ในช่วงเวลาหนึ่งที่ได้พำนักในยุโรป ผมเลยอยากเปิดโอกาสที่ท้าทายอย่างหนึ่งก็คือ การไปหาแสงเหนือ หรือ Aurora ซึ่งมันก็มีตัวเลือกอยู่หลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปที่นอร์เวย์ ซึ่งก็มีหลายเมืองที่เป็นตัวเลือก อย่าง Lofoten, Tromsø และก็เลือกไปที่ Tromsø เพราะว่าเราไปคนเดียว และเป็นเมืองที่มีสนามบินและตัวเมืองอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน โดยผมมีเวลาเพียง 2 วัน 2 คืน ในช่วงกลางเดือน Nov 2022

การเดินทางไปที่ Tromsø ของผมเริ่มจากที่ Oslo เมืองหลวงของนอร์เวย์ และเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งผมเลือก Norwegian Airline ซึ่งทางที่ดี ถ้าเดินทางช่วงกลางวันให้ลองจองที่นั่งริมหน้าต่างก็จะดีครับ เพราะวิวสวยมาก ซึ่งผมพลาด ได้แต่ชะโงกอยู่ไกลๆ


และแล้วก็ถึงสนามบิน Tromso ต้อนรับด้วยอากาศ -4^oC แค่เห็นวิวรอบๆ ก็ว้าวแล้ว

การเดินทางใน Tromso จะใช้รถบัสเป็นหลักครับ ซึ่งเราสามารถซึ้อตั๋วผ่านแอปที่ชื่อว่า Troms Billett (ticket)-app (https://fylkestrafikk.no/menu/tickets-and-fares/how-to-buy-a-ticket-on-buses-and-express-boats/troms-billett-ticket-app/)  หรือซื้อผ่านตู้ที่ป้ายรถบัสตรงสนามบินได้เลยครับ ซึ่งตั๋วก็จะมีหลายแบบ เช่น Single Ticket, 24-hr Ticket, 7-day ticket และก็เลือกโซนเฉพาะที่ครอบคลุม Tromsø ก็พอครับ (https://fylkestrafikk.no/trafikkmeldinger-i-banner/) 

จากนั้นก็เข้ามาที่พักเพื่อมาเก็บของก่อนครับ ด้วยการที่เดินทางมาคนเดียว และตอนจองค่อนข้างกระชั้นชิด เลยไปจองที่ Tromsø coco apartment ซึ่งเป็น Hostel ที่เป็นลักษณะเหมือนบ้านแต่มาทำเป็นที่พัก มีครัวและพื้นที่ส่วนรวม ซึ่งเจ้าของมาต้อนรับเองและใจดีมากๆ เสมือนว่าเป็นบ้านของเราเอง รวมทั้ง Roommate ก็เป็นกันเอง มาจากหลากหลายประเทศ เช่น เยอรมนี เกาหลีใต้ สก็อตแลนด์ อเมริกาใต้ ฯลฯ ซึ่งทุกคนเป็นกันเองมาก คุยเก่งมากๆ ผมเองก็เคยเจอประสบการณ์อะไรอย่างนี้มาก่อน

สำหรับเมือง Tromsø เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นเกาะ มีจุดชิมวิว และจุดที่เที่ยวที่น่าสนใจ ตามแผนที่เลยครับ และแผนที่ก็จะแนะนำด้วยว่าจุดที่จะชมวิวแสงเหนือตรงไหน และในเมืองก็จะมีแหล่งขายทัวร์ต่างๆ มีพาไปชมแสงเหนือ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้ซื้อเพราะค่อนข้างแพงพอสมควรครับ



