# บทนำ ก่อนเดินทาง
วันนี้แวะมาแชร์ประสบการณ์ จากทริปเที่ยวแถบสแกนดิเนเวีย นอร์เวย์-สวีเดน-เดนมาร์ค เมื่อ เม.ย. ปีที่แล้ว การไปครั้งนั้นเหมือนเป็นการเปิดหูเปิดตาอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งทำให้ผมไม่แปลกใจว่า ทำไมประเทศเหล่านี้ถึงติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก (จากรายงานของ UN World Happiness Report)
ถ้าถามผมเมื่อ 2 ปีก่อน ว่าจะไปประเทศแถบสแกนดิเนเวียทำไม? คำตอบในใจคงนึกได้แค่แสงเหนือ แม้ในความจริง มีอะไรให้น่าค้นหามากกว่านั้น ทั้งประวัติศาสตร์ไวกิ้ง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การใช้วิถีแบบไร้เงินสด (Cashless) และอีกหลายเรื่องที่โดดเด่นเฉพาะประเทศนั้นๆ เอาแบบที่ผมชอบนะ
นอร์เวย์ :: ล่องเรือในอ่าวฟยอร์ด (Fjord) ที่ 2 ข้างทางเป็นภูเขาสูง ปกคลุมด้วยหิมะ สวยงามโลกตะลึง / นั่งล้อเลื่อนกวางเรนเดียร์ / พิพิธภัณฑ์ศิลปะของ Edward Munch ศิลปินที่มีภาพก้องโลกอย่าง The Scream
สวีเดน :: สถานีรถไฟใต้ดิน สวยงามหลุดโลก / พระราชวังอลังการสุดๆ
เดนมาร์ค :: ท่าเรือ Nyhavn สวยอันเป็นเอกลักษณ์ / ปราสาท ราชวัง มงกุฎเพชร ดูตื่นตาจริงๆ
นอกเหนือจากนี้ ผมลงความเห็นว่า คนเค้าหน้าตาดีจริงๆ หล่อ สวย ตัวสูงกันทั้งนั้น (อันนี้ต้องไปลองพิสูจน์เอง ว่าจริงหรือเปล่านะครับ)
การเดินทางไปเที่ยวเองก็ไม่ได้ยาก ไม่ต้องห่วงการใช้ภาษา คนที่นี่เค้าใช้ภาษาอังกฤษได้เป๊ะมากๆ ที่ต้องระวังคือการใช้จ่ายของตัวเอง เพราะค่าครองชีพบ้านเค้าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะนอร์เวย์สูงปรี๊ดมากกว่าใครๆ
ออกนอกเรื่องไปตั้งไกล วนกลับมาเรื่องแสงเหนือของเราในวันนี้ก่อนครับ จุดหมายอยู่ที่เมือง Tromso (ทรุมเซอ) ทางตอนเหนือของนอร์เวย์
"เอาหล่ะ ขยับเข้าใกล้ขั้วโลกกันอีกสักนิด หนาวเหน็บกันอีกสักหน่อย ในคืนแห่งความทรงจำหนึ่งเดียวในครั้งนี้"
