ประสบการณ์ดูลมหายใจและภาวนาพุทโธกับหลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย จ.อุดร

ระหว่างที่ทำงานที่ จ.ระยองก็มาซื้อบ้านอยู่ใกล้ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม สัตหีบ ท่านเป็นศิษย์หลวงตามหาบัว และหลวงตามหาบัวท่านก็รับรองว่าเป็นพระอรหันต์แน่นอน มีโอกาสไปสนทนาธรรมและนั่งสมาธิบนเขาบ่อยๆ แต่ก็นั่งไม่สงบมากเพราะชีวิตฆราวาสไม่อำนวย แต่พยายามนางสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ภาวนาพุทโธ ทีไรก็จะเกิดอาการตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้วทุกครั้ง มีครั้งหนึ่งนั่งภาวนาที่บ้านเวลา 5ทุ่ม ก็คิดว่านั่งสบายๆ ไม่ได้คิดอะไร เกิดจิตรวม ลมหายใจหาย เกิดเป็นดวงแก้วใสสว่างที่หว่างคิ้ว เอาจิตไปวางที่ดวงแก้ว ดวงแก้วขยายใหญ่ ครอบทั้งจักรวาล เราเห็นทั้งจักรวาลอยู่ใน จิตของเรา มันเป็นความเวิ้งว้าง ว่างเปล่า สงบ ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ เป็นความสงบกว้างใหญ่ ไพศาล เห็นกลุ่มดาวต่างๆ สงบนิ่ง นั่งอยู่อย่างนั้น 3 ชม. ไม่รู้สึกอะไร ไม่เมื่อยไม่มีลมหายใจ เมื่อออกจากสมาธิเกิดสุขแผ่ไปทั่วร่างกาย สุขจนนอนไม่หลับทั้งคืน สุขข้ามวัน ข้ามคืนไม่ง่วง ไม่หิว นี่เป็นครั้งที่ 4 ที่เกิดอาการแปลกๆ แบบนี้

          ทำหลังจากนั้นก็ทำงานไปได้ 7 ปี ผมพยามนั่งสมาธิทุกวันแต่ไม่ได้สงบอะไรมากนัก และมีแฟนเป็นหมอ ใกล้จะแต่งงาน จึงพาแฟนไปกราบพระอาจารย์โสภา ตั้งใจจะไปแนะนำให้ท่านรู้จัก พอก้มลงกราบ ยังไม่ได้เงยหน้า ท่านพูดมาก่อนเลย “ที่นี่ก็มีหมอมาบวชเหมือนกัน” ผมคิดในใจ “ผมรู้แล้วแต่เป็นสัตวแพทย์มาบวชไม่สึก แต่แฟนผมเป็นหมอคนนะครับ” ท่านพูดมาอีก “ไม่ใช่หมอทำหมันวัว หมันควาย หมอคนเนี่ยแหละ เป็นศัลยแพทย์” ผมอึ้งแล้ว ถามท่านว่า “พระอาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าผมคิดอะไรอยู่” ท่านเมตตาสอนว่า “เมื่อนั่งสมาธิสงบมากๆ จะเห็นเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม อยากรู้วาระจิตใจก็เอาจิตไปวางไว้ที่คนนั้น ก็จะรู้ทั้งหมดทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต” แล้วท่านเมตตา ตักเตือนเรื่องชีวิตคู่ของผม ท่านรู้ทุกอย่าง ยิ่งกว่าผมกับแฟนจะรู้นิสัยซึ่งกันและกันอีก ท่านเทศน์สักพักใหญ่ แล้วท่านทิ้งท้ายว่า “ระวังให้ดีนะ อวิชชามันร้ายกาจมาก มันรู้ มันเห็นเราทุกอย่าง เราปฏิบัติเห็นอะไรมันก็เห็นเหมือนเราเห็น มันจะจำลองให้เราเกิดอาการเหมือนที่เคยได้แล้ว ให้เราหลง” ตอนนั้นท่านเทศน์ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ หลงคิดว่าตนเองปฏิบัติถูกมาตลอด 7 ปี

