. ผ่านการทำงาน HR เข้าสู่ปีที่ 3 ตั้งแต่เรียนจบออกมา จนได้โอกาสกลับไปพูดให้น้องๆที่มหาวิทยาลัยฟัง เกี่ยวกับเรื่องการหางาน จริงๆวันนี้เขียนออกมายังไม่ได้ไปพูดหรอก เพียงแต่อยากเขียนออกมาเสียก่อน เพื่อที่จะนำข้อมูลที่เขียนไปบรรยายต่อ
.
หวังว่าเนื้อหานี้ จะเป็นประโยชน์ ให้น้องๆที่กำลังจบการศึกษา และเริ่มต้นชีวิตทำงาน ไม่มากก็น้อย ตามแต่ความพร้อม และปัจจัยที่ต่างกันไปของแต่ละคน
.
โดยกระทู้ จะแบ่งเนื้อหาออกเป็นทั้งหมด 6 Part
.
Part 1 เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้
.
. ข้อแรกผมให้คำนิยามมันว่า คุณทำอย่างไร มันก็ได้อย่างนั้น เป็นเรื่องของการสั่งสมกันมา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 หรือตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ซึ่งสิ่งต่อไปนี้ที่คุณเคยทำมา ล้วนเพิ่มโอกาสให้ตัวคุณในหน้าที่การงานทั้งสิ้น
.
1.ประสบการณ์ทำงาน Part time ข้อนี้ก็สำคัญ ผมเองได้งานแรกส่วนหนึ่งมาจาก เริ่มทำงาน Part time ตั้งแต่อายุ 15 ทั้งพนักงานขาย เสมียน กรรมกร ล้วนผ่านมือผมมาหมด การผ่านงานมาก่อน จะทำให้คุณมีความเข้าใจสังคมการทำงานมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะอดทนทำงานได้มากกว่า เพราะงาน Part time ส่วนใหญ่ไม่ใช่งานสบายอยู่แล้ว
.
2.ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่ไม่ว่า HR อาจารย์ พ่อแม่ กี่คนกี่คนก็พร่ำบอกว่า ภาษาอังกฤษสำคัญนะเด็กๆ ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษนะลูก แต่คุณจะเห็นความสำคัญของมัน ก็เมื่อคุณจะต้องใช้มันเท่านั้นแหละ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นความสำคัญ จนทำให้พลาดโอกาสงานดีๆหลายแห่ง จึงขอย้ำอีกครั้ง ล้านครั้งว่าภาษาที่ 2 ที่ 3 มันสำคัญสุดๆ ไม่ใช่เพียงภาษาอังกฤษ ตั้งใจเรียนกันหน่อยโว้ย
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเสียใจ เพราะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัย 20 ต้นๆ ผมมองว่ามันไม่มีสายเกินเรียนรู้(ปลอบใจตัวเอง) อย่างที่ผมมานั่งเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตนเอง ตอนมีครูสอยเจือกไม่ตั้งใจเรียน จะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนให้ความสำคัญมันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เพราะวัยเรียนอย่าลืมนะ คุณมีเวลาว่างมากมาย
(ภาษาอังกฤษจะยิ่งสำคัญในวันที่ตำแหน่งหน้าที่คุณก้าวหน้า เติบโตขึ้น หรือคุณอยากก้าวสู่โลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ภาษาจะเป็นทั้งบันไดสำหรับคนที่พูดได้ และเป็นทั้งกำแพงสำหรับคนที่พูดไม่ได้)
.
.
3.เรื่องของความรู้ หมายรวมถึง สาขาที่เรียน ชื่อมหาวิทยาลัย(ผมปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ามันมีผล แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด) เกรดเฉลี่ย(สำหรับผมมีผลทางอ้อม)
.
3.1 สาขาที่เรียน เราพบว่าหลายครั้ง มีหลายคนเรียนในสาขาวิชาเฉพาะ แต่ไม่สามารถหาจุดยืนในสายงานตัวเองได้ จนต้องเฉดตัวเองออกมา หางานที่ไม่ตรงสาย ซึ่งมันไม่ผิด แต่ HR เราก็ประเมินยากเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน การทำงานไม่ตรงสายคุณจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆมารองรับ เช่น เรียนจบบัญชีมา แต่อยากเป็น พนักงานขาย เราก็สามารถบอกได้ว่า หนูเป็นคนชอบพูดคุยมากกว่าทำงานเอกสาร รวมทั้งการที่หนูมีความรู้ด้านบัญชี มันก็ทำให้หนูสามารถอ่านงบ และเข้าใจรายงาน งบการเงินต่างๆ ได้ดีอีกด้วย (สำคัญอย่าเพียงพูดให้ฟัง แต่อธิบายให้เหตุภาพด้วยว่า คุณชอบมัน ผ่านเหตุการณ์ในชีวิตคุณอย่างไร)
.
