กระทรวงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนโครงการอุตสาหกรรมเป้าหมาย

กระทรวงอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนโครงการอุตสาหกรรมเป้าหมาย
“สุริยะ”ลงพื้นที่อีอีซี กำชับหน่วยงานพื้นที่ เดินหน้างานเต็มสูบ ดึงการลงทุน!

😁สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน 🙏🙏🙏 เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่ช่วงปลายปีแล้วนะครับ หลายคนอาจจะบ่นว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เนื่องมาจากพิษโควิด-19 นั่นเอง แต่เอาล่ะ สำหรับผมที่ติดตามข่าวคราวทางด้านอุตสาหกรรมมาตลอด โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมที่ผมได้ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังกับความคืบหน้าที่ไม่ได้หยุดชะงักไปตามพิษโควิด-19 โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี ซึ่งทาง “คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่อีอีซี เพื่อกำชับหน่วยงานในพื้นที่ ให้เดินหน้างานด้านต่างๆ ซึ่งจะช่วยดึงการลงทุนในพื้นที่ให้คึกคัก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมนั่นเอง โดยผมได้รวมรวบข่าวจากแฟนเพจของกระทรวงอุตสาหกรรมมาเล่าแบบม้วนเดียวจบ (ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากแฟนเพจกระทรวงอุตสาหกรรมด้วยครับ)


เอาล่ะครับ 🥳 เรามาเริ่มกันที่การลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดอีอีซี เพื่อติดตามงานตามโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษกันเลยดีกว่า โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ (24 ส.ค.63) จังหวัดชลบุรี และระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการต่างๆ ในเขตพื้นที่ ผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้ ทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ (Investment Promotion)


โดยจุดแรกได้เดินทางไปยังบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเยี่ยมชมศูนย์การผลิตแหลมฉบัง ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และเพื่อรับทราบความคืบหน้าโครงการการผลิตรถมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทปลั้กอินไฮบริด โดยเป็นการผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าวนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก พร้อมรับทราบข้อมูลการลงทุนเพื่อปรับปรุงศักยภาพการผลิต (Restructuring Project) สอดคล้องกับแผนระยะกลาง 3 ปี ซึ่ง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศ ญี่ปุ่น ได้ประกาศไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมุ่งให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศไทย  

ทั้งนี้ ศูนยการผลิตแหลมฉบังของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีกำลังการผลิตสูงสุด 424,000 คัน เป็นศูนย์การผลิตที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศ ญี่ปุ่น และส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก และกำลังขยายการลงทุนในส่วนของโรงพ่นสีแห่งใหม่ ของแผนการลงทุนมูลค่า 7 พันล้านบาท เพื่อยกระดับความสามารถด้านการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย


นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เดินหน้าต่อผลักดันแผน Roadmap การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยเร่งให้เกิดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศตรงตามเป้าหมายและให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ในปี 2030

จากนั้นรัฐมนตรีสุริยะ ได้เดินทางไปยังพื้นที่โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการฯ ซึ่งล่าสุดยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายพื้นที่ที่จะรองรับโครงการดังกล่าวฯ ลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve และได้เดินทางต่อไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ณ สำนักงานอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการของนิคมฯ  ความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 และความคืบหน้าโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) 

ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมประเภทปิโตรเคมี ติอดันดับ 1 ใน 5 ของภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมคอมเพล็กซ์มีจำนวน 5  นิคม ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด  นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอตะวันออก  นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย  นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล  นิคมอุตสาหกรรมผาแดง และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีโรงงานจำนวน 151 โรง จำนวนแรงงาน 30,000 คน มูลค่าการลงทุน 1 ล้านล้านบาท รองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ปิโตรเคมีขั้นกลาง ปิโตรเคมีขั้นปลาย ก๊าซ เคมีภัณฑ์ โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน เหล็ก และอุตสาหกรรมอื่น



นอกจากนี้นายสุริยะฯ และคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญในการพัฒนา คือ มุ่งเน้นการเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบในการพัฒนา Smart Eco และใช้นวัตกรรมในการให้บริการระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางทางพาณิชย์ของชุมชนที่ทันสมัย รองรับการเจริญเติบโตของการใช้บริการภาคธุรกิจในพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่โครงการประมาณ 1,383.76 ไร่ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในไตรมาส 2 ปี 2564 และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 3 ปี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการโครงการฯได้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน ประมาณ 7,459 คน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 1,342,620,000 บาทต่อปี

นิคมฯ สมาร์ท ปาร์ค (Smart Park ) มีมูลค่าการลงทุนระยะแรก ประมาณ 2,480.73 ล้านบาท เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation & Logistics) กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ (Medical Device) กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital)” มีความได้เปรียบในเรื่องของระบบคมนาคมขนส่งทั้งระบบขนส่งทางอากาศสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด  ระบบขนส่งทางบก อันได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทางด่วนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ประมาณไตรมาส 2 ของปี 2564 โดยจะแล้วพร้อมเปิดให้บริการได้ภายในปี 2567

ครับผม 😆😆😆 นั่นก็เป็นควาบคืบหน้าที่มีมาอย่างต่อเนื่องของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ได้หยุดนิ่งไปแม้จะเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดก็ตามที ซึ่งเราก็คงต้องตังตาคอยกันต่อไปครับว่า เมื่อไหร่จะมีวัคซีนซะทีและเมื่อถึงวันนั้นมาถึงก็คาดว่าหลายโครงการดีๆ ที่หน่วยงานภาครัฐกำลังเดินหน้าในวันนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงในการผลักดันเศรษฐกิจบ้านเราให้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่ ขอบคุณครับผม🥳🥳🥳
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่