          หลังจากทำงานมาหลายปี ก็สามารถใช้สิทธิ์ลาบวชได้ จึงขอลาบวช 2 เดือน เพื่อมาหาคำตอบว่า ที่เกิดตุ๊บๆ ที่หว่างคิ้ว คืออะไรกันแน่ ผมจึงเลือกบวช กับหลวงปู่จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหาย จ.อุดร ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีอภิญญาที่สุดในปัจจุบัน เป็นศิษย์เอกหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นวัดที่เคร่งมากๆ ฉันข้าวมื้อเดียว ฉันในบาตรทุกอย่างที่ไม่ใช่น้ำเปล่า เทลงบตร เช่น นม ซุปไก่ เทแล้วคุกเป็นเนื้อเดียวแล้วฉันห้ามเหลือข้าวสักเม็ดเดียว วัดมีเนื้อที่ 1,000 ไร่ มีกุฏิ 100 กว่า แต่ละกุฏิห่างกัน 500 เมตร กระจายตามป่าเขา หลังปู่ท่านอายุ 80 แล้ว จึงไม่ได้เดินตรวจอะไร ไม่มีการสวดมนต์รวม แต่พระทุกรูปต้องทำวัตรเช้า เย็นเองที่กุฏิ ถ้าใครไม่ทำหลวงปู่ท่านจะรู้และให้พระรูปนั้น เป็นผู้ให้พรก่อนเริ่มฉัน ซึ่งพระและญาติโยมจะรู้ทันทีว่าพระรูปนั้นไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า เย็นเป็นที่น่าอับอายมาก หลวงปู่ท่านกล่าวว่า “วัดนี้มีเนื้อที่ 1,000 ไร่ ก็เหมือนสุ่มไก่ สุ่มเดียวอยากจะรู้อะไรก็จิ้มดูได้หมด เราตรวจดูศิษย์เราในวัดทุกวัน” ทำให้ลูกศิษย์กลัวหลวงปู่มากๆ

          ผมบวชเป็นพระจากที่แปดริ้วได้ 7 วัน ก็ไปบินอุดรเพื่อไปขออยู่กับหลวงปู่ ก่อนบวชเคยไปขอท่านแล้ว ท่านอนุญาตแต่ห้ามแฟนมาด้วยเด็ดขาด ท่านกำชับ ครั้งนี้พ่อแม่แฟนจึงเป็นผู้มาส่ง ผมเตรียมปัจจัย 20,000 บาทที่ญาติโยมถวายตอนงานบวชและผมใส่เพิ่ม ผ้าไตร สบู่ ยาสีฟันแอมเวย์ มาถวายหลวงปู่แต่ไม่เจอท่าน จึงนำปัจจัยใส่ตู้ แล้วฝากสังฆทานพระอุปฏากไปถวายหลวงปู่ เมื่อไม่เจอหลวงปู่ พระอุปฏากจึงให้ผมไปจำวัดที่เรือนพระอาคันตุกะ ไว้รอกราบหลวงปู่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ ผมก็เริ่มเดินจงกรม นั่งสมาธิฟื้นความจำตอนบวชครั้งแรกเลยครับ คืนนั้น พอนั่งสมาธิ จิตก็สงบ สว่าง สบาย อีกครั้ง จิตเป็นอุเบอกขา ไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่ที่เรือนอาคันตุกะ เช้ามาก็มาร่วมบิณฑบาตรฉันเช้า ร่วมกับพระที่วัด โดยนั่งท้ายแถวเพราะเป็นพระบวชใหม่ พอฉันเสร็จยังไม่ทันลุก พระอุปฏาก ก็เดินมาหาผมทักว่า “ต้องไปนั่งภาวนาที่หอปฏิบัติธรรมข้างกุฏิ หลวงปู่ทุกวันนะ” ผมก็ทำหน้าสงสัยทำไมต้องไปด้วย “หลวงปู่ท่านกำชับมาว่าครูบารย์มาอยู่ที่นี่ต้องไปนั่งภาวนาที่หอข้างกุฏิทุกวัน” ผมคิดในใจว่าสงสัยหลวงปู่เห็นเราเป็นพระบวชใหม่กลัวไม่ปฏิบัติมั้ง พระอุปฏากก็จัด กุฏิเบอร์ 9 ซึ่งไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่ให้ผมจำวัดที่นั่น