# บุญมีแต่กรรมบัง?
เมือง Tromso (ทรุมเซอ) อยู่ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ ดูจากแผนที่ จะเห็นว่า ตัวเมืองเป็นเกาะ รายล้อมไปด้วยเกาะเล็ก เกาะใหญ่ ที่เชื่อมต่อกันโดยสะพาน มีภูเขารายล้อม และไฮไลท์เด็ดสุดของการมาเยือนที่นี่ คือการมาดู "แสงเหนือสีเขียวเต้นระบำ"
ผมเชื่อว่าหลายคน และคุณเองคงอยากเห็นสักครั้งในชีวิต แต่การเก็บเงิน มาเพลิดเพลินแสงเหนือ ก็ใช่ว่าทุกคนจะสมใจ เพราะบางครั้งแสงคลื่นนั้นก็อายเรา เค้าไม่ยอมโผล่มาให้เราเชยชมเสียอย่างนั้น ยิ่งท้องฟ้าปิด ก็เตรียมบิดน้ำตากันเลยทีเดียว และทริปที่ผมไป เดือน เม.ย. ก็ไม่ได้เป็นช่วงที่เหมาะสมเสียด้วยสิ
ผมนั่งเครื่องบิน พร้อมดูวิวจากหน้าต่าง "ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ดูสวย ดูเย็นยะเยือก และดูเวิ้งว้างในเวลาเดียวกัน" ตอนนี้เครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้ว อากาศภายนอกเย็นเฉียบอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเดินออกจากสนามบินขนาดเล็กๆ นี้ ต่อรถบัสเข้าเมือง ใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็มาถึงที่พัก โรงแรมเรดิสัน บลู (Radisson Blu)
จากที่พักเรามองเห็นเมืองอีกฝั่งที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ จะเห็นโบสถ์สมัยใหม่ทรงสามเหลี่ยม ที่มีเบื้องหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ ดูอลังการจริงๆ
ผมนั่งบนเตียง ทบทวนถึงแผนเที่ยว 3 วัน 2 คืน 1.แสงเหนือ 2. โบสถ์ไม้เก่า 3.โบสถ์สมัยใหม่รูปสามเหลี่ยมสัญลักษณ์เมืองนี้ 4.ฟาร์มกวางเรนเดียร์
สำหรับการล่าแสงเหนือจองทัวร์ไว้แล้วที่เมืองไทย เดี๋ยวเราจะไปกันคืนนี้ ส่วนฟาร์มกวางเรนเดียร์ก็จองทัวร์ไว้แล้วเหมือนกัน โอเค นอกนั้นค่อยขึ้นรถบัสไปเที่ยวได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องแต่งตัวให้ร้อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับพาเพื่อนคู่ใจจากไทยแลนด์ "มาม่า" เพื่อนยากยามหิวในคืนนี้
เนื่องจากใกล้เวลาที่รถจาก Wandering Owl (บริษัททัวร์ที่เราจองผ่านเว็บไว้ตั้งแต่เมืองไทย) จะมารับเราแล้ว ก็เลยหาอะไรกินง่ายๆ เป็นพวกขนมปังไส้กรอก ที่มินิมาร์ทแถวๆ โรงแรม พอถึงเวลาก็มีรถตู้สีดำวิ่งเข้ามาจอด ในรถมีนักเที่ยวจากประเทศอื่นๆ อยู่ประมาณ 6 คน ผมได้นั่งหน้ากับคนขับ ซึ่งเค้าคนนี้ก็รับหน้าที่เป็นไกด์ของเราด้วย
"ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ถ่ายรูปจากหน้ารถ" แต่ในใจก็คิดว่า จะต้องคุยกับไกด์ตลอดเวลาหรือเปล่าเนี่ย จะไหวไหม คุยไม่เก่งเสียด้วยสิ
ไกด์ของเราหน้าตาไม่เหมือนคนนอร์เวย์ ไว้เครายาวแหลมๆ พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ และเสียงหัวเราะ ฮี่ๆๆ แปลกๆ ก็ทำให้เราอดระแวงไม่ได้
