'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' ซื้อเรือดำน้ำเท่ากับทำลายทีมเศรษฐกิจใหม่ตั้งแต่เริ่ม ห่วงรบ.ยิ่งกว่าถังแตก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2319764
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีแนวโน้มที่จะติดลบหนัก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 น่าจะยังคงติดลบหนักอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ติดลบหนักถึง 12.2% ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้า จึงต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก เลยเป็นสาเหตุที่มีข่าวบอกว่ารัฐบาลถังแตก ซึ่งก็จริงเพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แม้รัฐบาลจะพยายามจะปฏิเสธว่าไม่ได้ถังแตก แต่ความจริงคือสถาวะที่เป็นอยู่นี้จะหนักยิ่งกว่าถังแตกเสียอีก โดยอาจจะถึงขั้นล้มละลายเลย เพราะปัจจุบันรัฐบาลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 8.21 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 51.64% ของจีดีพี และรัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ ในขณะที่จีดีพีจะติดลบ เปรียบเหมือนครอบครัวที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้กลับลดลงก็คงจะรอวันล้มละลาย โดยรัฐบาลจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่ควรมีหนี้เกิน เพราะจะทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการเก็บภาษีได้เพียง 16-17% ของจีดีพีเท่านั้น การมีหนี้ชนเพดานจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อมาพัฒนาประเทศ หรือ ช่วยเหลือประชาชนได้อีก เพราะจะเสี่ยงต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้นปัญหาที่เป็นอยู่จะหนักกว่าการถังแตกมาก โดยหมายถึงอนาคตที่ประเทศจะมีหนี้สาธารณะเกินกำหนด แต่จีดีพีกลับไม่เพิ่มและยังติดลบหนักอีก จากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมาตลอดหลายปีนี้ และรัฐบาลในอนาคตจะไม่สามารถกู้เงินมาฟื้นเศรษฐกิจได้เพราะหนี้เต็มวงเงินแล้ว
ดังนั้น ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องจ่ายแล้วจีดีพีจะต้องเพิ่ม ความสุขของประชาชนจะต้องเพิ่ม ไม่จ่ายสะเปะสะปะแบบไม่มีทิศทางเหมือนที่ผ่านมาที่ถึงขนาดต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ถึงกระนั้น ล่าสุด สส. ฝั่งรัฐบาลยังกล้าโหวตที่จะอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองและไม่มีเหตุผล ในภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนลำบากกันอย่างมากนี้ รัฐบาลทำเหมือนไม่สนใจและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนเลย ทั้งๆ ที่สังคมเพิ่งจะตำหนิการซื้อเครื่องบินสำหรับวีไอพีของกองทัพจำนวนเงิน 1,348.5 ล้านบาท กระแสต่อต้านการซื้อเรือดำน้ำนี้จึงมีอย่างมาก เพราะจะเป็นการใช้เงินอย่างไม่เกิดประโยชน์ รัฐบาลน่าจะนำเงินดังกล่าวมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือช่วยประชาชนที่กำลังลำบากมากกว่า
การโหวตอนุมัติการซื้อเรือดำน้ำของ สส. ฝั่งรัฐบาลครั้งนี้ นอกจากจะแสดงความไม่ฉลาดของรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันอย่างมากแล้ว ยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ของรัฐบาลอย่างหมดสิ้นตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มทำงาน เพราะประชาชนต้องสงสัยว่าเหตุใดทีมเศรษฐกิจใหม่ เช่น นายสุพัฒนพงษ์ และ นายปรีดี จึงไม่คัดค้านเรื่องดังกล่าว ถ้าจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือไปกันใหญ่ เพราะถ้าทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่สามารถจะคัดค้านการใช้เงินอย่างสูญเปล่าได้ ทีมเศรษฐกิจก็ไม่มีทางที่จะฟื้นเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาที่ยากลำบากกว่านี้ได้ และควรจะลาออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะอยู่ต่อไปเศรษฐกิจก็จะยิ่งแย่กว่านี้ การที่ทีมเศรษฐกิจใหม่ขายฝันว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 1 ล้านคน ซึ่งก็ไม่รู้จะสร้างงานมาจากไหน และถ้ายังหยุดการใช้เงิน 22,500 ล้านบาทแบบมั่วๆนี้ไม่ได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรได้ และประชาชนจะไม่ให้ความสนใจและหมดความมั่นใจกับทีมเศรษฐกิจใหม่นี้ทันทีเลย ซึ่งทุกวันนี้พูดอะไรก็ไม่มีใครฟังกันอยู่แล้ว จนแทบไม่รู้เลยว่าทีมเศรษฐกิจใหม่มีทิศทางอย่างไร
