หางานให้ได้งาน สำหรับเด็กจบใหม่ (ฉบับโคตรละเอียด)

.      ผ่านการทำงาน HR เข้าสู่ปีที่ 3  ตั้งแต่เรียนจบออกมา จนได้โอกาสกลับไปพูดให้น้องๆที่มหาวิทยาลัยฟัง เกี่ยวกับเรื่องการหางาน จริงๆวันนี้เขียนออกมายังไม่ได้ไปพูดหรอก เพียงแต่อยากเขียนออกมาเสียก่อน เพื่อที่จะนำข้อมูลที่เขียนไปบรรยายต่อ
.
หวังว่าเนื้อหานี้ จะเป็นประโยชน์  ให้น้องๆที่กำลังจบการศึกษา และเริ่มต้นชีวิตทำงาน ไม่มากก็น้อย ตามแต่ความพร้อม และปัจจัยที่ต่างกันไปของแต่ละคน 
.
โดยกระทู้ จะแบ่งเนื้อหาออกเป็นทั้งหมด 6 Part
.
Part 1 เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้
.
.         ข้อแรกผมให้คำนิยามมันว่า คุณทำอย่างไร มันก็ได้อย่างนั้น เป็นเรื่องของการสั่งสมกันมา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 หรือตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ซึ่งสิ่งต่อไปนี้ที่คุณเคยทำมา ล้วนเพิ่มโอกาสให้ตัวคุณในหน้าที่การงานทั้งสิ้น
.
         1.ประสบการณ์ทำงาน Part time ข้อนี้ก็สำคัญ ผมเองได้งานแรกส่วนหนึ่งมาจาก เริ่มทำงาน Part time ตั้งแต่อายุ 15 ทั้งพนักงานขาย เสมียน กรรมกร ล้วนผ่านมือผมมาหมด การผ่านงานมาก่อน จะทำให้คุณมีความเข้าใจสังคมการทำงานมากขึ้น  มีความเป็นไปได้ที่จะอดทนทำงานได้มากกว่า เพราะงาน Part time ส่วนใหญ่ไม่ใช่งานสบายอยู่แล้ว
.
           2.ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่ไม่ว่า HR อาจารย์ พ่อแม่ กี่คนกี่คนก็พร่ำบอกว่า ภาษาอังกฤษสำคัญนะเด็กๆ ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษนะลูก  แต่คุณจะเห็นความสำคัญของมัน ก็เมื่อคุณจะต้องใช้มันเท่านั้นแหละ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นความสำคัญ จนทำให้พลาดโอกาสงานดีๆหลายแห่ง  จึงขอย้ำอีกครั้ง ล้านครั้งว่าภาษาที่ 2 ที่ 3 มันสำคัญสุดๆ ไม่ใช่เพียงภาษาอังกฤษ  ตั้งใจเรียนกันหน่อยโว้ย
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเสียใจ เพราะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัย 20 ต้นๆ ผมมองว่ามันไม่มีสายเกินเรียนรู้(ปลอบใจตัวเอง) อย่างที่ผมมานั่งเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตนเอง ตอนมีครูสอยเจือกไม่ตั้งใจเรียน  จะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนให้ความสำคัญมันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เพราะวัยเรียนอย่าลืมนะ คุณมีเวลาว่างมากมาย  
(ภาษาอังกฤษจะยิ่งสำคัญในวันที่ตำแหน่งหน้าที่คุณก้าวหน้า เติบโตขึ้น หรือคุณอยากก้าวสู่โลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ภาษาจะเป็นทั้งบันไดสำหรับคนที่พูดได้ และเป็นทั้งกำแพงสำหรับคนที่พูดไม่ได้)
.
.
             3.เรื่องของความรู้ หมายรวมถึง สาขาที่เรียน ชื่อมหาวิทยาลัย(ผมปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ามันมีผล แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด) เกรดเฉลี่ย(สำหรับผมมีผลทางอ้อม)  
.
