เราเป็นคนหนึ่งที่เมื่อก่อนชอบมาตั้งกระทู้เรื่องมีปัญหากับหัวหน้างาน (แต่ใช้ไอดีอื่น ตอนนี้ถูกระงับไปแล้ว แต่คิดว่าบางคนคงจำลักษณะการพิมพ์ของเราได้ ถ้าเคยอ่านกระทู้เรา) ตอนนี้เราไม่ได้โพสต์อีกเลย เพราะว่าเรากับหัวหน้าคนนี้ไม่ได้ร่วมงานกันอีกต่อไปแล้ว
เราอดทนมาได้ 2 ปีกว่าๆ ในที่สุดความอดทนเราก็เริ่มจะสิ้นสุด เมื่อถึงตอนประเมินผลการทำงาน หัวหน้าให้คะแนนเราแบบเส้นยาแดงผ่าแปด คือให้แค่ผ่าน (ปกติเราจะได้ระดับดีมากมาตลอด แต่ครั้งนี้หัวหน้ากำลังงอนเราอยู่ ก็เลยให้แค่ผ่าน) เขาบอกว่าเราไม่ยอมปรับตัว เขาอยากให้เราเป็นคนช่างพูด พูดเยอะๆ แต่เราทำไม่ได้ บอกว่าเราไม่มีผลงาน ซึ่งงานเราไม่ใช่งานที่จะมีผลงานให้เห็นแบบชัดเจน มันเป็นงานสายสนับสนุน เราทำงานร่วมกับรุ่นพี่อีกคน เหมือนเราเป็นผู้ช่วยเขา แต่งานบางอย่างรุ่นพี่เราทำไม่ได้ ส่วนเราทำได้ ซึ่งหัวหน้าไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย หัวหน้าเจาะจงพูดแต่เรื่องบุคลิกและพฤติกรรมของเราที่เขาไม่ชอบ และพยายามจะบีบเราด้วยการให้คะแนนประเมินต่ำๆ และเราเชื่อว่าถ้าเขาไม่กลัวผู้บริหารจะสงสัยและสอบสวนเขาเรื่องคะแนน เขาก็คงจะให้เราตกแน่ๆ เพราะเขาให้คะแนนลูกน้องคนอื่นๆ ในระดับดีขึ้นไป แต่ให้คะแนนเราต่ำคนเดียว (ถามว่าเรารู้คะแนนคนอื่นได้ยังไง...เรารู้เพราะเรามีส่วนช่วยในการรวบรวมเอกสารคะแนนประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานในฝ่ายเรา)
ทีนี้เราก็เริ่มหางานใหม่ แต่ก็หาอยู่ในที่ทำงานเดิมนั่นแหละ แค่ลองสมัครและไปสัมภาษณ์งานที่ฝ่ายอื่นดูบ้าง ในใจคิดว่าอยากจะไปให้พ้นจากหัวหน้าคนนี้สักที จะประสาทเสียอยู่แล้ว เครียดมาก เวรกรรมอะไรของเราน้อ...ไม่นานนัก เรื่องที่เราไปสมัครงานฝ่ายอื่นก็ไปถึงหูผู้บริหารฝ่ายงานเรา เราถูกผู้บริหารเรียกไปคุย ถามไถ่ว่ามีปัญหาอะไรถึงอยากเปลี่ยนงาน เขาไม่อยากเสียเราไป (ผู้บริหารคนนี้เป็นคนรับเราเข้าทำงานที่นี่) เราก็บอกไปตามตรงว่ามีปัญหากับหัวหน้า ผู้บริหารก็เรียกรุ่นพี่ที่ทำงานกับเรามาคุย และก็เรียกหัวหน้าเรามาคุย (ตอนนั้นเราก็อยู่ด้วย) รุ่นพี่ก็ช่วยพูดปกป้องเรา แต่พูดตามความจริงที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่หัวหน้ากระทำกับเรา เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆในห้องก็เห็นหมด และทุกคนต่างก็รู้นิสัยหัวหน้า ไม่มีใครคิดโทษเรา ส่วนหัวหน้าก็พูดกับเราดีเชียวเวลาอยู่ต่อหน้าผู้บริหาร ผู้บริหารบอกเราว่าให้รอดูต่อไปอีกสักเดือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นไหม เราก็ตกลง ให้โอกาสทั้งตัวเองและหัวหน้า และเห็นแก่ผู้บริหารที่เมตตาและมีพระคุณกับเรา
