงบน Catalog มันคือค่าจริงหรอ ฟิล์มที่ค่าสูงๆ กันร้อนได้ดีมากขนาดนั้นเชียวหรอ ผมเลยมาหา ด้วยส่วนตัวผมชอบค้นคว้า ผมต้องบอกก่อนว่าผมจบ วิศวะลาดกระบังนะครับ(อันนี้ไม่ได้โม้ตัวเองนะครับ แต่จะมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป555) จากนั้นผมเลย หาเครื่องวัดมาวัดค่าฟิล์ม เครื่องวัดก็จะมีบอกค่า VLT(แสงส่องผ่าน), UVR, IRR(ความร้อน) และ TSER(Totao Solar Energy Reflection) คือค่าลดความร้อนรวมนั้นเอง และเครื่องนี้ก็ทำให้ผมตาสว่าง ถึงคุณภาพฟิล์มต่างๆ และทำให้ผมแนะนำลูกค้าได้อย่างมั่นใจ ผมขายกับเครื่องนี้มาสักพัก จนรู้สึกว่าแล้วเครื่องของเรามันเที่ยงตรงหรือเปล่า ผมเข้าไปบริษัทฟิล์มและไปลองเทสกับเครื่องที่ได้มาตรฐานกว่าผม ซึ่งค่าที่ได้มาความคลาดเคลื่อนกันนิดเดียวซึ่งเป็นปกติแต่ต้องคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% เท่านั้นนะครับ ถ้ามากกว่านั้นโยนทิ้งได้เลย555 และพอเครื่องของผมตรงก็รู้สึกมั่นใจอีก จนมาเจอกับเซลล์ของ Lamina และ Smarttec เขาบอกว่าบางทีเราวัดผลดูแต่ค่า IRR อย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องดู TSER ประกอบด้วย อ่อออ..ผมลืมบอกไปย้อนกลับมาหน่อย ค่า TSER ผมแอบสงสัยว่า เครื่องวัดของแต่ละที่จะเอนเอียงไปทางบริษัทซะมากกว่า เช่นเราไปวัดฟิล์มบริษัทนั้นๆเซลล์บอกว่า ตัวนี้ดีแล้วให้ดูซึ่งค่าสูงมากเลยทีเดียว แต่พอเอาฟิล์มตัวเดียวกันไปวัดอีกที่ ค่า TSER กลับน้อยลง ผมเลยแบบการขายนี่น่ากลัวเเหะ ^_^! ผมเลยหาวิธีหาการคำนวณสูตร TSER โดยใช้การคำนวณมือ เหมือนที่เคยคำนวณสูตร แคลคูลัสในมหาลัย ซึ่งแบบนี้น่าจะเป๊ะกว่าเครื่องอีก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้ลึกเข้าไปอีกว่าฟิล์มตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี และผมสามารถแนะนำให้ลูกค้าได้อย่างมั่นใจ และลูกค้าก็จะได้สิ่งที่ดีๆจากผมไป
นั้นแหละครับผมอยากฝากให้ลูกค้าทุกท่านทราบกันว่า ไม่ใช่แค่เซลล์พูดคุณก็เชื่อ ไม่ใช่แค่วัด มันก็ได้ แต่ต้องดูหลายองค์ประกอบด้วย ผมมี 3 อย่างให้ลูกค้าเก็บไปพิจารณา 1.คำพูดเซลล์ 2.ค่าจากเครื่องวัด 3.คำนวณหรือดูค่าจากสูตร TSER เทียบกับ Catalog แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ
และเรื่องสุดท้ายเลย "ราคาถูก...ไม่ได้แปลว่าจะดีมีคุณภาพ"
ลูกค้า ส่วนมากชอบของถูกๆ ซึ่งไม่ใช่แต่ลูกค้า ผมเองก็ชอบ แต่นั้นแหละครับ ของถูกไม่ได้แปลว่าจะได้คุณภาพเสมอไป จากที่ผมสังเกต ร้านบางร้านที่ตั้งราคาขายถูกข้อดีเลย ได้ลูกค้าจำนวณมาก ข้อเสียเยอะเลยครับ
1.ร้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ฟิล์มตอบคำถามเชิงลึกไม่ได้ คำนวณไม่เป็น บางที่ไม่มีเครื่องวัดด้วยซ้ำ ส่งผลให้ได้ฟิล์มคุณภาพไม่ดี หรือโชคร้าย รถคุณอาจจะติดฟิล์มปลอม ฟิล์มปลอมปัจจุบันเยอะมากครับ เขาถึงได้ขายในราคาถูกกันได้ไงครับ
2.ฟิล์มที่ติดรถมาไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ฟิล์มร่อน ลอก หมดอายุไว
3.ฝีมือ** เรื่องสำคัญเลย เทคนิคการติดฟิล์ม ร้านแบบนี้เสี่ยงกับการที่ติดออกมาฟิล์มเป็นเม็ด ฝุ่น เป็นฟอง และอาจจะเคลมไม่ได้ด้วย และถ้าโชคร้าย เขาอาจจะกรีดโดนยางขอบกระจกของคุณ พวกนี้เขาเป็นช่างจากร้านมาเปิดร้านเองครับ อายุงานและการปรานีต ไม่มี!!
