วันนี้ ( 29 ก.ย. 63 )นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซา เปาโล เปิดเผยรายงานว่า เมือง “มาเนาส์” (Manaus)
เมืองใหญ่ที่สุดของรัฐอะมาโซนาส ของประเทศบราซิล อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่เป็นที่แรกของโลกแล้ว
หลังจากที่ตรวจพบว่า ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
จากการเก็บข้อมูลพบว่า ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีประชาชนในเมืองมาเนาส์ เสียชีวิตจากโควิด-19
จนทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งล่ม ตลอดจนไม่เหลือหลุมศพมากเพียงพอฝังศพผู้เสียชีวิต ซึ่งที่ผ่านมา
เมืองนี้ไม่เคยใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ มีเพียงการสั่งปิดธุรกิจบางประเภท แต่ประชาชนก็ยังคงไม่สนใจคำแนะนำให้เว้นระยะห่าง
และการสวมห้ากากอนามัย
หลังจากนั้น ในช่วงเดือนมิถุนายน กลับพบจำนวนผู้เสียชีวิตน้อยลงอย่างน่าแปลกใจ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ตั้งข้อสังเกตว่า
อาจเป็นเพราะประชาชนในเมืองจำนวนมากติดเชื้อไวรัส จนทำให้ไม่มีประชาชนมากพอที่จะสามารถติดเชื้อได้อีก
สำหรับรายงานจำนวนศพที่ถูกฝัง สูงสุดวันละ 277 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม เหลือเพียง วันละ 45 คน ในช่วงกลางเดือนกันยายน
งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ทางการแพทย์ medRxiv เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีชาวเมืองมาเนาส์ติดเชื้อระหว่าง 44%-66%
ที่ติดเชื้อระหว่างช่วงระบาดหนักตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
นอกจากนี้งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซา เปาโล ได้ทำการคำนวนจากการบริจาคโลหิตของประชาชนรายใหม่ ๆ
ซึ่งพบว่ามีแอนติบอดี้ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และทำให้สามารถสร้างโมเดล หรือรูปแบบการแพร่กระจายของเชื้อได้
เพราะการที่ยิ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตรายใหม่นั้นลดน้อยลง ตามแนวทางของเกิด herd immunity
เจ้าหน้าที่เตือนประชาชนในเมืองมาเนาส์ที่เพิกเฉยต่อไวรัส และไม่สนความเสี่ยงการระบาดรอบสอง
ด้วยการไม่สวมหน้ากากอนามัย และการไปปาร์ตี้กันที่คลับ และบาร์ ซึ่งนายกเทศมนตรีเมืองมาเนาส์ อาร์เธอร์ เวอร์กิลิโอ กล่าวโทษ
ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ที่ไม่ใส่ใจกับเรื่องการระบาดและเดินหน้านเปิดเศรษฐกิจต่อไป แทนที่จะให้รอจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันออกมา
https://www.tnnthailand.com/content/56744
ที่แรกของโลก! เมืองในบราซิลอาจเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่”
เมืองใหญ่ที่สุดของรัฐอะมาโซนาส ของประเทศบราซิล อาจมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จนเกิดเป็นภูมิคุ้มกันหมู่เป็นที่แรกของโลกแล้ว
หลังจากที่ตรวจพบว่า ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
จากการเก็บข้อมูลพบว่า ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีประชาชนในเมืองมาเนาส์ เสียชีวิตจากโควิด-19
จนทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งล่ม ตลอดจนไม่เหลือหลุมศพมากเพียงพอฝังศพผู้เสียชีวิต ซึ่งที่ผ่านมา
เมืองนี้ไม่เคยใช้มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ มีเพียงการสั่งปิดธุรกิจบางประเภท แต่ประชาชนก็ยังคงไม่สนใจคำแนะนำให้เว้นระยะห่าง
และการสวมห้ากากอนามัย
หลังจากนั้น ในช่วงเดือนมิถุนายน กลับพบจำนวนผู้เสียชีวิตน้อยลงอย่างน่าแปลกใจ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ตั้งข้อสังเกตว่า
อาจเป็นเพราะประชาชนในเมืองจำนวนมากติดเชื้อไวรัส จนทำให้ไม่มีประชาชนมากพอที่จะสามารถติดเชื้อได้อีก
สำหรับรายงานจำนวนศพที่ถูกฝัง สูงสุดวันละ 277 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม เหลือเพียง วันละ 45 คน ในช่วงกลางเดือนกันยายน
งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ทางการแพทย์ medRxiv เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีชาวเมืองมาเนาส์ติดเชื้อระหว่าง 44%-66%
ที่ติดเชื้อระหว่างช่วงระบาดหนักตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
นอกจากนี้งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซา เปาโล ได้ทำการคำนวนจากการบริจาคโลหิตของประชาชนรายใหม่ ๆ
ซึ่งพบว่ามีแอนติบอดี้ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และทำให้สามารถสร้างโมเดล หรือรูปแบบการแพร่กระจายของเชื้อได้
เพราะการที่ยิ่งมีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตรายใหม่นั้นลดน้อยลง ตามแนวทางของเกิด herd immunity
เจ้าหน้าที่เตือนประชาชนในเมืองมาเนาส์ที่เพิกเฉยต่อไวรัส และไม่สนความเสี่ยงการระบาดรอบสอง
ด้วยการไม่สวมหน้ากากอนามัย และการไปปาร์ตี้กันที่คลับ และบาร์ ซึ่งนายกเทศมนตรีเมืองมาเนาส์ อาร์เธอร์ เวอร์กิลิโอ กล่าวโทษ
ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ที่ไม่ใส่ใจกับเรื่องการระบาดและเดินหน้านเปิดเศรษฐกิจต่อไป แทนที่จะให้รอจนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันออกมา
https://www.tnnthailand.com/content/56744