แต่ว่า...หลังจากวันนั้น รุ่นพี่เราถูกหัวหน้าเรียกไปด่า เพราะว่ารุ่นพี่พูดปกป้องเราตอนที่ผู้บริหารเรียกคุย พูดปกป้องเราแทนที่จะเข้าข้างหัวหน้า เขารู้สึกเหมือนถูกหักหน้า (รุ่นพี่มาเล่าให้เราฟัง) เราก็นึกสงสารรุ่นพี่ แต่ก็รู้สึกขอบคุณเขาด้วย ส่วนเรานั้น หัวหน้าแทบไม่คุยด้วยเลยจ้า ไม่มองด้วย เวลาเราไหว้ทักทายก็ไม่หันมารับไหว้ แต่พอเราไม่ไหว้ ก็ไปเล่าให้รุ่นพี่ฟังว่าเราไม่ไหว้ เราเองก็เลี่ยงที่จะเข้าหาหัวหน้าเช่นกัน เวลามีงานอะไรจะต้องนำไปเสนอหรือส่งหัวหน้า เราก็จะเสนอและส่งผ่านรุ่นพี่แทน แล้วให้รุ่นพี่ไปเสนอหัวหน้าแทน แต่ก็มีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องเข้าไปรายงานหรือเสนองานกับหัวหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งปรากฏว่าเราก็โดนตำหนิอีกตามเคย เขาจะชอบจี้เราด้วยคำถามที่เขาคิดว่าเราจะตอบไม่ได้ เพื่อหาเรื่องตำหนิเราต่อหน้าคนอื่นๆ (เพราะถ้าเป็นคนอื่นเข้าไปเสนองานจะไม่ถูกจี้ถามแบบนี้) มีอยู่ช่วงหนึ่งหัวหน้ามองเห็นประโยชน์ในตัวเรา จึงพยายามพูดจาดีกับเรา แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนสายลมพัดผ่าน
ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านมา 2 เดือนนับจากวันที่ผู้บริหารเรียกเราคุย เราก็หาเวลาไปพบผู้บริหารอีกครั้ง(แอบไปโดยที่ไม่ให้หัวหน้ารู้) เพื่อบอกเขาว่าสถานการณ์ระหว่างเรากับหัวหน้าไม่ดีขึ้นเลย แถมแย่ลงกว่าเดิมด้วย รุ่นพี่เราก็พูดกับผู้บริหารว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ให้เราย้ายฝ่ายดีกว่า ให้ไปสังกัดหัวหน้าคนอื่นแทน (รุ่นพี่เองก็ไม่สามารถช่วยพูดปกป้องเราได้ตลอด เพราะเขาก็ไม่อยากมีปัญหากับหัวหน้า) ผู้บริหารก็โอเค ถ้าเราอยากย้าย เขาจะคุยกับผู้จัดการฝ่ายให้ แต่ก็บอกให้เราไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายเองอีกทีด้วย เราก็ไปคุย ผู้จัดการบอกว่าเขารู้ปัญหาเราอยู่แล้ว ถึงเราจะไม่เคยมาเล่าให้ฟัง แต่เขาก็รู้ จากนั้นเขาก็หาฝ่ายงานอื่นให้เราไปอยู่