      หลังจากบวชได้หนึ่งอาทิตย์จึงถามพระที่วัดว่า "เอ๋ หลวงปู่ท่านสั่งให้พระบวชใหม่ไปนั่งที่หอปฏิบัติธรรมทุกรูปหรือ" พระท่านก็ตอบว่า “ผมบวชมา 2 พรรษา เป็นพระพี่เลี้ยงพระใหม่หลายรูปเพิ่งเห็นหลวงปู่สั่งครูบารย์คนแรกนี่แหละ” ช่วงแรกๆ ผมก็ไปภาวนาที่หอปฏิบัติธรรมข้างกุฏิหลวงปู่ทุกวัน แต่รู้สึกไม่สงบเพราะมีพระมาภาวนาเยอะผมไม่ชอบ ผมจึงปฏิบัติภาวนาเองที่กุฏิ โดยภาวนาสลับเดินจงกรมทุกวัน วันละ 8-10 ชั่วโมง ยิ่งภาวนาพุทโธ ที่หว่างคิ้วก็รวมแน่นเป็นดวงแก้วใส เมื่อเอาจิตไปวางที่หว่างคิ้ว ความรู้สึกปวดเมื่อยก็จะหายไปทันที ผมจึงรู้สึกลังเลว่า เราจะเอาจิตจดจ่อที่คำภาวนาพุทโธหรือที่หว่างคิ้วดี จึงตัดสินใจไปเรียนถามหลวงปู่ หลวงปู่กำลังขึ้นกุฏิ ผมก้มลงกราบ ยังไม่ทันเงยหน้าขึ้น หลวงปู่กล่าวว่า “จะถามทำไม ภาวนาพุทโธ นั่นแหละ หัดปล่อย หัดวางบ้าง อย่าถือให้มันมาก แล้วหนังสือที่เอามาอย่าอ่าน เดี๋ยวก็บ้าเหมือนคนเขียนหรอก” หลวงปู่ตวาดมาที่ผม ผมคิดขึ้นได้ก่อนบวชผมนำหนังสือวิธีการนั่งสมาธิ ของพระอริยคุณเส็ง พกติดตัวมาอ่านด้วย ตั้งใจมาอ่านระหว่างบวช ไม่เคยเอาออกนอกกุฎิ ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ผมจึงไปถามพระที่ชอบอ่านหนังสือที่วัดว่า “ครูบารย์รู้จักพระอริยคุณเส็งไหม” อ๋อรู้จักสิท่านเป็นเป็นศิษย์เอกหลวงปู่มั่น และเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ท่านปฏิบัติจนได้สมาธิขั้นสูงแต่ไม่เอามาตัดกิเลส สุดท้ายอวิชชาครอบงำทำให้ท่านเป็นบ้าไป ผมขนลุกเลย

          เย็นวันนั้นผมจึงเชื่อหลวงปู่จะภาวนา พุทโธ อย่างเดียว ขณะเดินจงกรม ผมก็ภาวนาพุทโธ ยิ่งภาวนาดวงแก้วใสก็เกิดขึ้นที่หว่างคิ้ว รวมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งภาวนายิ่งแน่นผมพยายามไม่สนใจกลับมา พุทโธๆๆ มันก็แน่นที่หว่างคิ้ว ในนิมิตผมได้ยินเสียงดัง เป้ง แล้วดวงแก้วก็แตกออกแล้วหายไปไม่มีอีกเลย ไม่มีตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้วอีกต่อไป ผมจึงเข้านอน จำความฝันได้ดี ฝันว่า เอารถไปเติมยางรถ เติมสามล้อแรกปกติดี พอเติมล้อที่สี่มันไม่เต็มสักที จึงไปเพิ่มความดัน ยางมันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมจะวิ่งไปหยุดแต่หยุดไม่ทัน ยางแตกใส่หน้าผม เลือดออกเต็มหน้าผมเอามือจับหม้า เห็นฟันหน้าซึกใหญ่ 2 ซีกหลุดอยู่ที่มือ ขาว สวยมาก ผมตกใจตื่นจำความฝันได้ดี เช้ามาภาวนาพุทโธก็ไม่เกิดตุ๊บๆๆ ที่หว่างคิ้วอีกเลย กลางวันจึงมาภาวนาพุทโธ อีกครั้ง ปรากฏว่าอาการปวดเมื่อย เกิดขึ่นอีกครั้ง ผมรู้สึกท้อแท้ใจมาก เอ๋ ทำไมปวดเมื่อยอีกแล้ว มันเหมือนตอนเราเพิ่งหัดนั่งสมาธิใหม่เลยๆ เหมือนคนถูกทำลายวรยุทธ์ ชัดๆ อยากจะสึกมากๆ ที่เราทำมา 7 ปี นี่ไม่ถูกเลยหรือ เย็นนั้นผมจึงกลับมานั่งภาวนาพุทโธอีกครั้ง อธิฐานจิตว่า ครั้งนี้จะอยู่กับภาวนาพุทโธ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ไปไหน ผมก็นั่งภาวนาพุทโธ ไป 2 ชม. มีแต่ความปวดเมื่อย จิตก็สั่งมาว่า “พอเถอะจะหักโหมทำไม พรุ่งนี้ค่อยนั่งใหม่ก็ได้”


