การที่พ่อแม่บังคับไม่ให้ลูกสมัครเรียนในคณะที่มีความเสี่ยงว่าจบแล้วจะตกงาน กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปแล้วหรือเปล่าครับ

กระทู้คำถาม
ณ สถานการณ์ของโลกในช่วงนี้ และถึงต่อให้โลกเราผ่าน COVID19 ไปได้แล้วก็ตาม

การที่พ่อแม่บังคับให้ไม่สมัครเรียนในคณะที่มีความเสี่ยงว่าจบแล้วจะตกงาน กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปแล้วหรือเปล่าครับ

เพราะพวกเขาเห็นกันชัดๆแล้วว่า บางคณะ จบมาก็มีความเสี่ยงอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่เจอภัยพิบัติหรือวิกฤตการณ์ใดๆอย่างโลกระบาด

ผมนึกถึงประโยคนึงที่ Influencer ชอบพูดกันว่า "ควรให้ลูกได้เรียนในคณะที่เขาชอบ ชีวิตของเขา" อ่า... มันก็ถูกต้องนะครับ (ย้อนกลับไป20ปีที่แล้ว โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ผมก็ปล่อยให้ผมได้เรียนในสายที่อยากเรียน)

แต่ปัจจุบัน ไอ้เราในฐานะคนเลี้ยงดูลูกๆหลานๆขึ้นมา เผชิญโลกมาก็เยอะ สิ่งหนึ่งที่เที่ยงธรรมเป็นแน่แท้มากๆนั่นก็คือ "อุปสงค์ อุปทาน" ครับ

ถ้าลูกหลานเรากำลังเลือกคณะในใบสมัครที่เราเห็นแนวโน้มแล้วว่า จบมา ก็ต้องแย่งกันสมัครงาน คู่แข่งที่จบมาพร้อมๆกันทั้งประเทศก็เยอะมหาศาล
การยังปล่อยให้ลูกเข้าคณะที่จบมาแล้วแต้มต่อของชีวิตก็น้อยในทันที (เพราะในมุมของผู้ใหญ่เราเห็นมากับตาแล้วจริงๆว่า งานในบางสาขา บางคณะ มันเสี่ยงจริงๆ) นั่นเท่ากับว่าจะกลายเป็นข้อผิดพลาดของตัวผู้ปกครองด้วยได้ไหมครับ

ค่านิยมสมัยนึงบอกว่า ต้องเรียนตามสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดี
ค่านิยมสมัยใหม่หน่อยบอกว่า ต้องให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่จะติดตัวเขาไปตลอดทั้งชีวิต
ค่านิยมสมัยใหม่สุดๆอาจกำลังจะบอกว่า ต้องให้ลูกเรียนในสายงานที่จบไปแล้วมั่นใจว่าจะยังหางานได้แม้จะมีวิกฤติอะไรถาโถมเข้ามา

 
แค่สงสัยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ในสายตาผม ประสบการณ์การผ่านโลกมานี่สำคัญมากนะครับ

โดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อแม่ตั้งแต่ต้นเหมือนกัน ดื้อนั่นแหละครับ แต่แม่พูดมาว่า แม่ผิดเหรอที่อยากให้ลูกได้ดี มีเงินใช้ ไม่ต้องมานั่งดูคนอื่นเขาใช้เงิน คำนี้ยังจได้ำอยู่ในหัวจนทุกวันนี้ คำพูดอาจจะไม่ซึ้งอะไรมากนะครับ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันได้อารมณ์จริงๆ เพราะเถียงกันบ้านแทบแตกเรื่องเลือกคณะเนี่ย

สุดท้ายก็เลือกเรียนคณะที่แม่เห็นว่าเหมาะสม ส่วนตัวก็เป็นคนที่ถ้าได้เรียนแล้วก็เรียนน่ะครับ ไม่คิดมากเหมือนตอนเลือกคณะ ไม่เคยอยากย้ายคณะ เรียนไปเรียนมาก็ชอบ สุดท้ายออกมาทำงานก็ไม่ลำบากตามคำแม่บอกจริงๆ คราวนี้อยากเรียนอะไรเพิ่มเติม อยากซื้ออะไร ทำได้แล้วครับ เพราะมีเงินเดือนแล้ว แม่ไม่เข้ามาก้าวก่ายอะไรแล้ว(ก็ถือว่าแม่ผมนี่เคารพการเติบโตของลูกพอสมควรเลยนะครับ พอเรียนจบปั๊บ แม่ไม่ว่าอะไรเลย ไม่บังคับ ไม่ต่อว่าอีกเลย คงคิดว่าโตแล้วมั้งครับ)