ทางด้านหัวหน้าเรา มีโอกาสได้คุยกับเราสองต่อสองอีกครั้งตอนที่ประเมินผลการปฏิบัติงาน(รอบสอง) แน่ล่ะว่าเขาให้คะแนนเราต่ำอีกเหมือนครั้งก่อน ถ้าต่ำกว่านี้ก็ตกแล้ว(แต่เขาไม่กล้าให้เราตก ไม่งั้นเขาต้องไปอธิบายเหตุผลกับผู้บริหาร แน่ล่ะว่าไม่มีเหตุผลอันควร) เขาก็พูดกระแนะกระแหนว่าเขาไม่มีศักยภาพที่จะเป็นหัวหน้าเรา จากนั้นก็ตำหนิเราเรื่องบุคลิกและพฤติกรรมที่ขัดใจเขาอีก และก็บอกว่า การที่เราไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายเรื่องที่เราอยากจะย้ายงาน โดยที่ไม่ได้บอกให้เขารู้ก่อน เขาถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติและหักหลังเขา เราก็ชี้แจงไปว่า เราทำตามที่ผู้บริหารบอกให้ทำ หัวหน้าก็บอกว่าเราพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะนั่นแปลว่าเรากำลังโทษผู้บริหาร เราก็เงียบ ไม่อยากพูดแล้ว หัวหน้าอยากจะคิดยังไงก็ช่าง(แต่ถ้าจะพูดตามตรง เราเองก็ไม่อยากปรึกษาหัวหน้าเรื่องย้ายฝ่ายงานอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เราอยากย้าย พอเราจะไป แล้วเขาจะมาอะไรกับเราอีก) เราทนทำงานอยู่ห้องเดียวกับเขาต่ออีกไม่กี่วัน ก่อนจะย้ายไปอยู่ตรงอื่น ตอนที่เราเก็บของเดินออกไป เราไม่ได้ร่ำลาหัวหน้าเลย แต่ได้ร่ำลาผู้บริหาร เขาก็อวยพรเรา มีรุ่นพี่ในห้องช่วยพาเราไปส่งที่ตึกทำงานใหม่
ตอนนี้เราอยู่ฝ่ายงานใหม่มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว (ไม่ได้ทดลองงานใหม่ นับอายุงานต่อจากที่เดิม) งานเราเปลี่ยนไปจากเดิม งานยากกว่าเดิม ได้เลิกงานช้ากว่าเดิม แต่สุขภาพจิตเราดีขึ้น แม้จะรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้ร่วมงานกับพวกเพื่อนร่วมงานเก่าอีก (พวกเขาดีกับเราทุกคน มีแค่หัวหน้าที่ร้ายกับเรา) แต่ก็ยังได้เจอกันบ้าง คนที่รับงานต่อจากเราก็ยังติดต่อมาถามงานเราอยู่ (งานที่เราทำ หลายอย่างต้องใช้โปรแกรม excel / powerpoint แต่พวกพนักงานไม่เก่งเรื่องพวกนี้กันเลย เวลามีอะไรที่ต้องใช้โปรแกรมพวกนี้ เรามักเป็นคนทำให้) บางครั้งเราก็ถูกรุ่นพี่จากงานเก่าขอร้องให้ไปช่วยสอนงานให้ถึงห้อง(ในวันที่หัวหน้าเก่าไม่มาทำงาน) เพราะหัวหน้าไม่ได้แจ้งเราว่าจะมอบหมายใครมาทำงานแทนส่วนของเรา เราจึงไม่ได้สอนงานใครไว้ก่อนที่จะย้ายออกไป(แต่เราส่งต่องานทั้งหมดไว้กับรุ่นพี่ที่ทำร่วมกับเรา) ซึ่งเราก็ยินดีไปสอนให้ถึงที่ ตราบใดที่ไปแล้วไม่ต้องเจอหัวหน้าเก่า เราก็ยินดีไป เราคิดถึงพวกเพื่อนร่วมงานทุกคน ซึ่งหลายคนพูดว่าเราน่าอิจฉาที่ได้ย้ายไปอยู่งานอื่น ในขณะที่พวกเขาต้องทนรับเคราะห์กรรมจากอารมณ์ที่แปรปรวนของหัวหน้าต่อไป