ผมจึงตอบไปว่า “ขนาดพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเป็นพระเตมีย์ใบ้นั่งเฉยๆ ตั้ง 16 ปี ยังทำได้ เราปราถนาความเป็นพุทธะ นั่งแค่ 2 ชม. ทนไม่ได้แล้วหรอ” ผมจึงนั่งพุทโธ ต่อภาวนาพุทโธ ไปเรื่อยๆ สักพักจิตก็ทิ้งพุทโธเอง ผมตามรู้ แล้วตัวก็ตั้งตรงเป็นไม้บรรทัด จิตรวมแล้วพุ่งเข้าไปใน รูเล็กๆ เท่ารูเข็ม ไปโผล่อีกมิติ ที่เวิ้ง ว้างกว้างใหญ่ ไม่มีทิศ มีทาง มีดวงแก้ว สว่างไสว อยู่กลางความเวิ้ง ว้างนั่น ไม่มีความรู้สึกทางกาย ไม่มีความรู้สึกถึงลมหายใจ มีแต่สติกับสักแต่ว่ารู้ไม่มีความคิดใดๆ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ แต่รู้ทุกความเป็นไป นั่งอยู่กับดวงแก้วสักระยะ ความคิดก็เริ่มเข้ามาในมิติของผมได้ ความรู้สึกถึงลมหายใจก็ซัดเข้ามาเหมือนน้ำซัดเขื่อนแตก เมื่อลมเข้ามา ความสุขก็เข้ามา ไม่มีสุขใดในโลกเทียบเท่า นี่เป็นครั้งที่ 5 ความรู้สึกทุกข์ใจ เศร้าใจ อยากจะสึก หายไปหมด มีแต่ความสุข ชื่นใจไปทั่วร่างกาย ผมจึงรีบแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ จะนั่งสมาธิต่อก็นั่งไม่ได้แล้วมันสุขจึงนั่งต่อไม่ได้ จึงไปเดินจงกรมพิจาณาว่า เรานี่โง่แท้ถูกอวิชชาหลอกมาตั้งนาน ก็พิจาณาไปต่อ อวิชชา คือใคร จิตก็ตอบมาเอง ว่า อวิชชา ก็คือตัวเรานั่นเอง มันสว่างโล่ไปหมด

              พอบวชได้เกือบจะครบสองเดือนไม่เคยหลังจากนั้นก็ไม่เคยนั่งสมาธิสงบได้เท่านั้นอีกเลย พอบวชได้เกือบจะครบสองเดือนไม่เคยอสุจิเคลื่อน ก็เริ่มคิดถึงชีวิตทางโลก อยากจะสึกแล้ว มีคืนหนึ่ง ฝันว่า มีผู้หญิงสวยมากๆ ดุจนางฟ้ามาแต่งตัวยั่วยวน ชวนให้เราไปนอนด้วย เราก็รู้ตัวดีว่าเราเป็นพระตอบไม่ว่า “ไม่ได้อาตมาเป็นพระ ทำไม่ได้” หญิงผู้นั้นก็แก้ผ้าออกทั้งหมด ด้วยความที่มีกิเลสก็เข้าไปสัมผัส หญิงผู้นั้นชี้หน้าผมพร้อมหัวเราะเยาะว่า "ปราชิกแล้ว" แล้วเลือนหายไป ผมตกใจตื่นขึ้นมากจำความฝันได้ดี เมื่อจะครบสองเดือนจึงไปกราบลาหลวงปู่จันทร์เรียน ผมตั้งใจจะไปอยู่กับพระอาจารย์โสภา 1 อาทิตย์ แล้วค่อยสึกที่นั่น หลวงปู่ท่านกล่าวว่า “ใจมันไม่อยากอยู่แล้ว จะไปก็ไป ไปอยู่กับจิตที่มันไม่มีวันสิ้นสุด” ท่านพูดต่อหน้าญาติโยมจำนวนมาก ผมรู้สึกอายจึงค่อยๆหลบออกไป กำลังจะออกไป ถามก็ถามว่า “มาจากบ้านไหน” ผมตอบว่า “กรุงเทพครับหลวงปู่”