4.งานบริการ แย่ พูดจาไม่สุภาพ ลูกค้าขอเคลมไม่ให้เคลม หรือให้เคลมก็ทำกิริยาไม่ดีใส่
5.ราคาถูก แล้วค่าใช้จ่ายพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกน้อง ค่าฟิล์มที่อาจจะเคลมในอนาคต ติดถูกแบบนี้ จะเอาที่ไหนมาจ่ายค่าพวกนี้ละครับ เสี่ยงมากเลยที่คุณลูกค้าจะได้ฟิล์มปลอม
วันนี้ผมขอจบแค่นี้ก่อนนะครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดี เจอกับร้านที่ดีๆนะครับ^^
เทคนิคการเลือก ร้านติดฟิล์มรถยนต์ อย่างไร? สำหรับมือใหม่!!⏩⏩(บทความนี้จะทำให้คุณกระจ่าง)⏪⏪
นอกจากลูกค้าจะต้องศึกษาฟิล์มก่อนการตัดสินใจเลือกฟิล์มแล้ว เรายังต้องมีรู้เท่าทันและมีวิธี "การเลือกร้านติดฟิล์มที่ดีอีกด้วย"
การที่ลูกค้า จะเลือกร้านติดฟิล์มสักร้านนึง ไม่เพียงแค่ ราคา บริการ แต่ยังมีปัจจัย อื่นๆด้วยที่เรา ควรคำนึง เมื่อก่อนลูกค้าอาจจะเลือกร้านติดฟิล์มร้านไหนก็ได้เพียงเพราะติดๆไปเถอะ แต่ด้วยการบริการงานขายเมื่อก่อนจะไม่ค่อยใช้การอธิบายความรู้เรื่องสินค้าให้กับลูกค้า เเละสินค้าบางชิ้นก็ตรวจสอบไม่ได้ การเปิดกิจการร้านติดฟิล์มแบบนี้เกิดขึ้นในยุครุ่นพ่อ หรือ Babyboom เป็นยุคที่ไม่ค่อยพูดขายอะไรมาก ลูกค้าก็เลือกซื้อแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปคนมีความซับซ้อนมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น มีความสงสัยมากขึ้น ซึ่งทำให้การขายเราต้องปรับเปลี่ยนตามลูกค้า ผมพูดเพราะผมอยู่ Gen Y ผมได้สังเกตและเห็นการหวังผลกำไรจากการเอาเปรียบลูกค้ามาเยอะครับ สมัยก่อนไม่ต้องมีเครื่องมือวัดฟิล์มก็ขายได้ พอลูกค้าเข้ามา ถามว่าฟิล์มตัวไหนกันร้อนดี บางร้านก็เชียร์ตัวที่ทำกำไรให้กับทางร้าน ซึ่งฟิล์มที่เชียร์ไปอาจไม่มีคุณภาพก็ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ และลูกค้าใช้ไปแรกๆก็เย็นแต่พอผ่านไป 1-2 ปีกลับร้อน บางร้านใช้แบรนด์ชั้นนำมาเป็นตัวล่อให้ลูกค้าเข้าแล้วขายของแบรนด์ที่ตัวเองได้กำไรมาก ซึ่งผมเข้าใจว่าทำธุรกิจต้องหวังผลกำไร แต่!! คุณได้กำไร แต่จะไม่ให้สิ่งดีๆกับลูกค้าหน่อยหรอ ซึ่งพอผมเห็นแบบนี้ผมไม่โอเครอย่างมาก เลยเริ่มมามองที่ร้านเราว่าเรา เป็นแบบนั้นไหม ซึ่งก็ทำให้ผมได้คิดหลายๆอย่าง เพื่อให้ได้ผลประโยชน์กับลูกค้าและก็ตัวผมเองด้วย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายนึงได้ประโยชน์ จากนั้นผมก็ศึกษาเรื่องฟิล์มอย่างละเอียดและหาฟิล์มที่กันความร้อนได้สูงๆและต่ำๆ ของทุกยี่ห้อมาเทียบกัน และเอา catalog ฟิล์มมาเทียบกันด้วย ผลที่ได้ปรากฏว่า ฟิล์มทุกยี่ห้อกัน UV 99% หมดเลย และกัน IRR ได้แตกต่างกันตามชนิดของฟิล์ม ผมก็วางใจเพราะรู้ว่าแต่ละตัว ตัวไหนกันร้อนได้ดีและไม่ดี แต่มาวันนึง ที่ผมจำได้ขึ้นใจ ลูกค้า Feedbackมาหาผมและบอกว่า "คุณเชียร์ฟิล์มอะไรให้ผมเนี่ย ไม่เห็นกันร้อนได้ตามที่บอกเลย ผมเสียความรู้สึกมากนะครับ" , "น้องฟิล์มที่พี่ติดมา มันร้อนมากเลย กันร้อนได้ไม่ดีจะเชียร์ให้พี่ทำไม" ผมต้องแบกหน้ารับ และช่วงนึงทำให้ความรู้สึกผมมันตก และโทษตัวเองอยู่พักใหญ่ ผมเครียดมาก ผมก็เลยมานั่งคิดหาวิธีว่าฟิล์มที่ว่าดีและค่าผลลัพธ์ที่แสดงบน Catalog มันคือค่าจริงหรอ ฟิล์มที่ค่าสูงๆ กันร้อนได้ดีมากขนาดนั้นเชียวหรอ ผมเลยมาหา ด้วยส่วนตัวผมชอบค้นคว้า ผมต้องบอกก่อนว่าผมจบ วิศวะลาดกระบังนะครับ(อันนี้ไม่ได้โม้ตัวเองนะครับ แต่จะมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป555) จากนั้นผมเลย หาเครื่องวัดมาวัดค่าฟิล์ม เครื่องวัดก็จะมีบอกค่า VLT(แสงส่องผ่าน), UVR, IRR(ความร้อน) และ TSER(Totao Solar Energy Reflection) คือค่าลดความร้อนรวมนั้นเอง และเครื่องนี้ก็ทำให้ผมตาสว่าง ถึงคุณภาพฟิล์มต่างๆ และทำให้ผมแนะนำลูกค้าได้อย่างมั่นใจ ผมขายกับเครื่องนี้มาสักพัก จนรู้สึกว่าแล้วเครื่องของเรามันเที่ยงตรงหรือเปล่า ผมเข้าไปบริษัทฟิล์มและไปลองเทสกับเครื่องที่ได้มาตรฐานกว่าผม ซึ่งค่าที่ได้มาความคลาดเคลื่อนกันนิดเดียวซึ่งเป็นปกติแต่ต้องคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% เท่านั้นนะครับ ถ้ามากกว่านั้นโยนทิ้งได้เลย555 และพอเครื่องของผมตรงก็รู้สึกมั่นใจอีก จนมาเจอกับเซลล์ของ Lamina และ Smarttec เขาบอกว่าบางทีเราวัดผลดูแต่ค่า IRR อย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องดู TSER ประกอบด้วย อ่อออ..