              3.1 สาขาที่เรียน เราพบว่าหลายครั้ง มีหลายคนเรียนในสาขาวิชาเฉพาะ แต่ไม่สามารถหาจุดยืนในสายงานตัวเองได้ จนต้องเฉดตัวเองออกมา หางานที่ไม่ตรงสาย ซึ่งมันไม่ผิด แต่ HR เราก็ประเมินยากเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน การทำงานไม่ตรงสายคุณจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆมารองรับ เช่น เรียนจบบัญชีมา แต่อยากเป็น พนักงานขาย เราก็สามารถบอกได้ว่า หนูเป็นคนชอบพูดคุยมากกว่าทำงานเอกสาร รวมทั้งการที่หนูมีความรู้ด้านบัญชี มันก็ทำให้หนูสามารถอ่านงบ และเข้าใจรายงาน งบการเงินต่างๆ ได้ดีอีกด้วย (สำคัญอย่าเพียงพูดให้ฟัง แต่อธิบายให้เหตุภาพด้วยว่า คุณชอบมัน ผ่านเหตุการณ์ในชีวิตคุณอย่างไร)
.
                3.2 ชื่อมหาวิทยาลัย สารภาพกันตามตรง ในบริษัทหากมีชื่อมหาวิทยาลัยบางชื่อ (ส่วนใหญ่เอกชน)เข้ามา แทบจะปิดประตู หมดสิทธิ์กันเลยทีเดียว เหตุผลเพราะ เราเคยรับเข้ามาหลายคน แต่ก็ผิดหวังในผลงาน จนทำให้ผู้บริหารเองไม่อยากเสียเวลา เสี่ยงดวงกับมหาวิทยาลัยนั้นๆแล้ว   แต่มันก็มีไม่กี่ที่จริงๆ แต่เชื่อสิต่อให้คุณจบจากมหาวิทยาลัยตามรายชื่อนั้น ถ้าพูดคุยแล้วเราเห็นแวว เราก็ไม่ได้ปิดประตูรับคุณเพียงเพราะชื่อมหาวิทยาลัยอย่างเดียวหรอก เพียงแต่คุณก็ต้องทำให้เรามั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
.
                 3.3 เกรดเฉลี่ย สำหรับคนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆ ผมคิดว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากยกขึ้นมาพูดคือ ผมมีเพื่อนหลายคนเกรดเฉลี่ยต่ำติดดิน  แต่น่าแปลกคนพวกนี้มักเอาตัวรอดโคตรจะเก่ง และทุกวันนี้ผมก็เห็นเพื่อนพวกนี้ของผม หลายคนไปได้ไกล กว่าคนเกรดเฉลี่ยสูงๆเช่นผมอีก  ดังนั้นอย่าเอาเกรดเฉลี่ยมาทำให้คุณหมดความมั่นใจ แต่จงแสดงให้เห็นถึง จุดแข็งด้านอื่นที่มีอยู่ในตัวคุณ   (ทั้งนี้คนเกรดเฉลี่ยสูง มีโอกาสที่จะเข้าใจในทฤษฏี หลักการทางวิชาการได้ดีกว่า ในบางตำแหน่งที่ต้องอาศัยทักษะพวกนี้)
.
.
                  4.กิจกรรมที่เคยทำ   จากการสัมภาษณ์มา คนที่ทำกิจกรรมมักมีแนวโน้ม สร้างความประทับใจได้ดีกว่าพวกกูเรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่สนใจ  มันไม่ใช่สูตรตายตัวว่า เห้ยถ้าคุณไม่ทำกิจกรรม คุณหมดสิทธิ์ได้งานนะ เพียงแต่อยากฉายภาพให้เห็นว่า การที่คุณลองเอาตัวเองไปทำกิจกรรม พบปะผู้คนบ้าง มันจะทำให้ทักษะการสื่อสารการเข้าสังคม ของคุณดีขึ้นนะ  แต่ถ้าคุณปฏิเสธว่า งานที่อยากทำ ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร กิจกรรมก็คงไม่สำคัญ แต่ถ้าหากงานนั้น คุณต้องทำงานร่วมกับคนอื่น เชื่อเถอะว่า คนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีกว่า ได้เปรียบกว่า เพราะถึงแม้คุณจะสัมภาษณ์ผ่าน อย่าลืมว่าการทำงานจะรอดหรือไม่ ส่วนหนึ่งมันก็มาจาก การเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ ผ่านความสัมพันธ์กับผู้คนที่คุณต้องติดต่อด้วย
.