สักพักเค้าก็แนะนำตัว ว่าเป็นคนประเทศบัลแกเรีย มาทำงานที่สถาบันวิจัยทางธรรมชาติที่นอร์เวย์ และก็รับงานนำเที่ยวด้วยเพราะใจรักในธรรมชาติ
"เรามาที่เมืองนี้กัน เพราะอยากมาดูแสงเหนือกันใช่ไหมครับ?" ไกด์ถาม
พวกเราในรถตอบ "เยส" โดยพร้อมเพรียงกัน
"แต่วันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเห็นหรือเปล่า เพราะท้องฟ้าปิดหมดเลย"
ยิ่งได้ยินก็ยิ่งกังวลไปอีก ถ้ามีโอกาสมาแล้ว แต่ไม่ได้เห็น มันเหมือนกับ "บุญมีแต่กรรมบัง" ในใจก็ได้แต่ภาวนาสาธุ
ขับได้สักพักไกด์ก็แวะที่ปั้มน้ำมัน "ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยนะครับ เพราะต่อจากนี้ไป เราจะนั่งกันยาวๆ"
ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคืนนี้พี่ไกด์จะพาพวกเราไปแลนด์ดิ้งที่ไหน และไกลแค่ไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้
ไกด์ขับออกไปจากเมืองเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด เหมือนเค้าดูมือถือตลอดเวลา สักพักก็พอเดาได้ว่าเค้ากำลังเปิดแอป กำลังหาพื้นที่เปิด ฟ้าโปร่งสำหรับดูแสงเหนือในคืนนี้ แม้ตอนนี้จะ 2 ทุ่ม แสงในนอร์เวย์ก็ยังแยงตาเมื่อนั่งอยู่หน้ารถ
ไกด์พาเราลัดเลาะไปบนถนนเส้นเล็กๆ
"นั่นไง! กวางเรนเดียร์" ไกด์บอกลูกทัวร์
ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ขอลงไปถ่ายรูปให้เห็นกันชัดๆ
จากนั้นไกด์ก็พาพวกเรามาที่หนองน้ำ ซึ่งบริเวณขอบน้ำนั้นเหมือนเป็นน้ำแข็งบางๆ และมีปุยหิมะอยู่ด้วย เดินแต่ละก้าวก็ต้องระวังแฉะ ระวังลื่น ช่วงนี้แต่ละคนก็จะหามุมถ่ายรูปกัน จะว่าไปตอนนี้ก็เหมือนเป็นการฆ่าเวลาที่รอให้ท้องฟ้ามืดสนิท
"ตอนนี้ 3 ทุ่มแล้ว ยังคงสว่างอยู่ แสงเริ่มน้อยลง อากาศก็เริ่มเย็นขึ้น ตอนพ่นลมออกมา เห็นเป็นควันเลย ส่วนก้อนเมฆนั้น ก็ยังเต็มท้องฟ้าเหมือนเช่นเคย"
ผมยืนชมวิวไปเรื่อยๆ "ภูเขาที่ย้อมด้วยแสงสีส้ม ที่มีเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบใหญ่ ในบรรยากาศหิมะรอบตัว ช่างเป็นภาพที่สวยงาม ตรึงตาตรึงใจจริงๆ"
"และนี่อาจจะเป็นรางวัลปลอบใจเบาๆ ถ้าวันนี้ไม่ได้เห็นแสงเหนือชัดๆ อย่างที่ตั้งใจไว้"
[CR] ตามไปเที่ยว>> ล่าแสงเหนือ... มายาม่านเขียว @Tromso, Norway
ถ้าถามผมเมื่อ 2 ปีก่อน ว่าจะไปประเทศแถบสแกนดิเนเวียทำไม? คำตอบในใจคงนึกได้แค่แสงเหนือ แม้ในความจริง มีอะไรให้น่าค้นหามากกว่านั้น ทั้งประวัติศาสตร์ไวกิ้ง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การใช้วิถีแบบไร้เงินสด (Cashless) และอีกหลายเรื่องที่โดดเด่นเฉพาะประเทศนั้นๆ เอาแบบที่ผมชอบนะ
นอร์เวย์ :: ล่องเรือในอ่าวฟยอร์ด (Fjord) ที่ 2 ข้างทางเป็นภูเขาสูง ปกคลุมด้วยหิมะ สวยงามโลกตะลึง / นั่งล้อเลื่อนกวางเรนเดียร์ / พิพิธภัณฑ์ศิลปะของ Edward Munch ศิลปินที่มีภาพก้องโลกอย่าง The Scream