3.2 ชื่อมหาวิทยาลัย สารภาพกันตามตรง ในบริษัทหากมีชื่อมหาวิทยาลัยบางชื่อ (ส่วนใหญ่เอกชน)เข้ามา แทบจะปิดประตู หมดสิทธิ์กันเลยทีเดียว เหตุผลเพราะ เราเคยรับเข้ามาหลายคน แต่ก็ผิดหวังในผลงาน จนทำให้ผู้บริหารเองไม่อยากเสียเวลา เสี่ยงดวงกับมหาวิทยาลัยนั้นๆแล้ว แต่มันก็มีไม่กี่ที่จริงๆ แต่เชื่อสิต่อให้คุณจบจากมหาวิทยาลัยตามรายชื่อนั้น ถ้าพูดคุยแล้วเราเห็นแวว เราก็ไม่ได้ปิดประตูรับคุณเพียงเพราะชื่อมหาวิทยาลัยอย่างเดียวหรอก เพียงแต่คุณก็ต้องทำให้เรามั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
.
3.3 เกรดเฉลี่ย สำหรับคนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆ ผมคิดว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากยกขึ้นมาพูดคือ ผมมีเพื่อนหลายคนเกรดเฉลี่ยต่ำติดดิน แต่น่าแปลกคนพวกนี้มักเอาตัวรอดโคตรจะเก่ง และทุกวันนี้ผมก็เห็นเพื่อนพวกนี้ของผม หลายคนไปได้ไกล กว่าคนเกรดเฉลี่ยสูงๆเช่นผมอีก ดังนั้นอย่าเอาเกรดเฉลี่ยมาทำให้คุณหมดความมั่นใจ แต่จงแสดงให้เห็นถึง จุดแข็งด้านอื่นที่มีอยู่ในตัวคุณ (ทั้งนี้คนเกรดเฉลี่ยสูง มีโอกาสที่จะเข้าใจในทฤษฏี หลักการทางวิชาการได้ดีกว่า ในบางตำแหน่งที่ต้องอาศัยทักษะพวกนี้)
.
.
4.กิจกรรมที่เคยทำ จากการสัมภาษณ์มา คนที่ทำกิจกรรมมักมีแนวโน้ม สร้างความประทับใจได้ดีกว่าพวกกูเรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่สนใจ มันไม่ใช่สูตรตายตัวว่า เห้ยถ้าคุณไม่ทำกิจกรรม คุณหมดสิทธิ์ได้งานนะ เพียงแต่อยากฉายภาพให้เห็นว่า การที่คุณลองเอาตัวเองไปทำกิจกรรม พบปะผู้คนบ้าง มันจะทำให้ทักษะการสื่อสารการเข้าสังคม ของคุณดีขึ้นนะ แต่ถ้าคุณปฏิเสธว่า งานที่อยากทำ ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร กิจกรรมก็คงไม่สำคัญ แต่ถ้าหากงานนั้น คุณต้องทำงานร่วมกับคนอื่น เชื่อเถอะว่า คนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีกว่า ได้เปรียบกว่า เพราะถึงแม้คุณจะสัมภาษณ์ผ่าน อย่าลืมว่าการทำงานจะรอดหรือไม่ ส่วนหนึ่งมันก็มาจาก การเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ ผ่านความสัมพันธ์กับผู้คนที่คุณต้องติดต่อด้วย
.
5.ทักษะอื่นๆ เช่น ขับรถได้ (ส่วนใหญ่สำหรับพวกพนักงานขาย) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทักษะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่านเขียน และอื่นๆอีกมากมาย ทักษะเหล่านี้ล้วนช่วยขยายตัวเลือกการได้งานของคุณ ยิ่งคุณมีมันมาก ตัวเลือกงานที่คุณอยากทำก็เลือกได้มากขึ้น ยิ่งคุณมีมันน้อย ตัวเลือกงานของคุณก็จะแคบลงเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญด้วย หากคุณมีทักษะเดียว แต่คุณเชี่ยวชาญมันพอ ก็ถือเป็นจุดแข็งของคุณ และสร้างความโดดเด่นให้คุณเช่นกัน
.