             5.ทักษะอื่นๆ เช่น ขับรถได้ (ส่วนใหญ่สำหรับพวกพนักงานขาย) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทักษะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่านเขียน และอื่นๆอีกมากมาย ทักษะเหล่านี้ล้วนช่วยขยายตัวเลือกการได้งานของคุณ ยิ่งคุณมีมันมาก ตัวเลือกงานที่คุณอยากทำก็เลือกได้มากขึ้น ยิ่งคุณมีมันน้อย ตัวเลือกงานของคุณก็จะแคบลงเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญด้วย หากคุณมีทักษะเดียว แต่คุณเชี่ยวชาญมันพอ ก็ถือเป็นจุดแข็งของคุณ และสร้างความโดดเด่นให้คุณเช่นกัน
.
             5 ข้อข้างต้นนี้ สร้างกันไม่ได้ในวันเดียว ทุกข้อล้วนต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น  และช่วงเวลาในวัยเรียน ผมคิดว่ามันเหมาะอย่างยิ่งในการเริ่มฝึกฝนมัน ถ้ามีโอกาสฝึกงาน ทำงาน ให้เลือกงานที่มันต่อยอดได้ อย่าเน้นความสบายประเภท ฝึกครบจบแน่  ภาษาอังกฤษจะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม  ความรู้ในสิ่งที่เรียนจะทำให้คุณทำงานอย่างมีหลักการมากยิ่งขึ้น กิจกรรมนอกห้องเรียนจะช่วยคุณทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี และทักษะอื่นๆที่มาจากงานอดิเรก อาจสร้างจุดแแข็ง และอาชีพใหม่ๆให้กับคุณ
.
.
Part 2 ปี 4 เทอม 2
.             จริงๆจะปีไหน เทอมไหนก็ได้ แต่ที่เลือกเทอม 2 เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาสุดท้าย ที่คุณควรวางแผน  ผมยกให้ช่วงเวลาหลังเรียนจบ เป็นอีกหนึ่งเวลาสำคัญของชีวิต ผมอยากให้ทุกคนได้วางแผนกัน ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อ เพราะถ้าไม่มีแผนเราจะพบกับสูญญากาศความเลื่อนลอยของชีวิต จริงๆคุณควรวางแผนด้วยตัวคุณเอง เพราะชีวิตคนเรามีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมก็ขอเขียนบางสิ่งที่อาจเป็นตัวช่วยให้คุณได้
.
.
             1.ใช้เวลาให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น สำหรับคนบ้านพอมีอันจะกิน ไม่ต้องเร่งรีบทำงาน  ก็อยากให้ใช้เวลาหลังเรียนจบ  ลองไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ถ้ายังไม่มีก็อยากให้ลองออกเดินทาง มันมีทั้งโครงการ work & Travel ที่เราจะได้ทั้งเดินทางไปต่างประเทศ เปิดโลกกว้าง ได้ภาษาอีกตังหาก ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน หรือจะแพ็คกระเป๋า ออกเดินทางแบบ Backpacker ช่วงเวลานี้ คุณน่าจะได้มีเวลาเดินทางได้อย่างไร้กังวล และผมก็อยากทำมากหากไม่ติดเรื่องเงิน
.
 (ข้อนี้มันกว้างจนแนะนำไม่หมด เอาเป็นว่าทำอะไรก็ได้  หรือแม้แต่จะไปทำงานก็ยังได้ เพียงแต่ให้โฟกัสงานที่อยากทำจริงๆ โดยอย่าเพิ่งไปสนใจเงินเดือน)
.
               2.เริ่มทำงานทันทีหลังเรียนจบ สำหรับคนที่จำเป็นต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงตนเองเช่นผม การได้งานทำทันทีหลังเรียนจบคือสิ่งวิเศษ  ฉะนั้นหากคุณเป็นเพื่อนร่วมทางเดียวกัน ปี 4 เทอม 2 คุณควรเริ่มทำเรซูเม่ และเริ่มมองหางานที่อยากทำไว้บ้างแล้ว อย่างเช่น ผมเริ่มทำเรซูเม่ 1 เดือน หางานอีก 1 เดือน และได้งานในเดือนสุดท้ายที่กำลังเรียนจบพอดี การทำแบบนี้คุณจะได้ทั้งงานที่อยากทำ และได้ทำงานทันทีหลังเรียนจบ เพราะหากคุณไปหางานตอนเรียนจบแล้ว คุณก็จะตาลีตาเหลือก รีบๆคว้างาน จนบางครั้ง งานที่ได้อาจไม่ตรงกับใจคุณ
.