ผมลืมบอกไปย้อนกลับมาหน่อย ค่า TSER ผมแอบสงสัยว่า เครื่องวัดของแต่ละที่จะเอนเอียงไปทางบริษัทซะมากกว่า เช่นเราไปวัดฟิล์มบริษัทนั้นๆเซลล์บอกว่า ตัวนี้ดีแล้วให้ดูซึ่งค่าสูงมากเลยทีเดียว แต่พอเอาฟิล์มตัวเดียวกันไปวัดอีกที่ ค่า TSER กลับน้อยลง ผมเลยแบบการขายนี่น่ากลัวเเหะ ^_^! ผมเลยหาวิธีหาการคำนวณสูตร TSER โดยใช้การคำนวณมือ เหมือนที่เคยคำนวณสูตร แคลคูลัสในมหาลัย ซึ่งแบบนี้น่าจะเป๊ะกว่าเครื่องอีก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้ลึกเข้าไปอีกว่าฟิล์มตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี และผมสามารถแนะนำให้ลูกค้าได้อย่างมั่นใจ และลูกค้าก็จะได้สิ่งที่ดีๆจากผมไป
นั้นแหละครับผมอยากฝากให้ลูกค้าทุกท่านทราบกันว่า ไม่ใช่แค่เซลล์พูดคุณก็เชื่อ ไม่ใช่แค่วัด มันก็ได้ แต่ต้องดูหลายองค์ประกอบด้วย ผมมี 3 อย่างให้ลูกค้าเก็บไปพิจารณา 1.คำพูดเซลล์ 2.ค่าจากเครื่องวัด 3.คำนวณหรือดูค่าจากสูตร TSER เทียบกับ Catalog แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ
และเรื่องสุดท้ายเลย "ราคาถูก...ไม่ได้แปลว่าจะดีมีคุณภาพ"
ลูกค้า ส่วนมากชอบของถูกๆ ซึ่งไม่ใช่แต่ลูกค้า ผมเองก็ชอบ แต่นั้นแหละครับ ของถูกไม่ได้แปลว่าจะได้คุณภาพเสมอไป จากที่ผมสังเกต ร้านบางร้านที่ตั้งราคาขายถูกข้อดีเลย ได้ลูกค้าจำนวณมาก ข้อเสียเยอะเลยครับ
1.ร้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ฟิล์มตอบคำถามเชิงลึกไม่ได้ คำนวณไม่เป็น บางที่ไม่มีเครื่องวัดด้วยซ้ำ ส่งผลให้ได้ฟิล์มคุณภาพไม่ดี หรือโชคร้าย รถคุณอาจจะติดฟิล์มปลอม ฟิล์มปลอมปัจจุบันเยอะมากครับ เขาถึงได้ขายในราคาถูกกันได้ไงครับ
2.ฟิล์มที่ติดรถมาไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ฟิล์มร่อน ลอก หมดอายุไว
3.ฝีมือ** เรื่องสำคัญเลย เทคนิคการติดฟิล์ม ร้านแบบนี้เสี่ยงกับการที่ติดออกมาฟิล์มเป็นเม็ด ฝุ่น เป็นฟอง และอาจจะเคลมไม่ได้ด้วย และถ้าโชคร้าย เขาอาจจะกรีดโดนยางขอบกระจกของคุณ พวกนี้เขาเป็นช่างจากร้านมาเปิดร้านเองครับ อายุงานและการปรานีต ไม่มี!!
4.งานบริการ แย่ พูดจาไม่สุภาพ ลูกค้าขอเคลมไม่ให้เคลม หรือให้เคลมก็ทำกิริยาไม่ดีใส่
5.ราคาถูก แล้วค่าใช้จ่ายพวกค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกน้อง ค่าฟิล์มที่อาจจะเคลมในอนาคต ติดถูกแบบนี้ จะเอาที่ไหนมาจ่ายค่าพวกนี้ละครับ เสี่ยงมากเลยที่คุณลูกค้าจะได้ฟิล์มปลอม
วันนี้ผมขอจบแค่นี้ก่อนนะครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดี เจอกับร้านที่ดีๆนะครับ^^