ขอพูดเรื่องหัวหน้างานคนใหม่ของเรานิดนึง เขากับเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เรายังอยู่ฝ่ายงานเก่า เพราะเคยประสานงานกันหลายครั้ง เขามีนิสัยที่เป็นกันเอง พูดจาดีกับเรา(แต่เราก็ไม่ชะล่าใจว่าเขาจะดีกับเราไปตลอด เพราะหัวหน้างานคนเก่าก็ดีกับเรามากในช่วงแรกๆเหมือนกัน) แม้บางครั้งเขาจะปากร้ายก็เถอะ(เราเคยได้ยินเขาตำหนิลูกน้องในห้อง พูดตรงและแรงใช้ได้ 555) เราก็พยายามปรับปรุงตัวเอง สิ่งใดที่เคยเป็นปัญหาระหว่างเรากับหัวหน้าเก่า เราก็พยายามปรับมันให้ดีขึ้น เราก็ยังเป็นคนพูดน้อยเหมือนเดิม แต่เราพยายามเอางานไปปรึกษาหัวหน้ามากขึ้น(จริงๆต้องบอกว่าเราจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องงานอยู่แล้ว เพราะเป็นงานที่เราไม่เคยทำ) โชคดีหน่อยที่งานนี้ถูกกับจริตของเรามากกว่างานก่อน และหัวหน้าคนนี้ก็ไม่เหวี่ยงง่าย ไม่ขี้งอน และรู้สึกชื่นชมในตัวเราอยู่ (เข้าไปคุยงานด้วยแล้วไม่โดนด่า แค่นี้ก็โอเคแล้ว) เขาไม่รู้สาเหตุที่เราย้ายจากงานเก่ามาอยู่ตรงนี้ แต่เขาก็พยายามสันนิษฐานและถามเรา ซึ่งเขาก็สันนิษฐานได้ถูกต้องเสียด้วย เขาบอกเราว่า หัวหน้าเก่าของเราก็เคยเหวี่ยงใส่เขาเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ต้องไปอคติกับเขาหรอกนะ เริ่มต้นกันใหม่
เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดี ได้ย้ายงานช่วงโควิด ทั้งๆที่เกือบจะลาออกแล้ว แต่ได้ผู้บริหารที่เมตตา ทำให้ไม่ตกงาน และไม่ต้องเป็นทุกข์ในการทำงาน ถ้าเราจะแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังได้บ้าง อย่างแรกเป็นคำแนะนำจากพ่อแม่เรา(ซึ่งเราก็ยังทำไม่ค่อยได้) คือเวลาทำงานอย่าเป็นคนเงียบๆ เพราะการเงียบทำให้คนอื่นไม่เข้าใจเรา และหัวหน้าอาจรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ปกครองยาก และถ้าใครมาทำไม่ดีกับเรา ต่อให้เป็นหัวหน้า ก็อย่าเอาแต่ยอม ให้โต้แย้งบ้าง เพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เพื่อความสบายใจของเราเอง พูดไปเขาจะได้เกรงใจบ้าง...และคำแนะนำที่สองจากเราเอง คือ ขอให้ทุ่มเทตั้งใจทำงานเต็มที่ ควรมีทักษะบางอย่างที่ทำให้เราดูเก่งกว่าคนอื่น(อย่างเช่นเราที่เก่งเรื่องคอมมากกว่าพนักงานคนอื่นๆในห้อง ก็จะถูกมองว่าเป็นคนทำงานเก่งไปด้วย) เวลามีเพื่อนร่วมงานมาขอความช่วยเหลือ ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเถอะ ได้ทั้งผูกไมตรีและได้ความรู้ใหม่ๆ และพยายามอย่านินทาว่าร้ายคนอื่นในที่ทำงาน(อย่างเรามีปัญหากับหัวหน้า แต่ก็ไม่เคยนินทาว่าร้ายหัวหน้าในที่ทำงาน) เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราตกที่นั่งลำบาก จะมีคนเมตตาและให้ความช่วยเหลือ ...เป็นกำลังใจให้ตัวเองและคนทำงานทุกคนที่เจอปัญหาแบบเรา...
