JJNY : 5in1 จับมือยื่นแก้รธน./แนวร่วมยันม็อบแน่/โวยไม่ได้เบี้ยยังชีพ/ปฏิเสธบัตรเครดิตพุ่ง40%/ประเมินท่องเที่ยวอีก4ปีฟื้น

สำเร็จแล้ว! เพื่อไทย-ก้าวไกล จับมือพรรคฝ่ายค้าน ยื่นแก้ รธน. "ปิดสวิตช์ สว."
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4881162
 
 
สำเร็จแล้ว! เพื่อไทย-ก้าวไกล จับมือพรรคฝ่ายค้าน ยื่นแก้ รธน. "ปิดสวิตช์ สว." และอีก 4 ฉบับ รวมถึงเรื่องประกาศคำสั่ง คสช. และ หวนคืนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
 
เมื่อเวลา 13.35 น.วันที่ 10 ก.ย. ที่รัฐสภา หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 6 พรรค นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวน 4 ฉบับ
 
ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ประกอบด้วย 
1. การแก้ไขมาตรา 272 และ 159 ว่าด้วยการให้ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี 
2. มาตรา 270 และ 271 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ 
3. มาตรา 279 ว่าด้วยการรับรองคำสั่งและประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ 4.การแก้ไขระบบเลือกตั้ง ส.ส.
 
โดยนายชวน กล่าวว่า เมื่อมีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาแล้ว จะมีการตรวจสอบความถูกต้องว่ามีส.ส.เข้าชื่อครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะสามารถบรรจุเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาได้ภายใน 15 วัน ซึ่งสามารถทันกับการประชุมรัฐสภาในวันที่ 23-24 ก.ย.
 
ด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีส.ส.ร่วมลงชื่อประมาณ 170 คน ซึ่งในส่วนของการแก้ไขกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี จะกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น เป็นผู้เลือกนายกฯ
 
จากบัญชีที่พรรคการเมืองเป็นผู้เสนอ หากไม่สามารถเลือกนายกฯ ตามบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอได้ จะเปิดโอกาสให้ส.ส.ในสภาฯ เสนอชื่อส.ส.ที่มีคุณสมบัติ และไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามให้สภาฯ เลือกเป็นนายกฯ ต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการปิดโอกาสนายกฯ คนนอกไปโดยปริยาย
 
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สำหรับในส่วนระบบเลือกตั้ง พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอให้นำระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ  2540 มาบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งเป็นระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน โดยการเลือกส.ส.ในระบบแบ่งเขตเลือกตั้งจะใช้รูปแบบเขตเดียว เบอร์เดียว
 
อีกทั้งการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ จะใช้ระบบการกัน 5 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าพรรคการเมืองใดที่จะมีส.ส.บัญชีรายชื่อได้นั้น จะต้องมีจำนวนคะแนนเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนคะแนนเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคิดว่า การมีระบบการกัน 5 เปอร์เซ็นต์เอาไว้นั้น จะไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองใหญ่ หรือทำลายพรรคการเมืองเล็ก
 
แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่เป็นที่ยุติ เพราะอาจมีการอภิปราย และแก้ไขในชั้นของคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา



'แนวร่วมธรรมศาสตร์' ยันม็อบแน่ ที่เก่า เวลาเดิม จวกปมเบรก ทำลายจิตวิญญาณ มธ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_2343088
 
สืบเนื่องกรณี เมื่อวันที่ 10 กันยายน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่เอกสาร ไม่อนุญาตให้กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
 
เมื่อเวลา 18.00 น. กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม เผยแพร่เอกสาร ยืนยันเดินหน้าการชุมนุม 19 กันยายน ที่มธ.ท่าพระจันทร์
 
เนื้อหาส่วนหนึ่ง ดังนี้
 
ประกาศแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
 
หัวข้อ : แนวร่วมธรรมศาสตร์ ฯ ยืนยันเดินหน้าจัดการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ไม่เปลี่ยนแปลงสถานที่อย่างแน่นอน
 
ดังที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ว่าทางมหาวิทยาลัยได้ตัดสินใจไม่อนุญาตให้แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้สถานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ในการจัดการจัดการชุมนุม “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” โดยให้เหตุผลว่าทางแนวร่วมมิได้ปฏิบัติตามแนวทางที่มหาวิทยาลัยได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้นั้น
 
แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมยืนยันว่าก่อนหน้านี้ ทางแนวร่วมได้ดำเนินการขออนุญาตใช้สถานที่กับทางมหาวิทยาลัยอย่างถูกต้องตามขั้นตอน โดยได้แจ้งรายละเอียดให้ทางมหาวิทยาลัยได้ทราบ และมีอาจารย์ที่ปรึกษารับรองตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
 
การกระทำของมหาวิทยาลัยถือเป็นการใส่ร้ายและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาและประชาชน อันเป็นการทำลายจิตวิญญาณธรรมศาสตร์อย่างร้ายแรง เราจึงขอประณามการกระทำดังกล่าวของมหาวิทยาลัยและขอเรียกร้องให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี และ รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ท่าพระจันทร์ ในฐานะผู้รับผิดชอบ ได้พิจารณาตนเองว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับที่เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพแล้วหรือไม่
 
ทั้งนี้ แนวร่วมขอยืนยันว่าจะใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์เป็นสถานที่ชุมนุมในวันที่ 19 ต่อไป เพราะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ย่อมเป็นของนักศึกษาและประชาชน จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป เพื่อยึดธรรมศาสตร์คืนเป็นของประชาชน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารดังกล่าว มีการใช้รูปแบบและสำนวนภาษาเทียบเคียงกับเอกสารไม่อนุญาตของทางมหาวิทยาลัยที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง

https://www.facebook.com/ThammasatUFTD/photos/a.104149498059846/130954208712708/
 


โวยลั่นคนแก่-พิการ 10 ล้านคน ไม่ได้รับเบี้ยยังชีพเดือนก.ย.
https://www.dailynews.co.th/economic/794646

โวยลั่น คนแก่-พิการ 10 ล้านคนทั่วประเทศไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ หลังสถ. ไม่มีเงินจ่าย ทันกำหนด 10 ก.ย.นี้ ด้านกรมบัญชีกลาง วุ่นเร่งแก้ไข

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงปัญหาการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคนละ 600-1,000 บาท และเบี้ยความพิการคนละ 800 บาทในเดือนก.ย. 63 ที่ล่าช้า จากปกติที่จะได้รับทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบข้อมูลการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้พิการและเบี้ยความพิการแล้ว พบสาเหตุมาจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)  ไม่มีงบประมาณจึงไม่ได้มีการโอนงบประมาณดังกล่าวมาให้กรมฯ ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายเบี้ยทั้ง 2 ประเภทให้กับผู้สูงอายุ และผู้พิการใน 76 จังหวัดทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคนได้ทันตามกำหนดในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ยกเว้นกรุงเทพฯ และพัทยา
 
อย่างไรก็ตาม ทราบว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสถ. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)กำลังอยู่ระหว่างขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากสำนักงบประมาณอยู่ ซึ่งคาดว่าจะได้รับงบในเร็วๆนี้ และจะสามารถโอนจ่ายค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ได้ทันภายในเดือนก.ย.นี้แน่นอน ส่วนสาเหตุที่ว่า เหตุใดถึงมีงบไม่เพียงพอนั้น ต้องสอบถามจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ พม.เพราะปกติเงินก้อนนี้จะได้รับอุดหนุนจากงบประมาณมาใช้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่นที่ไม่เข้าเป้าหมาย
 
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ปัจจุบัน กรมบัญชีกลางทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับเงินจาก สถ. เพื่อนำจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิของ อปท.ทั้ง 76 จังหวัด จำนวน 7,774 แห่งทั่วประเทศ  ซึ่งตามข้อมูลที่ได้รับจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เมื่อต้นปี 63 มีผู้สูงอายุได้รับสิทธิ 8.5 ล้านคน เป็นจำนวนเงิน 5,600 ล้านบาท ผู้พิการจำนวน 1.8 ล้านคน เป็นจำนวนเงิน 1,400-1,500 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10 กว่าล้านคน โดยในแต่ละเดือนเงินที่ผู้มีสิทธิได้รับจะถูกโอนเข้าบัญชีเงินฝากของผู้มีสิทธิโดยตรง
 
นางสาววิลาวรรณ  พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย แต่เมื่อตรวจสอบงบประมาณในเดือนก.ย.63  จากสถ.พบว่าไม่เพียงพอ  กรมบัญชีกลางจึงไม่สามารถจ่ายได้ อย่างไรก็ตามเมื่อ สถ.ได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้วกรมบัญชีกลางจะดำเนินการจ่ายให้ผู้มีสิทธิอย่างเร่งด่วนต่อไป ภายในเดือน ก.ย. 63 โดยขอให้ติดตามข่าวจากกรมบัญชีกลาง อย่างใกล้ชิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่