เวลามีคนมาปรึกษาผมเรื่องพ่อแม่ไม่ให้เรียนนั่นนี่ ผมก็จะตอบไปว่า พ่อแม่เขาเลี้ยงเรามาตั้ง 18 ปี เราก็เรียนให้เขาไปเถอะแค่ 4-6 ปี(แล้วแต่คณะ) เพราะเขาเป็นคนจ่ายเงินค่าเรียนด้วย สุดท้ายพอทำงานมีเงินเดือนแล้ว คราวนี้จะไปเรียนคณะอะไรเพิ่ม หรือจะไปเรียนต่ออะไรแบบไหน นั่นมันเงินเราแล้ว ตามสบายเลย แฟร์ๆไม่ต้องทะเลาะกันให้บ้านแตกด้วย

ปล ทุกวันนี้ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่เรียนตามแม่บอก ชีวิตจะเป็นยังไง แต่คาดว่าคงลำบากกว่านี้แน่ เพราะคณะที่ผมต้องการเรียนตอนนั้น สำหรับผมในตอนนี้มองว่าหางานยาก และก็ก้าวหน้ายากด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ 2
สนับสนุนคห 1

ถ้าเชื่อ influencers แต่ไม่เชื่ออรหันต์ที่บ้านพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กๆ มีคำแนะนำคือ

ออกจากบ้าน แล้วหาเลี้ยงตัวเอง

พวก influencers ในตะวันตก บางคนพ่อแม่รวยระดับมีเงินพันล้าน เขายังไปทำงานเป็น waiter ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เพราะเขาต้องการมีอิสระ

จขกท กล้าออกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยตัวเองไหม?

กฎหมายบังคับให้พ่อแม่ส่งลูกเรียนหนังสือแค่ 9 ปีเท่านั้น

ถ้าคิดว่า พ่อแม่ไม่ถูก ตัวเองถูกเพราะ influencers บอกอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าอยู่บ้านเป็นทาสเงินเลี้ยงจากพ่อแม่เลยครับ ออกมาหาเลี้ยงตัวเอง ส่งตัวเองเข้าเรียนคณะที่ตัวเองต้องการ

หรือยิ่งดีสุดๆ คือเรียนให้เทพ สอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศเลย จะได้เป็นอิสระจากพ่อแม่
ความคิดเห็นที่ 1
ใครถือเงิน จะผิดถูก คนนั้นเป็นใหญ่ มีปากมีเสียง เสียงดังอีกต่างหากว่ามะ
ความคิดเห็นที่ 18
ถ้ารวยมีเงินเหลือ มีทุนรอนมากมาย  ที่บ้านซัพพอร์ตได้  ปล่อยลูกไปเรียนคณะที่ชอบเลยครับ    
   แต่ถ้าไม่มีเงิน  หรือจำกัดจำเขี่ยมาก  อนาคตเป็นสิ่งสำคัญ    ควรเลือกเรียนในสาขาที่ทำงานหาเงินได้จริงมากกว่าครับ  
   การเรียนนะครับ  มันต้องเสียเงินเสียเวลา   ไม่ใช่ของฟรี      มันคือการลงทุนอย่างนึง  ไม่ใช่เอาเวลาไปเรียนเฉย  ๆ  จบออกมาไม่รู้จะไปทำงานอะไร หรือได้ค่าตอบแทนต่ำ  ๆ  แบบนี้ไม่ควรเรียนครับ      

ปล  ผมคนนึงละ  ที่ไม่มีใครแนะนำแนวทางการเรียนตั้งแต่เด็ก มันทำให้ลองผิดลองถูก เสียเวลา เสียอนาคต  
       ผมอีกคนนึงละ ที่พยายามโน้มน้าวลูกหลานคนใกล้ตัวให้เลือกเรียน ในคณะหรือสาขาที่ทำงานหาเงินได้  แต่   เด็กเค้าไม่เชื่อเรา เขาอยากทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการมากกว่า       ของพวกนี้ต้องคุยให้ดี  เพราะบังคับกันไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่