กระบวนการบรรลุธรรม อริยมรรค  อริยผล

บทความนี้ผมได้ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพราะเห็นว่า สมควรแก่เวลาแล้วที่จะทำ
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ท่านทั้งหลายได้โปรดใช้หลัก กาลามะสูตร พิจาณาด้วยปัญญาอันดี 
ด้วย โยนิโสมนสิการ ก่อนว่า เห็นควรจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่เหตุ แล้วแต่ธรรม
ตามที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ดีแล้ว
หากผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้มา ณ ที่นี้
 
                กระบวนการบรรลุธรรม อริยมรรค  
 
                ผู้ที่จะได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาได้นั้น จะต้องเจริญ ศีลสิกขา จิตสิกขา และปัญญาสิกขา 
ตามหลัก อริยมรรคมีองค์ 8 และสติปัฏฐาน 4 เพื่อให้จิตเข้าใจไตรลักษณ์ ได้อย่างถูกต้องและเพียงพอ
และเมื่อวันนั้น ที่บารมีเต็มพร้อมแล้วมาถึง จิตจะเข้าสู่กระบวนการบรรลุธรรม โดย.... 
 
“จิตจะรวมตัวเข้าสู่ อัปปานาสมาธิ (ฌานสมาธิ) แล้วเข้าเกิดปัญญารู้แจ้งใน ไตรลักษณ์” (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) 
โดยจะเห็นสภาวะธรรมใดๆ หนึ่งๆ นั้น แสดงไตรลักษณ์ขึ้นมา ข้อใดข้อหนึ่งของ ตามวาสนาบารมีของตน
แล้วเกิด โลกุตรปัญญา ขึ้น จากนั้นจิตจะเข้าใจสภาวะธรรมรวบยอด ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ดังคำกล่าวที่ว่า
 
                “ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ”
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นทั้งปวง ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
 
ดังมีกระบวนการบรรลุธรรม ตามที่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ดังนี้ 
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ          (เห็น สภาวะธรรมใดๆ หนึ่งๆ เกิดขึ้นก่อน)
ญาณัง อุทะปาทิ                    (เกิดความหยั่งรู้ เห็นสภาวธรรมนั้น แสดงไตรลักษณ์)
ปัญญา อุทะปาทิ                   (เกิดปัญญาเข้าใจในไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมนั้น)
วิชชา อุทะปาทิ                       (รู้แจ้งในอริยสัจ บางส่วนหรือทั้งหมด ตามระดับภูมิธรรม )
อาโลโก อุทะปาทิ                   (เกิดแสงสว่าง ดวงอริยมรรค แหวกกิเลส ตัดกิเลสนั้น ได้อย่างสมุจเฉทปหาน)
 
กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเกิดขึ้นมากหรือน้อยตามวาสนาบารมี 
หากเป็น เอกพีชีโสดาบัน จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ขณะจิต
หากเป็น โกลังโกละโสดาบัน หรือ สัตตักขัตตุงปรมะโสดาบัน 
จะใช้เวลาประมาณ 5-6 ขณะจิต (ตามคำกล่าวของครูบาอาจารย์)
 
หลังจากเกิด อริยมรรค ในอัปปานาสมาธิแล้ว ขณะจิตต่อมา จิตจะถอนออกจากอัปปานาสมาธิ
แล้วเกิด อริยผล ในขณะจิตสืบเนื่องต่อมา ดวงจิตนี้ จะเปลี่ยนจากปุถุชน กลายเป็นพระอริยะ เสร็จสมบูรณ์ในขณะนั้นทันที
 
จากนั้นจะเกิด ปัจจเวกขณะญาณ (กระบวนการพิจารณา ทบทวนธรรมะไปตามลำดับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมีสภาวะอย่างไร)
ตามหลัก วิปัสสนาญาณ 16 (บางตำราแจกแจง วิปัสสนาญาณ เพียง 9 ข้อ แต่ก็มีใจความอย่างเดียวกัน) 
 
เมื่อทบทวนสภาวะธรรมเสร็จแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้น กระบวนการบรรลุธรรม
 
-----------------------------------------
 
                อริยผล กับ ความสัมพันธ์กันระหว่าง ปรมัตถธรรม(สภาวะแท้) และสมมุติบัญญัติ(ชื่อที่ถูกตั้งขึ้น) 
 
                ผู้ที่ผ่านกระบวนการบรรลุธรรมมาแล้วนั้น จะเห็นในทันทีที่ได้รับอริยผลว่า 
กายนี้ ใจนี้ ไม่เหมือนเดิม และผู้นั้น จะเข้าถึงสภาวะแห่ง "ความไม่เป็น" 
 