5 ข้อข้างต้นนี้ สร้างกันไม่ได้ในวันเดียว ทุกข้อล้วนต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น และช่วงเวลาในวัยเรียน ผมคิดว่ามันเหมาะอย่างยิ่งในการเริ่มฝึกฝนมัน ถ้ามีโอกาสฝึกงาน ทำงาน ให้เลือกงานที่มันต่อยอดได้ อย่าเน้นความสบายประเภท ฝึกครบจบแน่ ภาษาอังกฤษจะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม ความรู้ในสิ่งที่เรียนจะทำให้คุณทำงานอย่างมีหลักการมากยิ่งขึ้น กิจกรรมนอกห้องเรียนจะช่วยคุณทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี และทักษะอื่นๆที่มาจากงานอดิเรก อาจสร้างจุดแแข็ง และอาชีพใหม่ๆให้กับคุณ
.
.
Part 2 ปี 4 เทอม 2
. จริงๆจะปีไหน เทอมไหนก็ได้ แต่ที่เลือกเทอม 2 เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาสุดท้าย ที่คุณควรวางแผน ผมยกให้ช่วงเวลาหลังเรียนจบ เป็นอีกหนึ่งเวลาสำคัญของชีวิต ผมอยากให้ทุกคนได้วางแผนกัน ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อ เพราะถ้าไม่มีแผนเราจะพบกับสูญญากาศความเลื่อนลอยของชีวิต จริงๆคุณควรวางแผนด้วยตัวคุณเอง เพราะชีวิตคนเรามีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมก็ขอเขียนบางสิ่งที่อาจเป็นตัวช่วยให้คุณได้
.
.
1.ใช้เวลาให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น สำหรับคนบ้านพอมีอันจะกิน ไม่ต้องเร่งรีบทำงาน ก็อยากให้ใช้เวลาหลังเรียนจบ ลองไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ถ้ายังไม่มีก็อยากให้ลองออกเดินทาง มันมีทั้งโครงการ work & Travel ที่เราจะได้ทั้งเดินทางไปต่างประเทศ เปิดโลกกว้าง ได้ภาษาอีกตังหาก ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน หรือจะแพ็คกระเป๋า ออกเดินทางแบบ Backpacker ช่วงเวลานี้ คุณน่าจะได้มีเวลาเดินทางได้อย่างไร้กังวล และผมก็อยากทำมากหากไม่ติดเรื่องเงิน
.
(ข้อนี้มันกว้างจนแนะนำไม่หมด เอาเป็นว่าทำอะไรก็ได้ หรือแม้แต่จะไปทำงานก็ยังได้ เพียงแต่ให้โฟกัสงานที่อยากทำจริงๆ โดยอย่าเพิ่งไปสนใจเงินเดือน)
.
2.เริ่มทำงานทันทีหลังเรียนจบ สำหรับคนที่จำเป็นต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงตนเองเช่นผม การได้งานทำทันทีหลังเรียนจบคือสิ่งวิเศษ ฉะนั้นหากคุณเป็นเพื่อนร่วมทางเดียวกัน ปี 4 เทอม 2 คุณควรเริ่มทำเรซูเม่ และเริ่มมองหางานที่อยากทำไว้บ้างแล้ว อย่างเช่น ผมเริ่มทำเรซูเม่ 1 เดือน หางานอีก 1 เดือน และได้งานในเดือนสุดท้ายที่กำลังเรียนจบพอดี การทำแบบนี้คุณจะได้ทั้งงานที่อยากทำ และได้ทำงานทันทีหลังเรียนจบ เพราะหากคุณไปหางานตอนเรียนจบแล้ว คุณก็จะตาลีตาเหลือก รีบๆคว้างาน จนบางครั้ง งานที่ได้อาจไม่ตรงกับใจคุณ
.
. สรุปแล้วช่วงเวลาหลังเรียนจบ ผมคิดว่ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า บางคนอาจจะอยากพักผ่อนสักเดือน แล้วค่อยหางาน หรืออยากจะไปทำสิ่งใหม่ๆ ออกเดินทางค้นหาตัวเอง หรืออยากรีบทำงานเพื่อจะได้มีเงินเดือนไว้ใช้เอง ก็สุดแล้วแต่ความชอบ แต่ผมก็เน้นย้ำเสมอว่า มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราควรจะวางแผน ตั้งแต่เนิ่นๆไว้ก็ดี อย่าให้ช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ หมดไปเพียงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
.
.