สำหรับวันแรกก็กว่าจะเก็บของเสร็จก็เกือบเที่ยงแล้วก็เดินรอบๆ เมือง ซึ่งหิมะก็เริ่มเยอะขึ้น ตกบ่ายๆ ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินโดยขึ้นกระเช้า Fjellheisen ซึ่งสามารถจองล่วงหน้ามาได้ครับ (https://www.fjellheisen.no/engelsk/fjellheisen-home) ซึ่งผมจองไปตอน 16:00 แต่ลืมไปว่าช่วงฤดูหนาวที่นี่มืดไวมาก แค่บ่ายสองก็ไม่มีแสงแดดแล้วครับ T_T แต่วิวกลางคืนมุมสูงก็สวยเหมือนกันนะ


สำหรับช่วงที่รอคอยแสงเหนือก็มาถึง หนึ่งตัวช่วยที่สำคัญคือ app Aurora ซึ่งใส่สำหรับการพยากรณ์ว่าแสงเหนือจะมาในเวลาไหน รวมถึงแจ้งเตือนด้วยว่า ในพื้นที่ที่เราอยู่ จะมีแสงเหนือภายใน 1 ชั่วโมง อะไรประมาณนี้ โดยเราสามารถดูในรูปแบบ map หรือ กราฟต่างๆ ได้ 
// app aurora

ปัจจัยสำคัญในการดูค่าพยากรณ์มีอยู่ 2 ปัจจัยคือ
ค่า Kp Index เป็นดัชนีตัวหนึ่งที่สามารถบ่งบอกสถานะของแสงเหนือ โดยมีตัวเลขตั้งแต่ 0-9 ถ้าตัวเลขที่สูงก็มีโอกาสเจอสูงตาม ซึ่งจะบอกว่าค่า Kp นั้นบางทีก็ไม่แน่ไม่นอน ต้องคอยดูอยู่สม่ำเสมอ
สภาพอากาศ ต้องไม่มีเมฆปกคลุม ฟ้าต้องใส
สำหรับคืนแรก ฟ้าใสมาก แต่ Kp อยู่ที่ 1 กว่าๆ เอง ไม่เห็นอะไรเลย ก็ต้องไปลุ้นอีกคืนสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร



สำหรับวันที่สอง ผมก็เดินเที่ยวรอบๆ เมือง ฟ้าสว่างตอนประมาณ 9 โมง จนช่วงบ่ายไปดูจุดชมพระอาทิตย์ตกบริเวณ Sydspissen ทางตะวันตกของ Tromsø จนถึงบ่ายสอง ฟ้าก็มืดแล้ว ข้อเสียของการเที่ยวฤดูหนาวอีกอย่างคือ ช่วงที่มีแสงแดดน้อย จนไม่มีเวลาเดินทางรอบๆ ได้หมด ก็ได้แต่รอ


จนถึงช่วงหัวค่ำ มีแจ้งเตือนจาก App Aurora ผมเลยมุ่งหน้าไปหาจุดชมวิวทันที ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับจุดที่ชมพระอาทิตย์ตก ดูจาก app ค่า Kp อยู่ประมาณ 2.7 ซึ่งพอไปพื้นที่จริงมองด้วยสายตา เราจะพอมองเห็นคลื่นแสงสีเขียงบนท้องฟ้าและสะท้อนน้ำลงมาบางๆ ต้องไปหาจุดที่มืดสนิทหน่อยครับ ทและถ้าจะถ่ายรูปต้องเตรียมขาตั้งกล้อง และการถ่ายต้องตั้ง Speed Shutter สูงๆ เลยครับ จากนั้นแสงสีเขียวก็จางหายไป ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง



จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปที่ Oslo โดยไปที่สนามบิน Tromsø คืนนั้นเลยครับ และคืนนั้นเลยมีประสบการณ์นอนสนามบินด้วยเพราะ Flight ออกแต่เช้ามืดมาก

เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีมากครับ ไม่คิดว่าจะแบกตัวเองมาถึงขนาดนี้ได้ พบเจอผู้คนดีๆ อากาศหนาว แต่ความรู้สึกอบอุ่น Slow Life ไม่วุ่นวาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าจดจำไม่มีวันลืมเลยครับ

ขอบคุณนะครับ ถ้ามีผิดพลาดประกาณใดก็ขออภัยด้วยนะครับ