หลังจากมีปัญหากับเจ้านายมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็หาทางหลุดพ้นได้สักที
เราอดทนมาได้ 2 ปีกว่าๆ ในที่สุดความอดทนเราก็เริ่มจะสิ้นสุด เมื่อถึงตอนประเมินผลการทำงาน หัวหน้าให้คะแนนเราแบบเส้นยาแดงผ่าแปด คือให้แค่ผ่าน (ปกติเราจะได้ระดับดีมากมาตลอด แต่ครั้งนี้หัวหน้ากำลังงอนเราอยู่ ก็เลยให้แค่ผ่าน) เขาบอกว่าเราไม่ยอมปรับตัว เขาอยากให้เราเป็นคนช่างพูด พูดเยอะๆ แต่เราทำไม่ได้ บอกว่าเราไม่มีผลงาน ซึ่งงานเราไม่ใช่งานที่จะมีผลงานให้เห็นแบบชัดเจน มันเป็นงานสายสนับสนุน เราทำงานร่วมกับรุ่นพี่อีกคน เหมือนเราเป็นผู้ช่วยเขา แต่งานบางอย่างรุ่นพี่เราทำไม่ได้ ส่วนเราทำได้ ซึ่งหัวหน้าไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย หัวหน้าเจาะจงพูดแต่เรื่องบุคลิกและพฤติกรรมของเราที่เขาไม่ชอบ และพยายามจะบีบเราด้วยการให้คะแนนประเมินต่ำๆ และเราเชื่อว่าถ้าเขาไม่กลัวผู้บริหารจะสงสัยและสอบสวนเขาเรื่องคะแนน เขาก็คงจะให้เราตกแน่ๆ เพราะเขาให้คะแนนลูกน้องคนอื่นๆ ในระดับดีขึ้นไป แต่ให้คะแนนเราต่ำคนเดียว (ถามว่าเรารู้คะแนนคนอื่นได้ยังไง...เรารู้เพราะเรามีส่วนช่วยในการรวบรวมเอกสารคะแนนประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานในฝ่ายเรา)
ทีนี้เราก็เริ่มหางานใหม่ แต่ก็หาอยู่ในที่ทำงานเดิมนั่นแหละ แค่ลองสมัครและไปสัมภาษณ์งานที่ฝ่ายอื่นดูบ้าง ในใจคิดว่าอยากจะไปให้พ้นจากหัวหน้าคนนี้สักที จะประสาทเสียอยู่แล้ว เครียดมาก เวรกรรมอะไรของเราน้อ...ไม่นานนัก เรื่องที่เราไปสมัครงานฝ่ายอื่นก็ไปถึงหูผู้บริหารฝ่ายงานเรา เราถูกผู้บริหารเรียกไปคุย ถามไถ่ว่ามีปัญหาอะไรถึงอยากเปลี่ยนงาน เขาไม่อยากเสียเราไป (ผู้บริหารคนนี้เป็นคนรับเราเข้าทำงานที่นี่) เราก็บอกไปตามตรงว่ามีปัญหากับหัวหน้า ผู้บริหารก็เรียกรุ่นพี่ที่ทำงานกับเรามาคุย และก็เรียกหัวหน้าเรามาคุย (ตอนนั้นเราก็อยู่ด้วย) รุ่นพี่ก็ช่วยพูดปกป้องเรา แต่พูดตามความจริงที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่หัวหน้ากระทำกับเรา เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆในห้องก็เห็นหมด และทุกคนต่างก็รู้นิสัยหัวหน้า ไม่มีใครคิดโทษเรา ส่วนหัวหน้าก็พูดกับเราดีเชียวเวลาอยู่ต่อหน้าผู้บริหาร ผู้บริหารบอกเราว่าให้รอดูต่อไปอีกสักเดือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นไหม เราก็ตกลง ให้โอกาสทั้งตัวเองและหัวหน้า และเห็นแก่ผู้บริหารที่เมตตาและมีพระคุณกับเรา