ไม่ได้เป็นทั้งคนเดิม หรือ คนใหม่ และไม่ได้เป็น แม้ในสิ่งใดๆ อะไรเลย
หากจะกล่าวถึง ก็เป็นเพียง “บุคคลโดยสมมุติ ใดๆ หนึ่งๆ สรรพสัตว์ ใดๆ หนึ่งๆ ที่มีอยู่ แต่.... “นิรนาม” 
 
ผู้ที่ได้อริยมรรคอริยผลขึ้นมาแล้วจริงๆ แล้วอย่างเช่น พระโสดาบัน 
จะไม่รู้สึก โดยสภาวะแท้ ว่าตัวเองได้เป็นพระโสดาบัน และไม่ได้เป็นแม้ในสิ่งใดๆ ด้วย
 
ในสภาวะธรรมแห่งความไม่เป็นแม้ในสิ่งใดๆ นั่นแหละ 
คือ ความรู้สึกที่แท้จริง เมื่อกิเลส (สังโยชน์) ที่ชื่อว่า สักกายทิฏฐิ 
ได้ถูกละไปอย่างเด็ดขาดเป็น สมุทเฉทปหาน (ฆ่ากิเลสตายอย่างไม่มีวันกลับคืน)
 
ตัวตนที่แท้จริงของ อริยมรรค อริยผล คือ ปัญญา(เพื่อความพ้นทุกข์) 
ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อความมี ความเป็น หรือความครอบครอง แม้ในสิ่งใดๆ
 
หากใครรู้สึกว่าตนเอง "ยังเป็นอะไรๆ อยู่ก็ตาม" ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าถึง
ความเป็นพระอริยะ แม้ในขั้นใดๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้เลย 
 
เพราะถ้ายังรู้สึกว่า “เราเป็น” แม้ในสิ่งใดๆ แปลว่า ความมี ความเป็น ในตัวเรา ของเรา ยังอยู่
เมื่อ ความมี ความเป็น ตัวเรา ของเรา ยังอยู่ = กิเลสที่ชื่อว่า สักกายทิฏฐิ ยังอยู่ นั่นแปลว่ายังไม่บรรลุธรรม
 
เมื่อใดที่ "เข้าถึงความไม่เป็นนั้นแล้ว" จะได้ ชื่อเรียก ตามภาษาสมมุติในโลก 
ที่ พระพุทธเจ้า ทรงตั้งชื่อเรียก ให้สมมุติบัญญัติไว้ว่าเป็น “พระอริยะ” 
 (พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ตามระดับของภูมิธรรมนั้นๆ) 
 
“เพราะไม่ได้เป็น จึงได้เป็น” หรือ “เพราะไม่ได้เป็น จึงได้ชื่อเรียก ว่าเป็น....”
(เพราะไม่ได้เป็น ตามปรมัตถธรรม จึงได้ชื่อเรียกตาม สมมุติบัญญัติ ว่าเป็น....)
 
ความสัมพันธ์กันระหว่าง ปรมัตถธรรม และ ชื่อเรียกตาม สมมุติบัญญัติ จึงมีด้วยเหตุนี้
 
 ----------------------------------------------
 
การเข้าถึงไตรสรณคม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง
 
ผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมแล้ว จะเห็นว่า วิธีปฏิบัติธรรม ที่ได้ผ่านมาแล้วนี้ เท่านั้น 
ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้อย่างถาวร ทางเดียวที่จะกระทำให้แจ้งซึ่ง มรรค ผล นิพพาน ได้ 
 
คือ อริยมรรค มีองค์ 8 อันมี สติปัฏฐาน 4 เป็นส่วนประกอบนี้เท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีก 
และอริยมรรค มีองค์ 8 นี่แหละคือ “มัชฌิมาปฏิปทา ที่แท้จริง” สางสายกลางเพื่อการบรรลุธรรม 
 
เพื่อความสิ้นทุกข์ทั้งมวล เพื่อกระทำให้แจ้ง ให้ถึง ซึ่งความสุขที่แท้จริงตลอดกาล ที่เรียกว่า “นิพพาน” 
(ไม่ใช่ทางสายกลาง แบบประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างที่ชาวโลกเข้าใจกัน)
 
1. การเข้าถึง โลกุตรธรรม ธรรมะแท้ เมื่อ “ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว” จะรู้ว่า 
“ธรรมะ ที่ทำให้เข้าถึงความเป็นอย่างนี้ มีอยู่จริง” และวิธีปฏิบัติที่ทำให้เข้าถึงความเป็นอย่างนี้ มีวิธีนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีก 
ตรงนี้เองที่ทำให้กิเลส(สังโยชน์) ที่ชื่อว่า สีลัพพตปรามาส หรือ การยึดถือในวิธีปฏิบัติธรรมที่ผิด จะถูกละไป 
 