Past 3 งานแรกเลือกอย่างไรดี
.
วันๆเรียนแต่หนังสือ ไม่รู้หรอกอยากทำอาชีพอะไร ผมเชื่อว่าหลายคนไม่สามารถรู้จักตัวเองได้ ในขณะเรียน ไม่ใช่เราไม่มีสิ่งที่ถนัดหรือชอบ เพียงแต่แค่ยังไม่รู้ว่าเรามีสิ่งนั้นเท่านั้นเอง
.
การหางานแรกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควร ทำมันอย่างพิถีพิถัน กล่าวคือ ไม่ใช่แค่หว่านใบสมัครไปเยอะๆ ที่ไหนให้เงินเยอะสุด กูก็ไปที่นั้น ผมคิดว่าการทำงานแรก ที่หวังเพียงว่าจะได้เงินเดือนเยอะกว่า เพื่อนคนอื่น ไม่ใช่ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จระยะยาวในชีวิตการทำงาน ดังนั้น หากจะเลือกงานที่แรก เราก็ควรพิจารณาจาก ปัจจัยดังต่อไปนี้
. 1.งานที่เหมาะกับตัวเอง หากยังตอบไม่ได้ว่าชอบทำอะไร อย่างน้อยๆก็คุยกับตัวเองสักหน่อยว่า เราเป็นคนอย่างไร หากชอบพูด ชอบคุย ลองไปทำงานที่ต้องพบปะผู้คนไหม หากชอบงานเอกสารไม่ต้องยุ่งกับใคร ลองไปดูงาน back office ต่างๆ สำคัญตรงที่ว่า พอจะบอกตัวเองคร่าวๆให้ได้ว่า ฉันเหมาะกับงานแบบไหน วิธีการก็ไม่ยาก ก่อนไปสมัครงาน ลองเข้า www.job ต่างๆ ดูว่าแต่ละตำแหน่งเขาต้องการคนลักษณะไหน และค่อยๆคัดเลือกมาให้เหลือประมาณ 3-5 ตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองดู จากนั้นก็โฟกัสไปสมัครงานที่เลือกมา มันก็จะช่วยตัดตัวเลือกสิ่งที่ไม่ตรงกับเราไปได้เยอะ
.
หรือไม่ก็ลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีนะ ลองไปทำดู
https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E
.
.
. 2.การเรียนรู้มาก่อนเงิน หลายคนอาจจะเริ่มหมั่นไส้ว่า เงินไม่มีจะ- ยังจะให้หาความรู้อีกหรอ แต่ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ(วันที่ผมเรียนจบ ผมมีเงินทั้งตัวอยู่ 3000 บาท) ความรู้ในวัยอย่างพวกเรา สำคัญกว่าเงินเดือน งานบางงานเงินเดือนสูงกว่า แต่ทำอีก 10 ปี ก็ยังอยู่ที่เดิม เช่น งาน Call center บางที่ให้เริ่มต้นที่ 18000 ซึ่งสูงมากกว่าหลายตำแหน่ง ไม่ใช่งาน Call center ไม่ได้เรียนรู้นะ แต่ตอบตัวเองให้ได้ก่อนไปทำว่า เราจะไปเรียนรู้อะไรจากงานนั้น
.
“ผมอยากขอให้เราอดทนช่วง 2 ปีแรก เงินเดือนเอาให้พออยู่ไหว แต่ที่ต้องเอาให้มากคือกอบโกยความรู้ และเมื่อผ่าน 2 ปีแรกไป หากคุณเชี่ยวชาญในสายงานพอ ถึงวันนั้นคุณจะมีตัวเลือกมากขึ้นเอง”
หางานให้ได้งาน สำหรับเด็กจบใหม่ (ฉบับโคตรละเอียด)
.
หวังว่าเนื้อหานี้ จะเป็นประโยชน์ ให้น้องๆที่กำลังจบการศึกษา และเริ่มต้นชีวิตทำงาน ไม่มากก็น้อย ตามแต่ความพร้อม และปัจจัยที่ต่างกันไปของแต่ละคน
.
โดยกระทู้ จะแบ่งเนื้อหาออกเป็นทั้งหมด 6 Part
.
Part 1 เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้
.
. ข้อแรกผมให้คำนิยามมันว่า คุณทำอย่างไร มันก็ได้อย่างนั้น เป็นเรื่องของการสั่งสมกันมา ตั้งแต่เข้ามาเรียนปี 1 หรือตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ซึ่งสิ่งต่อไปนี้ที่คุณเคยทำมา ล้วนเพิ่มโอกาสให้ตัวคุณในหน้าที่การงานทั้งสิ้น
.
