“รู้เพียงใบไม้ในกำมือ ก็จะรู้ทุกสรรพสิ่ง”
ศาสนาเมื่อใดที่เรา
ไปสังกัดเราจะถูกระบบนั้นกลืนกินโดยทันที เราจะมี
“ชุดความคิด” ที่อัตตาเข้าไปยึดจับกลายเป็นกรอบแห่งการ
“ตัดสินคุณค่าสิ่งต่างๆ” ข้าพเจ้าเสียใจแทนพระพุทธเจ้าจริงๆ ยิ่งท่านไปถลำตัวสังกัดศาสนาของพระองค์มากเท่าใด ท่านจะไม่มีวันพบพุทธะเจ้าตัวจริงที่อยู่ในตัวท่านเอง
ท่านไปฝากชีวิตด้วยความกลัว ความคาดหวังไว้แก่ศาสนา ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจโลกว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้ามาสะกิดให้กับผู้มีดวงตาพอเห็นว่าอย่าไปทำอย่างนั้น ที่แท้แล้ว
ตัวท่านเองคือตัวพุทธะ และ จงถอนความยึดถือในพระพุทธเจ้าที่ตายไปตั้งนานแล้ว พร้อมกับพระไตรปิฏกที่ยึดถือกันจงคลั่งบ้าที่เป็นเพียงตัวอักษรหาใช่สาระนำสู่สัจจะ
มันง่ายกว่าถ้าท่านกลับมาสู่ตัวเองและพยายามละวางตัวความคิดต่างๆ เหตุมาจาก
“อัตตาที่มนุษย์สลัดทิ้งไม่พ้นเพราะมองไม่เห็น” ท่านไม่สามารถเจอสัจจะ ด้วยเหตุถูกสิ่งนี้บดบัง ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประสบการณ์ว่ามันเป็นเพียง
เส้นผมบังภูเขาที่มนุษย์ติดข้องกันกับปัญหาในโลก ไม่มีใครเป็นครูใครได้เลยท่านต้องเป็นครูตัวเองแลต้อง
“ทำมันจริงๆจนท่านค้นพบสัจจะด้วยตนเองเท่านั้น”
ข้าพเจ้าจะมายกตัวอย่างว่าตัวความคิดนั้นมาจากอัตตาที่เป็นเสมือน
“หน้ากาก” แล้วเราทุกคนเห็นหน้ากากนี้คือตัวชีวิตที่แท้ มนุษย์เมื่อยังสลัดหน้ากากทิ้งไม่ได้จะต้องมี
“ความยึดถือคู่กับอัตตาเสมอ” ท่านจะไม่หลุดพ้นจากสภาวะ
“ตัดสินคุณค่าอยู่ตลอดเวลา” นี่คือวิถีแห่งมนุษย์ที่เป็นรากปัญหาในโลกทั้งปวง
การที่จะสลัดมันทิ้งท่านต้องควานหา
“สภาวะหลังหน้ากากที่ตัวมันบดบังอยู่ นั่นคือสัจจะนั่นเองที่ถูกหน้ากากอันหนาเตอะบังอยู่” โดยที่เราต้อง
“มองเข้าไปในตนเองเท่านั้น” แต่มันก็จะพยายามส่งออกนอกตลอดเวลานั่นเพราะอัตตาต้องการให้เราเป็น สิ่งที่ต้องทำคือ
“ดำรงสภาวะอยู่ในปัจจุบันขณะให้ได้” คือท่านกลับมามองตัวเองมันพยายามส่งออก พยายามคิดโน้นนี่จากการ “
รับสื่อต่างๆผ่านทางช่องการรับของท่าน เช่นหูมีเสียงเข้ามา แล้วท่านก็มีความคิดแบบที่ท่านยึดกุม แล้วท่านก็ตัดสินคุณค่า” ท่านต้องดึงกลับมา
แต่ข้อนี่ต้องระวังคือการที่ท่าน “คิดซ้อนความคิดเพื่อดับความคิด” นี่คือจุดผิดพลาด สภาวะที่เป็นปัจจุบันเป็น
สภาวะที่เหนือความคิดเป็นคนละสิ่งกันสิ้นเชิง “มันเป็นสภาวะแห่งความเงียบ” แล้วสิ่งต่างๆที่ท่านคิดจะดับลงด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องพยายามใดๆ แลให้คงสภาวะแห่งปัจจุบันที่เงียบสงัดนี้ไว้ให้ได้ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าขอสรุปว่าถ้าท่านพบ
“สภาวะแห่งความเงียบ” ซึ่งมันนำพาให้ท่าน
“อยู่กับปัจจุบันขณะ” สิ่งต่างๆจากข้างนอกที่เข้ามาจะไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย แลให้ท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆตลอดทุกอิริยาบถในทุกๆขณะที่ท่านดำเนินชีวิต แล้วในเวลาที่เหมาะสมสัจจะ ก็จะปรากฏ โดยที่ท่านเองไม่สามารถไปคาดหวังใดๆได้ เหมือนคำที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยของพระพุทธเจ้าในเรื่อง