แต่ว่า...หลังจากวันนั้น รุ่นพี่เราถูกหัวหน้าเรียกไปด่า เพราะว่ารุ่นพี่พูดปกป้องเราตอนที่ผู้บริหารเรียกคุย พูดปกป้องเราแทนที่จะเข้าข้างหัวหน้า เขารู้สึกเหมือนถูกหักหน้า (รุ่นพี่มาเล่าให้เราฟัง) เราก็นึกสงสารรุ่นพี่ แต่ก็รู้สึกขอบคุณเขาด้วย ส่วนเรานั้น หัวหน้าแทบไม่คุยด้วยเลยจ้า ไม่มองด้วย เวลาเราไหว้ทักทายก็ไม่หันมารับไหว้ แต่พอเราไม่ไหว้ ก็ไปเล่าให้รุ่นพี่ฟังว่าเราไม่ไหว้ เราเองก็เลี่ยงที่จะเข้าหาหัวหน้าเช่นกัน เวลามีงานอะไรจะต้องนำไปเสนอหรือส่งหัวหน้า เราก็จะเสนอและส่งผ่านรุ่นพี่แทน แล้วให้รุ่นพี่ไปเสนอหัวหน้าแทน แต่ก็มีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องเข้าไปรายงานหรือเสนองานกับหัวหน้าด้วยตัวเอง ซึ่งปรากฏว่าเราก็โดนตำหนิอีกตามเคย เขาจะชอบจี้เราด้วยคำถามที่เขาคิดว่าเราจะตอบไม่ได้ เพื่อหาเรื่องตำหนิเราต่อหน้าคนอื่นๆ (เพราะถ้าเป็นคนอื่นเข้าไปเสนองานจะไม่ถูกจี้ถามแบบนี้) มีอยู่ช่วงหนึ่งหัวหน้ามองเห็นประโยชน์ในตัวเรา จึงพยายามพูดจาดีกับเรา แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนสายลมพัดผ่าน
ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านมา 2 เดือนนับจากวันที่ผู้บริหารเรียกเราคุย เราก็หาเวลาไปพบผู้บริหารอีกครั้ง(แอบไปโดยที่ไม่ให้หัวหน้ารู้) เพื่อบอกเขาว่าสถานการณ์ระหว่างเรากับหัวหน้าไม่ดีขึ้นเลย แถมแย่ลงกว่าเดิมด้วย รุ่นพี่เราก็พูดกับผู้บริหารว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ให้เราย้ายฝ่ายดีกว่า ให้ไปสังกัดหัวหน้าคนอื่นแทน (รุ่นพี่เองก็ไม่สามารถช่วยพูดปกป้องเราได้ตลอด เพราะเขาก็ไม่อยากมีปัญหากับหัวหน้า) ผู้บริหารก็โอเค ถ้าเราอยากย้าย เขาจะคุยกับผู้จัดการฝ่ายให้ แต่ก็บอกให้เราไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายเองอีกทีด้วย เราก็ไปคุย ผู้จัดการบอกว่าเขารู้ปัญหาเราอยู่แล้ว ถึงเราจะไม่เคยมาเล่าให้ฟัง แต่เขาก็รู้ จากนั้นเขาก็หาฝ่ายงานอื่นให้เราไปอยู่
ทางด้านหัวหน้าเรา มีโอกาสได้คุยกับเราสองต่อสองอีกครั้งตอนที่ประเมินผลการปฏิบัติงาน(รอบสอง) แน่ล่ะว่าเขาให้คะแนนเราต่ำอีกเหมือนครั้งก่อน ถ้าต่ำกว่านี้ก็ตกแล้ว(แต่เขาไม่กล้าให้เราตก ไม่งั้นเขาต้องไปอธิบายเหตุผลกับผู้บริหาร แน่ล่ะว่าไม่มีเหตุผลอันควร) เขาก็พูดกระแนะกระแหนว่าเขาไม่มีศักยภาพที่จะเป็นหัวหน้าเรา