สวีเดน :: สถานีรถไฟใต้ดิน สวยงามหลุดโลก / พระราชวังอลังการสุดๆ
เดนมาร์ค :: ท่าเรือ Nyhavn สวยอันเป็นเอกลักษณ์ / ปราสาท ราชวัง มงกุฎเพชร ดูตื่นตาจริงๆ
นอกเหนือจากนี้ ผมลงความเห็นว่า คนเค้าหน้าตาดีจริงๆ หล่อ สวย ตัวสูงกันทั้งนั้น (อันนี้ต้องไปลองพิสูจน์เอง ว่าจริงหรือเปล่านะครับ)
การเดินทางไปเที่ยวเองก็ไม่ได้ยาก ไม่ต้องห่วงการใช้ภาษา คนที่นี่เค้าใช้ภาษาอังกฤษได้เป๊ะมากๆ ที่ต้องระวังคือการใช้จ่ายของตัวเอง เพราะค่าครองชีพบ้านเค้าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะนอร์เวย์สูงปรี๊ดมากกว่าใครๆ
ออกนอกเรื่องไปตั้งไกล วนกลับมาเรื่องแสงเหนือของเราในวันนี้ก่อนครับ จุดหมายอยู่ที่เมือง Tromso (ทรุมเซอ) ทางตอนเหนือของนอร์เวย์
"เอาหล่ะ ขยับเข้าใกล้ขั้วโลกกันอีกสักนิด หนาวเหน็บกันอีกสักหน่อย ในคืนแห่งความทรงจำหนึ่งเดียวในครั้งนี้"
ผมเชื่อว่าหลายคน และคุณเองคงอยากเห็นสักครั้งในชีวิต แต่การเก็บเงิน มาเพลิดเพลินแสงเหนือ ก็ใช่ว่าทุกคนจะสมใจ เพราะบางครั้งแสงคลื่นนั้นก็อายเรา เค้าไม่ยอมโผล่มาให้เราเชยชมเสียอย่างนั้น ยิ่งท้องฟ้าปิด ก็เตรียมบิดน้ำตากันเลยทีเดียว และทริปที่ผมไป เดือน เม.ย. ก็ไม่ได้เป็นช่วงที่เหมาะสมเสียด้วยสิ
ผมนั่งเครื่องบิน พร้อมดูวิวจากหน้าต่าง "ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ดูสวย ดูเย็นยะเยือก และดูเวิ้งว้างในเวลาเดียวกัน" ตอนนี้เครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้ว อากาศภายนอกเย็นเฉียบอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเดินออกจากสนามบินขนาดเล็กๆ นี้ ต่อรถบัสเข้าเมือง ใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็มาถึงที่พัก โรงแรมเรดิสัน บลู (Radisson Blu)
จากที่พักเรามองเห็นเมืองอีกฝั่งที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ จะเห็นโบสถ์สมัยใหม่ทรงสามเหลี่ยม ที่มีเบื้องหลังเป็นภูเขาสูงใหญ่ ดูอลังการจริงๆ
ผมนั่งบนเตียง ทบทวนถึงแผนเที่ยว 3 วัน 2 คืน 1.แสงเหนือ 2. โบสถ์ไม้เก่า 3.โบสถ์สมัยใหม่รูปสามเหลี่ยมสัญลักษณ์เมืองนี้ 4.ฟาร์มกวางเรนเดียร์
สำหรับการล่าแสงเหนือจองทัวร์ไว้แล้วที่เมืองไทย เดี๋ยวเราจะไปกันคืนนี้ ส่วนฟาร์มกวางเรนเดียร์ก็จองทัวร์ไว้แล้วเหมือนกัน โอเค นอกนั้นค่อยขึ้นรถบัสไปเที่ยวได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องแต่งตัวให้ร้อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับพาเพื่อนคู่ใจจากไทยแลนด์ "มาม่า" เพื่อนยากยามหิวในคืนนี้
เนื่องจากใกล้เวลาที่รถจาก Wandering Owl (บริษัททัวร์ที่เราจองผ่านเว็บไว้ตั้งแต่เมืองไทย) จะมารับเราแล้ว ก็เลยหาอะไรกินง่ายๆ เป็นพวกขนมปังไส้กรอก ที่มินิมาร์ทแถวๆ โรงแรม พอถึงเวลาก็มีรถตู้สีดำวิ่งเข้ามาจอด ในรถมีนักเที่ยวจากประเทศอื่นๆ อยู่ประมาณ 6 คน ผมได้นั่งหน้ากับคนขับ ซึ่งเค้าคนนี้ก็รับหน้าที่เป็นไกด์ของเราด้วย
"ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ถ่ายรูปจากหน้ารถ" แต่ในใจก็คิดว่า จะต้องคุยกับไกด์ตลอดเวลาหรือเปล่าเนี่ย จะไหวไหม คุยไม่เก่งเสียด้วยสิ
ไกด์ของเราหน้าตาไม่เหมือนคนนอร์เวย์ ไว้เครายาวแหลมๆ พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ และเสียงหัวเราะ ฮี่ๆๆ แปลกๆ ก็ทำให้เราอดระแวงไม่ได้
สักพักเค้าก็แนะนำตัว ว่าเป็นคนประเทศบัลแกเรีย มาทำงานที่สถาบันวิจัยทางธรรมชาติที่นอร์เวย์ และก็รับงานนำเที่ยวด้วยเพราะใจรักในธรรมชาติ
"เรามาที่เมืองนี้กัน เพราะอยากมาดูแสงเหนือกันใช่ไหมครับ?" ไกด์ถาม
พวกเราในรถตอบ "เยส" โดยพร้อมเพรียงกัน
"แต่วันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเห็นหรือเปล่า เพราะท้องฟ้าปิดหมดเลย"
ยิ่งได้ยินก็ยิ่งกังวลไปอีก ถ้ามีโอกาสมาแล้ว แต่ไม่ได้เห็น มันเหมือนกับ "บุญมีแต่กรรมบัง" ในใจก็ได้แต่ภาวนาสาธุ
ขับได้สักพักไกด์ก็แวะที่ปั้มน้ำมัน "ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยนะครับ เพราะต่อจากนี้ไป เราจะนั่งกันยาวๆ"
ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคืนนี้พี่ไกด์จะพาพวกเราไปแลนด์ดิ้งที่ไหน และไกลแค่ไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้
ไกด์ขับออกไปจากเมืองเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด เหมือนเค้าดูมือถือตลอดเวลา สักพักก็พอเดาได้ว่าเค้ากำลังเปิดแอป กำลังหาพื้นที่เปิด ฟ้าโปร่งสำหรับดูแสงเหนือในคืนนี้ แม้ตอนนี้จะ 2 ทุ่ม แสงในนอร์เวย์ก็ยังแยงตาเมื่อนั่งอยู่หน้ารถ
ไกด์พาเราลัดเลาะไปบนถนนเส้นเล็กๆ
"นั่นไง! กวางเรนเดียร์" ไกด์บอกลูกทัวร์
ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ ขอลงไปถ่ายรูปให้เห็นกันชัดๆ
จากนั้นไกด์ก็พาพวกเรามาที่หนองน้ำ ซึ่งบริเวณขอบน้ำนั้นเหมือนเป็นน้ำแข็งบางๆ และมีปุยหิมะอยู่ด้วย เดินแต่ละก้าวก็ต้องระวังแฉะ ระวังลื่น ช่วงนี้แต่ละคนก็จะหามุมถ่ายรูปกัน จะว่าไปตอนนี้ก็เหมือนเป็นการฆ่าเวลาที่รอให้ท้องฟ้ามืดสนิท
"ตอนนี้ 3 ทุ่มแล้ว ยังคงสว่างอยู่ แสงเริ่มน้อยลง อากาศก็เริ่มเย็นขึ้น ตอนพ่นลมออกมา เห็นเป็นควันเลย ส่วนก้อนเมฆนั้น ก็ยังเต็มท้องฟ้าเหมือนเช่นเคย"
ผมยืนชมวิวไปเรื่อยๆ "ภูเขาที่ย้อมด้วยแสงสีส้ม ที่มีเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบใหญ่ ในบรรยากาศหิมะรอบตัว ช่างเป็นภาพที่สวยงาม ตรึงตาตรึงใจจริงๆ"
"และนี่อาจจะเป็นรางวัลปลอบใจเบาๆ ถ้าวันนี้ไม่ได้เห็นแสงเหนือชัดๆ อย่างที่ตั้งใจไว้"
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้