1.ประสบการณ์ทำงาน Part time ข้อนี้ก็สำคัญ ผมเองได้งานแรกส่วนหนึ่งมาจาก เริ่มทำงาน Part time ตั้งแต่อายุ 15 ทั้งพนักงานขาย เสมียน กรรมกร ล้วนผ่านมือผมมาหมด การผ่านงานมาก่อน จะทำให้คุณมีความเข้าใจสังคมการทำงานมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะอดทนทำงานได้มากกว่า เพราะงาน Part time ส่วนใหญ่ไม่ใช่งานสบายอยู่แล้ว
2.ภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่ไม่ว่า HR อาจารย์ พ่อแม่ กี่คนกี่คนก็พร่ำบอกว่า ภาษาอังกฤษสำคัญนะเด็กๆ ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษนะลูก แต่คุณจะเห็นความสำคัญของมัน ก็เมื่อคุณจะต้องใช้มันเท่านั้นแหละ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นความสำคัญ จนทำให้พลาดโอกาสงานดีๆหลายแห่ง จึงขอย้ำอีกครั้ง ล้านครั้งว่าภาษาที่ 2 ที่ 3 มันสำคัญสุดๆ ไม่ใช่เพียงภาษาอังกฤษ ตั้งใจเรียนกันหน่อยโว้ย
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเสียใจ เพราะถ้าเราเริ่มตั้งแต่วัย 20 ต้นๆ ผมมองว่ามันไม่มีสายเกินเรียนรู้(ปลอบใจตัวเอง) อย่างที่ผมมานั่งเรียนภาษาอังกฤษ ด้วยตนเอง ตอนมีครูสอยเจือกไม่ตั้งใจเรียน จะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนให้ความสำคัญมันตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เพราะวัยเรียนอย่าลืมนะ คุณมีเวลาว่างมากมาย
.
3.เรื่องของความรู้ หมายรวมถึง สาขาที่เรียน ชื่อมหาวิทยาลัย(ผมปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้จริงๆ ว่ามันมีผล แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด) เกรดเฉลี่ย(สำหรับผมมีผลทางอ้อม)
.
3.1 สาขาที่เรียน เราพบว่าหลายครั้ง มีหลายคนเรียนในสาขาวิชาเฉพาะ แต่ไม่สามารถหาจุดยืนในสายงานตัวเองได้ จนต้องเฉดตัวเองออกมา หางานที่ไม่ตรงสาย ซึ่งมันไม่ผิด แต่ HR เราก็ประเมินยากเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน การทำงานไม่ตรงสายคุณจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆมารองรับ เช่น เรียนจบบัญชีมา แต่อยากเป็น พนักงานขาย เราก็สามารถบอกได้ว่า หนูเป็นคนชอบพูดคุยมากกว่าทำงานเอกสาร รวมทั้งการที่หนูมีความรู้ด้านบัญชี มันก็ทำให้หนูสามารถอ่านงบ และเข้าใจรายงาน งบการเงินต่างๆ ได้ดีอีกด้วย (สำคัญอย่าเพียงพูดให้ฟัง แต่อธิบายให้เหตุภาพด้วยว่า คุณชอบมัน ผ่านเหตุการณ์ในชีวิตคุณอย่างไร)
.
3.2 ชื่อมหาวิทยาลัย สารภาพกันตามตรง ในบริษัทหากมีชื่อมหาวิทยาลัยบางชื่อ (ส่วนใหญ่เอกชน)เข้ามา แทบจะปิดประตู หมดสิทธิ์กันเลยทีเดียว เหตุผลเพราะ เราเคยรับเข้ามาหลายคน แต่ก็ผิดหวังในผลงาน จนทำให้ผู้บริหารเองไม่อยากเสียเวลา เสี่ยงดวงกับมหาวิทยาลัยนั้นๆแล้ว แต่มันก็มีไม่กี่ที่จริงๆ แต่เชื่อสิต่อให้คุณจบจากมหาวิทยาลัยตามรายชื่อนั้น ถ้าพูดคุยแล้วเราเห็นแวว เราก็ไม่ได้ปิดประตูรับคุณเพียงเพราะชื่อมหาวิทยาลัยอย่างเดียวหรอก เพียงแต่คุณก็ต้องทำให้เรามั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
.