          หลังจากนั้นผมก็เดินทางมาหาพระอาจารย์โสภา วัดแสงธรรมวังเขาเขียว กับครูบารย์อีกรูปที่มาส่งผมจากอุดร เพื่อจะอยู่กับท่าน 7 วัน เพื่อจะสึกที่นี่ ผมได้นำมือถือมาด้วยเนื่องจากใกล้จะสึกแล้วจะได้โทรมาญาติๆได้ ตามกฎวัดเมื่อมาถึงวัดต้องเอามือถือมาฝากไว้ส่วนกลางสึกแล้วค่อยมาเอาคืน แต่ผมเริ่มเป็นห่วงเรื่องงานจึงไม่เอามือถือไปฝากไว้ เช้ามาพระอาจารย์ก็เมตตาบอกให้ผมกับครูบารย์ขึ้นไปปฏิบัติบนเขาสลัดได ท่านบอกบอกต่อหน้าพระทั้งวัดว่า “ขึ้นไป 7 วันตั้งใจปฏิบัตินะ เผื่อมันจะไม่อยากสึก” และท่านก็เทศว่าเรื่องมือถือห้ามพระพกติดตัวเด็ดขาด ผมก็ดื้อแอบพกไว้เพราะกลัวญาติติดต่อไม่ได้ พอขึ้นไปบนเขาวันแรกเท่านั้นแหละ หน้าจอมือถือไอโฟน 5 ของผมแตก และบนเขาสลัดได ผมได้รู้จักครูบารย์เอส ที่ท่านขึ้นมาปฏิบัติก่อนหน้านี้ ท่านเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง จากโรงพยาบาลจุฬา จนลาออกจากการเป็นหมอเฉพาะทางเมื่ออายุ 33 ปี ขณะนั้นท่านมีรายได้ 500,000 -1,000,0000 บาท/เดือน แต่ท่านคิดว่าที่ท่านประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก เรียนเก่งที่สุดในจังหวัด มาต่อเตรียมอุดมได้ 4.00 สอบเข้าแพทย์จุฬา เรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เรียนต่อเฉพาะทางศัลยแพทย์ตกแต่งพลาสติกรายได้ดีมาก แต่มันเรียนเท่าไหร่ก็ไม่จบเสียที ตายไปเกิดใหม่ก็ต้องมาเรียนอีก ท่านจึงสละทางโลกมาบวชไม่สึก มาหาทางหลุดพ้น ตอนนั้นบวชได้ 3 พรรษาแล้ว ตอนนี้ 5 พรรษาแล้ว ผมก็ถึงบางอ้อ หมอคนนี้นี่เองที่พระอาจารย์โสภาเคยพูดถึง

               ครูบารย์เอสก็ชวนผมบวชต่อไม่ต้องสึก ผมก็บอกครูบารย์ว่า ไม่ได้ครับผมมีภาระต้องเลี้ยงดูแม่ แม่มีผมคนเดียว และผมรู้ตัวดีตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ผมปราถนาความเป็นพุทธ ตอนนั้นฝันบ่อยๆ ว่าตนเองเกิดมา ทำบุญสั่งสมบารมี แล้วก็แก่ตาย ทำวนไปวนมาอย่างนี้นับชาติไม่ถ้วนแล้ว มันเป็นเรื่องแปลก ผมจะตื่นมาใส่บาตรหน้าบ้านเองทุกวันตั้งแต่ 7 ขวบ ใส่บาตรข้าว 3 บาท กับข้าว 5 บาท น้ำเต้าหู้ 5 บาท รวม 13 บาท ทุกวันตอนเช้าโดยที่พ่อแม่ไม่ได้สอน รู้ตัวดีว่าปราถนาความเป็นพุทธมาตั้งแต่จำความได้ ผมจึงบอกไปว่าบวชยังไงผมก็ไม่อาจบรรลุธรรม ตัดกิเลสได้ อยู่ไปจะเป็นภาระศาสนาหากอยากสึกตอนแก่จะแย่ ครูบารย์เอส ท่านจึงบอกว่า เรื่องนี้เรื่องใหญ่ต้องนำไปถามพระอาจารย์โสภา ว่าจริงไหม ถ้าไม่จริงเราจะได้ไม่ต้องคิดไปเอง ผมอยู่ปฏิบัติบนเขา 7 วัน แต่ไม่สงบเท่าไหร่เพราะใจอยากสึกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่