พูดถึงการซื้ออาวุธ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ที่ต่อมากลายเป็นการหลอกลวงและคนที่ออกมาอธิบายแก้ตัวให้กองทัพว่าใช้งานได้ดีคือ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ เสธ. ไก่อู อดีตโฆษกรัฐบาล และ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน คนเดียวกับที่เคยเสนอผังล้มเจ้าใส่ร้ายคนจำนวนมาก และต่อมาออกมายอมรับเองว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริง โดยหลังจากที่เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ถูกรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ฟ้องร้องและมีหลักฐานชัดเจนในการสั่งลูกน้องในกรมประชาสัมพันธ์ นำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง อีกทั้งรองอธิบดีฯ ยังร้องเรียนโดยมีหลักฐานการทุจริตการก่อสร้างด้วย ซึ่งคดียังไม่ได้คืบหน้าเลยทั้งที่มีหลักฐานชัดเจน และล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์ยังปล่อย 2 คลิป เรื่อง แม่ และ เรื่อง ธงชาติ ออกมาสร้างความแตกแยกและใส่ร้ายนักศึกษาและผู้เห็นต่าง จนถูกต่อต้านอย่างมากจนต้องลบคลิปไป และ พลโทสรรเสริญออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่มีการใช้โครงข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้นด้วยความผิดซ้ำซ้อนในหลายเรื่องของพลโทสรรเสริญ พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องพิจารณาปลดพลโทสรรเสริญออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว มิเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของพลโทสรรเสริญทั้งหมดไว้เอง
นักคณิตศาสตร์ รีวิว เรือดำน้ำจีน เจาะลึกในไทย ดำน้ำได้แค่ไหน ห่วงรายจ่ายเพียบ!
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_4771773
นักคณิตศาสตร์ รีวิว เรือดำน้ำจีน เจาะลึกในไทย ดำน้ำได้แค่ไหน ห่วงรายจ่ายเพียบ!
หลัง อนุกรรมธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน มีมติเห็นชอบให้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำ จากประเทศจีน 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังมีมติเห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำ มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก ถึงความเหมาะสมในสถานการณ์ที่สภาพเศรษฐกิจของประเทศกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ประชาชนจำนวนมากต้องตกงาน โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด 19
โดย อาจารย์
ลอย ชุนพงษ์ทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ใช้หลักวิชาคณิตศาสตร์ รีวิวเรือดำน้ำดังกล่าว ความว่า
ใช้คณิตศาสตร์ รีวิวเรือดำน้ำ S26t สัญชาติไทยเชื้อชาติจีน
- 80% อ่าวไทยของประเทศไทย (ลากเส้นจากตราดไปยะลา) มีระดับความลึก 0 - 60 เมตรตามความเข้มของสีฟ้าในรูป
- การซ่อนจากดาวเทียมและเครื่องบิน ในตอนกลางวัน ต้องดำให้หลังคาจมอย่างน้อย 25 เมตร ขณะที่เรือดำน้ำสูง 13 เมตร และต้องเหนือเลน 6 เมตร และเผื่อไว้ 6 เมตร ตามโขนหินที่ไม่เรียบ
สรุปว่า
- ในตอนกลางวัน พื้นที่ที่ซ่อนตนเองในอ่าวไทย น้ำต้องลึกอย่างน้อย 50 เมตร ถ้านับสีขาวติดชายฝั่งเป็น 0 คือพื้นที่สีฟ้า 3.5 เป็นต้นไป มีเพียง 40% ของน่านน้ำในอ่าวไทย
- ในตอนกลางคืน ต้องดำน้ำลึกอย่างน้อย 25 เมตร คือพื้นที่สีฟ้า 2.25 เป็นต้นไป มี 80% ของน่านน้ำในอ่าวไทย
โดยรุ่นที่ไทยซื้อเป็น Yuan-class submarine ไม่ใช่ตัวเจ๋งสุด Song Class ครับ และเป็นตัวที่จีนใช้ทำส่งออกอย่างเดียว ไม่ได้ใช้เอง
สิ่งที่เป็นห่วง ไม่ใช่แค่เงินค่าเรือดำน้ำ ยังมีค่าบำรุงรักษา อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนตามอายุ ท่าเรือ ค่าอาวุธ ฝึกซ้อม ค่าเชื้อเพลิง
https://www.facebook.com/groups/thaicalendar/permalink/3078519792260201/