“แม่ไก่ฝักไข่ไม่ต้องไปคาดหวังให้ลูกไก่ออกมาเลย เพียงแต่ดำรงให้ถูกต้องอยู่ในปัจจุบันขณะ และให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามเรื่องของมันเอง”
ข้าพเจ้าเสียใจแทนพระพุทธเจ้า...สายชล
ท่านไปฝากชีวิตด้วยความกลัว ความคาดหวังไว้แก่ศาสนา ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจโลกว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้ามาสะกิดให้กับผู้มีดวงตาพอเห็นว่าอย่าไปทำอย่างนั้น ที่แท้แล้ว ตัวท่านเองคือตัวพุทธะ และ จงถอนความยึดถือในพระพุทธเจ้าที่ตายไปตั้งนานแล้ว พร้อมกับพระไตรปิฏกที่ยึดถือกันจงคลั่งบ้าที่เป็นเพียงตัวอักษรหาใช่สาระนำสู่สัจจะ
มันง่ายกว่าถ้าท่านกลับมาสู่ตัวเองและพยายามละวางตัวความคิดต่างๆ เหตุมาจาก “อัตตาที่มนุษย์สลัดทิ้งไม่พ้นเพราะมองไม่เห็น” ท่านไม่สามารถเจอสัจจะ ด้วยเหตุถูกสิ่งนี้บดบัง ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประสบการณ์ว่ามันเป็นเพียงเส้นผมบังภูเขาที่มนุษย์ติดข้องกันกับปัญหาในโลก ไม่มีใครเป็นครูใครได้เลยท่านต้องเป็นครูตัวเองแลต้อง “ทำมันจริงๆจนท่านค้นพบสัจจะด้วยตนเองเท่านั้น”
ข้าพเจ้าจะมายกตัวอย่างว่าตัวความคิดนั้นมาจากอัตตาที่เป็นเสมือน “หน้ากาก” แล้วเราทุกคนเห็นหน้ากากนี้คือตัวชีวิตที่แท้ มนุษย์เมื่อยังสลัดหน้ากากทิ้งไม่ได้จะต้องมี “ความยึดถือคู่กับอัตตาเสมอ” ท่านจะไม่หลุดพ้นจากสภาวะ “ตัดสินคุณค่าอยู่ตลอดเวลา” นี่คือวิถีแห่งมนุษย์ที่เป็นรากปัญหาในโลกทั้งปวง
การที่จะสลัดมันทิ้งท่านต้องควานหา “สภาวะหลังหน้ากากที่ตัวมันบดบังอยู่ นั่นคือสัจจะนั่นเองที่ถูกหน้ากากอันหนาเตอะบังอยู่” โดยที่เราต้อง “มองเข้าไปในตนเองเท่านั้น” แต่มันก็จะพยายามส่งออกนอกตลอดเวลานั่นเพราะอัตตาต้องการให้เราเป็น สิ่งที่ต้องทำคือ “ดำรงสภาวะอยู่ในปัจจุบันขณะให้ได้” คือท่านกลับมามองตัวเองมันพยายามส่งออก พยายามคิดโน้นนี่จากการ “รับสื่อต่างๆผ่านทางช่องการรับของท่าน เช่นหูมีเสียงเข้ามา แล้วท่านก็มีความคิดแบบที่ท่านยึดกุม แล้วท่านก็ตัดสินคุณค่า” ท่านต้องดึงกลับมา แต่ข้อนี่ต้องระวังคือการที่ท่าน “คิดซ้อนความคิดเพื่อดับความคิด” นี่คือจุดผิดพลาด สภาวะที่เป็นปัจจุบันเป็นสภาวะที่เหนือความคิดเป็นคนละสิ่งกันสิ้นเชิง “มันเป็นสภาวะแห่งความเงียบ” แล้วสิ่งต่างๆที่ท่านคิดจะดับลงด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่ต้องพยายามใดๆ แลให้คงสภาวะแห่งปัจจุบันที่เงียบสงัดนี้ไว้ให้ได้ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าขอสรุปว่าถ้าท่านพบ “สภาวะแห่งความเงียบ” ซึ่งมันนำพาให้ท่าน “อยู่กับปัจจุบันขณะ” สิ่งต่างๆจากข้างนอกที่เข้ามาจะไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลย แลให้ท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆตลอดทุกอิริยาบถในทุกๆขณะที่ท่านดำเนินชีวิต แล้วในเวลาที่เหมาะสมสัจจะ ก็จะปรากฏ โดยที่ท่านเองไม่สามารถไปคาดหวังใดๆได้ เหมือนคำที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยของพระพุทธเจ้าในเรื่อง“แม่ไก่ฝักไข่ไม่ต้องไปคาดหวังให้ลูกไก่ออกมาเลย เพียงแต่ดำรงให้ถูกต้องอยู่ในปัจจุบันขณะ และให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามเรื่องของมันเอง”