จากนั้นก็ตำหนิเราเรื่องบุคลิกและพฤติกรรมที่ขัดใจเขาอีก และก็บอกว่า การที่เราไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายเรื่องที่เราอยากจะย้ายงาน โดยที่ไม่ได้บอกให้เขารู้ก่อน เขาถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติและหักหลังเขา เราก็ชี้แจงไปว่า เราทำตามที่ผู้บริหารบอกให้ทำ หัวหน้าก็บอกว่าเราพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะนั่นแปลว่าเรากำลังโทษผู้บริหาร เราก็เงียบ ไม่อยากพูดแล้ว หัวหน้าอยากจะคิดยังไงก็ช่าง(แต่ถ้าจะพูดตามตรง เราเองก็ไม่อยากปรึกษาหัวหน้าเรื่องย้ายฝ่ายงานอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เราอยากย้าย พอเราจะไป แล้วเขาจะมาอะไรกับเราอีก) เราทนทำงานอยู่ห้องเดียวกับเขาต่ออีกไม่กี่วัน ก่อนจะย้ายไปอยู่ตรงอื่น ตอนที่เราเก็บของเดินออกไป เราไม่ได้ร่ำลาหัวหน้าเลย แต่ได้ร่ำลาผู้บริหาร เขาก็อวยพรเรา มีรุ่นพี่ในห้องช่วยพาเราไปส่งที่ตึกทำงานใหม่
ตอนนี้เราอยู่ฝ่ายงานใหม่มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว (ไม่ได้ทดลองงานใหม่ นับอายุงานต่อจากที่เดิม) งานเราเปลี่ยนไปจากเดิม งานยากกว่าเดิม ได้เลิกงานช้ากว่าเดิม แต่สุขภาพจิตเราดีขึ้น แม้จะรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้ร่วมงานกับพวกเพื่อนร่วมงานเก่าอีก (พวกเขาดีกับเราทุกคน มีแค่หัวหน้าที่ร้ายกับเรา) แต่ก็ยังได้เจอกันบ้าง คนที่รับงานต่อจากเราก็ยังติดต่อมาถามงานเราอยู่ (งานที่เราทำ หลายอย่างต้องใช้โปรแกรม excel / powerpoint แต่พวกพนักงานไม่เก่งเรื่องพวกนี้กันเลย เวลามีอะไรที่ต้องใช้โปรแกรมพวกนี้ เรามักเป็นคนทำให้) บางครั้งเราก็ถูกรุ่นพี่จากงานเก่าขอร้องให้ไปช่วยสอนงานให้ถึงห้อง(ในวันที่หัวหน้าเก่าไม่มาทำงาน) เพราะหัวหน้าไม่ได้แจ้งเราว่าจะมอบหมายใครมาทำงานแทนส่วนของเรา เราจึงไม่ได้สอนงานใครไว้ก่อนที่จะย้ายออกไป(แต่เราส่งต่องานทั้งหมดไว้กับรุ่นพี่ที่ทำร่วมกับเรา) ซึ่งเราก็ยินดีไปสอนให้ถึงที่ ตราบใดที่ไปแล้วไม่ต้องเจอหัวหน้าเก่า เราก็ยินดีไป เราคิดถึงพวกเพื่อนร่วมงานทุกคน ซึ่งหลายคนพูดว่าเราน่าอิจฉาที่ได้ย้ายไปอยู่งานอื่น ในขณะที่พวกเขาต้องทนรับเคราะห์กรรมจากอารมณ์ที่แปรปรวนของหัวหน้าต่อไป