JJNY : พิชัยชี้ซื้อเรือดำน้ำเท่ากับทำลายทีมศก./นักคณิตศาสตร์รีวิวเรือดำน้ำจีน/ส่งออกก.ค.ติดลบ11.3%/สัญญาณเศรษฐกิจถดถอย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2319764
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีแนวโน้มที่จะติดลบหนัก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 น่าจะยังคงติดลบหนักอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ติดลบหนักถึง 12.2% ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้า จึงต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก เลยเป็นสาเหตุที่มีข่าวบอกว่ารัฐบาลถังแตก ซึ่งก็จริงเพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แม้รัฐบาลจะพยายามจะปฏิเสธว่าไม่ได้ถังแตก แต่ความจริงคือสถาวะที่เป็นอยู่นี้จะหนักยิ่งกว่าถังแตกเสียอีก โดยอาจจะถึงขั้นล้มละลายเลย เพราะปัจจุบันรัฐบาลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 8.21 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 51.64% ของจีดีพี และรัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ ในขณะที่จีดีพีจะติดลบ เปรียบเหมือนครอบครัวที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้กลับลดลงก็คงจะรอวันล้มละลาย โดยรัฐบาลจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่ควรมีหนี้เกิน เพราะจะทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการเก็บภาษีได้เพียง 16-17% ของจีดีพีเท่านั้น การมีหนี้ชนเพดานจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อมาพัฒนาประเทศ หรือ ช่วยเหลือประชาชนได้อีก เพราะจะเสี่ยงต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้นปัญหาที่เป็นอยู่จะหนักกว่าการถังแตกมาก โดยหมายถึงอนาคตที่ประเทศจะมีหนี้สาธารณะเกินกำหนด แต่จีดีพีกลับไม่เพิ่มและยังติดลบหนักอีก จากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมาตลอดหลายปีนี้ และรัฐบาลในอนาคตจะไม่สามารถกู้เงินมาฟื้นเศรษฐกิจได้เพราะหนี้เต็มวงเงินแล้ว
ดังนั้น ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องจ่ายแล้วจีดีพีจะต้องเพิ่ม ความสุขของประชาชนจะต้องเพิ่ม ไม่จ่ายสะเปะสะปะแบบไม่มีทิศทางเหมือนที่ผ่านมาที่ถึงขนาดต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ถึงกระนั้น ล่าสุด สส. ฝั่งรัฐบาลยังกล้าโหวตที่จะอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองและไม่มีเหตุผล ในภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนลำบากกันอย่างมากนี้ รัฐบาลทำเหมือนไม่สนใจและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนเลย ทั้งๆ ที่สังคมเพิ่งจะตำหนิการซื้อเครื่องบินสำหรับวีไอพีของกองทัพจำนวนเงิน 1,348.5 ล้านบาท กระแสต่อต้านการซื้อเรือดำน้ำนี้จึงมีอย่างมาก เพราะจะเป็นการใช้เงินอย่างไม่เกิดประโยชน์ รัฐบาลน่าจะนำเงินดังกล่าวมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือช่วยประชาชนที่กำลังลำบากมากกว่า
การโหวตอนุมัติการซื้อเรือดำน้ำของ สส. ฝั่งรัฐบาลครั้งนี้ นอกจากจะแสดงความไม่ฉลาดของรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันอย่างมากแล้ว ยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ของรัฐบาลอย่างหมดสิ้นตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มทำงาน เพราะประชาชนต้องสงสัยว่าเหตุใดทีมเศรษฐกิจใหม่ เช่น นายสุพัฒนพงษ์ และ นายปรีดี จึงไม่คัดค้านเรื่องดังกล่าว ถ้าจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือไปกันใหญ่ เพราะถ้าทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่สามารถจะคัดค้านการใช้เงินอย่างสูญเปล่าได้ ทีมเศรษฐกิจก็ไม่มีทางที่จะฟื้นเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาที่ยากลำบากกว่านี้ได้ และควรจะลาออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะอยู่ต่อไปเศรษฐกิจก็จะยิ่งแย่กว่านี้ การที่ทีมเศรษฐกิจใหม่ขายฝันว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 1 ล้านคน ซึ่งก็ไม่รู้จะสร้างงานมาจากไหน และถ้ายังหยุดการใช้เงิน 22,500 ล้านบาทแบบมั่วๆนี้ไม่ได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรได้ และประชาชนจะไม่ให้ความสนใจและหมดความมั่นใจกับทีมเศรษฐกิจใหม่นี้ทันทีเลย ซึ่งทุกวันนี้พูดอะไรก็ไม่มีใครฟังกันอยู่แล้ว จนแทบไม่รู้เลยว่าทีมเศรษฐกิจใหม่มีทิศทางอย่างไร