2. เข้าถึงความเป็นพระอริยสงฆ์ หลังจากได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว จะรู้ว่า 
ความเป็นอย่างนี้ (ผู้บรรลุธรรม) มีอยู่จริง และตัวเราเอง ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ได้เข้าถึงความเป็นอย่างนี้ (พระอริยะ)
แล้วด้วยตนเอง แม้ในผู้อื่น ที่เข้าถึงความเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เข้าถึงมาก่อน หรือยิ่งกว่านี้ ย่อมมีอีก 
 
3. การเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เมื่อธรรมะนี้ ที่เราได้ประจักษ์แจ้งมาแล้วมีอยู่ 
ผู้ที่รู้แจ้งในธรรมะนี้ได้มีอยู่ เมื่อนั้น จะประจักษ์แจ้งแก่ใจขึ้นมาว่า แล้วใครละ ที่เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมนี้ได้ด้วยพระองค์เอง 
ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะมีชื่อเรียกว่า พระพุทธเจ้า ตถาคต หรือชื่อว่าอะไรก็ตาม....“ท่านผู้นั้นย่อมมีอยู่จริง” 
 
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (ตถาคต)” 
เราจะได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เมื่อจิตดำเนินมาถึง “ขณะนี้”
 
วิจิกิจฉาในพระรัตนไตร ก็เป็นอันถูกละไป ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วโดยสมบูรณ์ 
“เพราะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของพระรัตนตรัยแล้ว ด้วยตนเอง” ด้วยเหตุและผลอย่างนี้
 
ทั้งนี้ กิริยาการทบทวนธรรม ของผู้ได้มรรคผลในแต่ละท่านนั้น อาจมีการเรียงลำดับเพื่ออธิบาย 
ในลักษณะต่างกัน ตามวาสนา บารมี และปัญญาอินทรีย์ของแต่ละคน ไม่ได้อธิบายเรียงตามลำดับ 1 2 3 เสมอไป
 
ในแง่มุมของการบรรลุธรรมยังมีละเอียดอีกมาก ที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเดียวกัน 
แต่หากใช้เวลาอธิบายโดยละเอียดมากกว่านี้ ก็จะเป็นเรื่องที่เกินจำเป็น 
 
จึงขอกล่าวโดยพอสมควรแก่ธรรมไว้เพียงเท่านี้ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ สามารถตรวจสอบตนเองได้
และเป็นหลักฐานของกระบวนการบรรลุธรรม สืบไป
 
“เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูฮีติ”
 
มาลองปฏิบัติธรรมดูเถิด ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นี้มีอยู่จริง 
ท่านทั้งหลายสามารถรู้ได้ ด้วยดวงตาเห็นธรรมนั้น ได้ด้วยตนเอง
 
 ---------------------------------------------
 
หมายเหตุ ผู้ที่สามารถพยากรณ์อริยมรรคอริยผลผลได้อย่างเด็ดขาด แบบไม่มีใครคัดค้านได้
มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เนื่องจากในปัจจุบันพระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้
 
ดังนั้น ผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามที่เข้าถึงธรรมะนั้นๆ แล้ว จึงมักไม่บอกกับคนทั่วไป 
เพราะหากพูดไปบอกไป แล้วเขาไม่เข้าใจ เกิดปรามาสเราขึ้นมา
จะเป็นกรรมหนักแก่เขา อาจตกนรกหรือต้องชดใช้กรรมหนักมากๆ 
 
ทั้งนี้ ในบางครั้ง ผู้เข้าถึงธรรมนั้นๆ ก็อาจบอกแก่บุคคลผู้คู่ควร ในเหตุการณ์ที่คู่ควร เมื่อเวลานั้นมาถึงได้เหมือนกัน 
โดยมักบอกเล่าแบบอ้อมๆ ด้วยสภาวะธรรมให้พอเข้าใจ แล้วผู้มีปัญญานั้นๆ จะพึงรู้ได้เอง
 
-------------------------------------------------
 
อ้างอิงกระบวนการบรรลุธรรม
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=19&siri=391
 
วิธีการตรวจสอบการบรรลุธรรมของตนเอง และผู้อื่น ที่พระพุทธเจ้าทรงให้ไว้
มหาปรินิพพานสูตร หลักธรรมชื่อว่า แว่นธรรม 
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=10&siri=3
 
ฉวิโสธนสูตร ว่าด้วยหลักการตรวจสอบ ๖ ประการ 
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=14&siri=12

เชิญลองปฏิบัติธรรมตามนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่