ขอพูดเรื่องหัวหน้างานคนใหม่ของเรานิดนึง เขากับเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เรายังอยู่ฝ่ายงานเก่า เพราะเคยประสานงานกันหลายครั้ง เขามีนิสัยที่เป็นกันเอง พูดจาดีกับเรา(แต่เราก็ไม่ชะล่าใจว่าเขาจะดีกับเราไปตลอด เพราะหัวหน้างานคนเก่าก็ดีกับเรามากในช่วงแรกๆเหมือนกัน) แม้บางครั้งเขาจะปากร้ายก็เถอะ(เราเคยได้ยินเขาตำหนิลูกน้องในห้อง พูดตรงและแรงใช้ได้ 555) เราก็พยายามปรับปรุงตัวเอง สิ่งใดที่เคยเป็นปัญหาระหว่างเรากับหัวหน้าเก่า เราก็พยายามปรับมันให้ดีขึ้น เราก็ยังเป็นคนพูดน้อยเหมือนเดิม แต่เราพยายามเอางานไปปรึกษาหัวหน้ามากขึ้น(จริงๆต้องบอกว่าเราจำเป็นต้องปรึกษาเรื่องงานอยู่แล้ว เพราะเป็นงานที่เราไม่เคยทำ) โชคดีหน่อยที่งานนี้ถูกกับจริตของเรามากกว่างานก่อน และหัวหน้าคนนี้ก็ไม่เหวี่ยงง่าย ไม่ขี้งอน และรู้สึกชื่นชมในตัวเราอยู่ (เข้าไปคุยงานด้วยแล้วไม่โดนด่า แค่นี้ก็โอเคแล้ว) เขาไม่รู้สาเหตุที่เราย้ายจากงานเก่ามาอยู่ตรงนี้ แต่เขาก็พยายามสันนิษฐานและถามเรา ซึ่งเขาก็สันนิษฐานได้ถูกต้องเสียด้วย เขาบอกเราว่า หัวหน้าเก่าของเราก็เคยเหวี่ยงใส่เขาเหมือนกัน แต่เราก็ไม่ต้องไปอคติกับเขาหรอกนะ เริ่มต้นกันใหม่
เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดี ได้ย้ายงานช่วงโควิด ทั้งๆที่เกือบจะลาออกแล้ว แต่ได้ผู้บริหารที่เมตตา ทำให้ไม่ตกงาน และไม่ต้องเป็นทุกข์ในการทำงาน ถ้าเราจะแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังได้บ้าง อย่างแรกเป็นคำแนะนำจากพ่อแม่เรา(ซึ่งเราก็ยังทำไม่ค่อยได้) คือเวลาทำงานอย่าเป็นคนเงียบๆ เพราะการเงียบทำให้คนอื่นไม่เข้าใจเรา และหัวหน้าอาจรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ปกครองยาก และถ้าใครมาทำไม่ดีกับเรา ต่อให้เป็นหัวหน้า ก็อย่าเอาแต่ยอม ให้โต้แย้งบ้าง เพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เพื่อความสบายใจของเราเอง พูดไปเขาจะได้เกรงใจบ้าง...และคำแนะนำที่สองจากเราเอง คือ ขอให้ทุ่มเทตั้งใจทำงานเต็มที่ ควรมีทักษะบางอย่างที่ทำให้เราดูเก่งกว่าคนอื่น(อย่างเช่นเราที่เก่งเรื่องคอมมากกว่าพนักงานคนอื่นๆในห้อง ก็จะถูกมองว่าเป็นคนทำงานเก่งไปด้วย) เวลามีเพื่อนร่วมงานมาขอความช่วยเหลือ ถ้าช่วยได้ก็ช่วยเถอะ ได้ทั้งผูกไมตรีและได้ความรู้ใหม่ๆ และพยายามอย่านินทาว่าร้ายคนอื่นในที่ทำงาน(อย่างเรามีปัญหากับหัวหน้า แต่ก็ไม่เคยนินทาว่าร้ายหัวหน้าในที่ทำงาน) เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราตกที่นั่งลำบาก จะมีคนเมตตาและให้ความช่วยเหลือ ...เป็นกำลังใจให้ตัวเองและคนทำงานทุกคนที่เจอปัญหาแบบเรา...