พูดถึงการซื้ออาวุธ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ที่ต่อมากลายเป็นการหลอกลวงและคนที่ออกมาอธิบายแก้ตัวให้กองทัพว่าใช้งานได้ดีคือ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ เสธ. ไก่อู อดีตโฆษกรัฐบาล และ เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน คนเดียวกับที่เคยเสนอผังล้มเจ้าใส่ร้ายคนจำนวนมาก และต่อมาออกมายอมรับเองว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริง โดยหลังจากที่เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ถูกรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ฟ้องร้องและมีหลักฐานชัดเจนในการสั่งลูกน้องในกรมประชาสัมพันธ์ นำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง อีกทั้งรองอธิบดีฯ ยังร้องเรียนโดยมีหลักฐานการทุจริตการก่อสร้างด้วย ซึ่งคดียังไม่ได้คืบหน้าเลยทั้งที่มีหลักฐานชัดเจน และล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์ยังปล่อย 2 คลิป เรื่อง แม่ และ เรื่อง ธงชาติ ออกมาสร้างความแตกแยกและใส่ร้ายนักศึกษาและผู้เห็นต่าง จนถูกต่อต้านอย่างมากจนต้องลบคลิปไป และ พลโทสรรเสริญออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่มีการใช้โครงข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้นด้วยความผิดซ้ำซ้อนในหลายเรื่องของพลโทสรรเสริญ พลเอกประยุทธ์น่าจะต้องพิจารณาปลดพลโทสรรเสริญออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว มิเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของพลโทสรรเสริญทั้งหมดไว้เอง
นักคณิตศาสตร์ รีวิว เรือดำน้ำจีน เจาะลึกในไทย ดำน้ำได้แค่ไหน ห่วงรายจ่ายเพียบ!
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_4771773
นักคณิตศาสตร์ รีวิว เรือดำน้ำจีน เจาะลึกในไทย ดำน้ำได้แค่ไหน ห่วงรายจ่ายเพียบ!
หลัง อนุกรรมธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน มีมติเห็นชอบให้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำ จากประเทศจีน 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามหลังมีมติเห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำ มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก ถึงความเหมาะสมในสถานการณ์ที่สภาพเศรษฐกิจของประเทศกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ประชาชนจำนวนมากต้องตกงาน โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด 19
โดย อาจารย์ลอย ชุนพงษ์ทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ใช้หลักวิชาคณิตศาสตร์ รีวิวเรือดำน้ำดังกล่าว ความว่า
ใช้คณิตศาสตร์ รีวิวเรือดำน้ำ S26t สัญชาติไทยเชื้อชาติจีน
- 80% อ่าวไทยของประเทศไทย (ลากเส้นจากตราดไปยะลา) มีระดับความลึก 0 - 60 เมตรตามความเข้มของสีฟ้าในรูป
- การซ่อนจากดาวเทียมและเครื่องบิน ในตอนกลางวัน ต้องดำให้หลังคาจมอย่างน้อย 25 เมตร ขณะที่เรือดำน้ำสูง 13 เมตร และต้องเหนือเลน 6 เมตร และเผื่อไว้ 6 เมตร ตามโขนหินที่ไม่เรียบ
สรุปว่า
- ในตอนกลางวัน พื้นที่ที่ซ่อนตนเองในอ่าวไทย น้ำต้องลึกอย่างน้อย 50 เมตร ถ้านับสีขาวติดชายฝั่งเป็น 0 คือพื้นที่สีฟ้า 3.5 เป็นต้นไป มีเพียง 40% ของน่านน้ำในอ่าวไทย
- ในตอนกลางคืน ต้องดำน้ำลึกอย่างน้อย 25 เมตร คือพื้นที่สีฟ้า 2.25 เป็นต้นไป มี 80% ของน่านน้ำในอ่าวไทย
โดยรุ่นที่ไทยซื้อเป็น Yuan-class submarine ไม่ใช่ตัวเจ๋งสุด Song Class ครับ และเป็นตัวที่จีนใช้ทำส่งออกอย่างเดียว ไม่ได้ใช้เอง
สิ่งที่เป็นห่วง ไม่ใช่แค่เงินค่าเรือดำน้ำ ยังมีค่าบำรุงรักษา อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนตามอายุ ท่าเรือ ค่าอาวุธ ฝึกซ้อม ค่าเชื้อเพลิง
https://www.facebook.com/groups/thaicalendar/permalink/3078519792260201/