.          สรุปแล้วช่วงเวลาหลังเรียนจบ ผมคิดว่ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า บางคนอาจจะอยากพักผ่อนสักเดือน แล้วค่อยหางาน หรืออยากจะไปทำสิ่งใหม่ๆ ออกเดินทางค้นหาตัวเอง หรืออยากรีบทำงานเพื่อจะได้มีเงินเดือนไว้ใช้เอง ก็สุดแล้วแต่ความชอบ  แต่ผมก็เน้นย้ำเสมอว่า มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราควรจะวางแผน ตั้งแต่เนิ่นๆไว้ก็ดี  อย่าให้ช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ หมดไปเพียงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
.
.
Past 3 งานแรกเลือกอย่างไรดี
.
             วันๆเรียนแต่หนังสือ ไม่รู้หรอกอยากทำอาชีพอะไร ผมเชื่อว่าหลายคนไม่สามารถรู้จักตัวเองได้ ในขณะเรียน ไม่ใช่เราไม่มีสิ่งที่ถนัดหรือชอบ เพียงแต่แค่ยังไม่รู้ว่าเรามีสิ่งนั้นเท่านั้นเอง 
.
              การหางานแรกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควร ทำมันอย่างพิถีพิถัน กล่าวคือ ไม่ใช่แค่หว่านใบสมัครไปเยอะๆ ที่ไหนให้เงินเยอะสุด กูก็ไปที่นั้น ผมคิดว่าการทำงานแรก ที่หวังเพียงว่าจะได้เงินเดือนเยอะกว่า เพื่อนคนอื่น ไม่ใช่ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จระยะยาวในชีวิตการทำงาน ดังนั้น หากจะเลือกงานที่แรก เราก็ควรพิจารณาจาก ปัจจัยดังต่อไปนี้

.          1.งานที่เหมาะกับตัวเอง หากยังตอบไม่ได้ว่าชอบทำอะไร อย่างน้อยๆก็คุยกับตัวเองสักหน่อยว่า เราเป็นคนอย่างไร หากชอบพูด ชอบคุย ลองไปทำงานที่ต้องพบปะผู้คนไหม หากชอบงานเอกสารไม่ต้องยุ่งกับใคร ลองไปดูงาน back office ต่างๆ สำคัญตรงที่ว่า พอจะบอกตัวเองคร่าวๆให้ได้ว่า ฉันเหมาะกับงานแบบไหน วิธีการก็ไม่ยาก  ก่อนไปสมัครงาน ลองเข้า www.job ต่างๆ  ดูว่าแต่ละตำแหน่งเขาต้องการคนลักษณะไหน และค่อยๆคัดเลือกมาให้เหลือประมาณ 3-5 ตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองดู  จากนั้นก็โฟกัสไปสมัครงานที่เลือกมา มันก็จะช่วยตัดตัวเลือกสิ่งที่ไม่ตรงกับเราไปได้เยอะ 
.
หรือไม่ก็ลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีนะ ลองไปทำดู  https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E
.
.
.           2.การเรียนรู้มาก่อนเงิน  หลายคนอาจจะเริ่มหมั่นไส้ว่า เงินไม่มีจะ- ยังจะให้หาความรู้อีกหรอ แต่ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ(วันที่ผมเรียนจบ ผมมีเงินทั้งตัวอยู่ 3000 บาท) ความรู้ในวัยอย่างพวกเรา สำคัญกว่าเงินเดือน งานบางงานเงินเดือนสูงกว่า แต่ทำอีก 10 ปี ก็ยังอยู่ที่เดิม เช่น งาน Call center บางที่ให้เริ่มต้นที่ 18000 ซึ่งสูงมากกว่าหลายตำแหน่ง  ไม่ใช่งาน Call center ไม่ได้เรียนรู้นะ แต่ตอบตัวเองให้ได้ก่อนไปทำว่า เราจะไปเรียนรู้อะไรจากงานนั้น
.
“ผมอยากขอให้เราอดทนช่วง 2 ปีแรก เงินเดือนเอาให้พออยู่ไหว แต่ที่ต้องเอาให้มากคือกอบโกยความรู้  และเมื่อผ่าน 2 ปีแรกไป หากคุณเชี่ยวชาญในสายงานพอ  ถึงวันนั้นคุณจะมีตัวเลือกมากขึ้นเอง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่