3.3 เกรดเฉลี่ย สำหรับคนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆ ผมคิดว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากยกขึ้นมาพูดคือ ผมมีเพื่อนหลายคนเกรดเฉลี่ยต่ำติดดิน แต่น่าแปลกคนพวกนี้มักเอาตัวรอดโคตรจะเก่ง และทุกวันนี้ผมก็เห็นเพื่อนพวกนี้ของผม หลายคนไปได้ไกล กว่าคนเกรดเฉลี่ยสูงๆเช่นผมอีก ดังนั้นอย่าเอาเกรดเฉลี่ยมาทำให้คุณหมดความมั่นใจ แต่จงแสดงให้เห็นถึง จุดแข็งด้านอื่นที่มีอยู่ในตัวคุณ (ทั้งนี้คนเกรดเฉลี่ยสูง มีโอกาสที่จะเข้าใจในทฤษฏี หลักการทางวิชาการได้ดีกว่า ในบางตำแหน่งที่ต้องอาศัยทักษะพวกนี้)
.
.
4.กิจกรรมที่เคยทำ จากการสัมภาษณ์มา คนที่ทำกิจกรรมมักมีแนวโน้ม สร้างความประทับใจได้ดีกว่าพวกกูเรียนอย่างเดียว กิจกรรมไม่สนใจ มันไม่ใช่สูตรตายตัวว่า เห้ยถ้าคุณไม่ทำกิจกรรม คุณหมดสิทธิ์ได้งานนะ เพียงแต่อยากฉายภาพให้เห็นว่า การที่คุณลองเอาตัวเองไปทำกิจกรรม พบปะผู้คนบ้าง มันจะทำให้ทักษะการสื่อสารการเข้าสังคม ของคุณดีขึ้นนะ แต่ถ้าคุณปฏิเสธว่า งานที่อยากทำ ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับใคร กิจกรรมก็คงไม่สำคัญ แต่ถ้าหากงานนั้น คุณต้องทำงานร่วมกับคนอื่น เชื่อเถอะว่า คนที่เข้ากับคนอื่นได้ดีกว่า ได้เปรียบกว่า เพราะถึงแม้คุณจะสัมภาษณ์ผ่าน อย่าลืมว่าการทำงานจะรอดหรือไม่ ส่วนหนึ่งมันก็มาจาก การเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรนั้นๆ ผ่านความสัมพันธ์กับผู้คนที่คุณต้องติดต่อด้วย
.
5.ทักษะอื่นๆ เช่น ขับรถได้ (ส่วนใหญ่สำหรับพวกพนักงานขาย) โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทักษะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่านเขียน และอื่นๆอีกมากมาย ทักษะเหล่านี้ล้วนช่วยขยายตัวเลือกการได้งานของคุณ ยิ่งคุณมีมันมาก ตัวเลือกงานที่คุณอยากทำก็เลือกได้มากขึ้น ยิ่งคุณมีมันน้อย ตัวเลือกงานของคุณก็จะแคบลงเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญด้วย หากคุณมีทักษะเดียว แต่คุณเชี่ยวชาญมันพอ ก็ถือเป็นจุดแข็งของคุณ และสร้างความโดดเด่นให้คุณเช่นกัน
.
5 ข้อข้างต้นนี้ สร้างกันไม่ได้ในวันเดียว ทุกข้อล้วนต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนทั้งนั้น และช่วงเวลาในวัยเรียน ผมคิดว่ามันเหมาะอย่างยิ่งในการเริ่มฝึกฝนมัน ถ้ามีโอกาสฝึกงาน ทำงาน ให้เลือกงานที่มันต่อยอดได้ อย่าเน้นความสบายประเภท ฝึกครบจบแน่ ภาษาอังกฤษจะทำให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม ความรู้ในสิ่งที่เรียนจะทำให้คุณทำงานอย่างมีหลักการมากยิ่งขึ้น กิจกรรมนอกห้องเรียนจะช่วยคุณทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี และทักษะอื่นๆที่มาจากงานอดิเรก อาจสร้างจุดแแข็ง และอาชีพใหม่ๆให้กับคุณ
.
.
Part 2 ปี 4 เทอม 2
. จริงๆจะปีไหน เทอมไหนก็ได้ แต่ที่เลือกเทอม 2 เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาสุดท้าย ที่คุณควรวางแผน ผมยกให้ช่วงเวลาหลังเรียนจบ เป็นอีกหนึ่งเวลาสำคัญของชีวิต ผมอยากให้ทุกคนได้วางแผนกัน ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อ เพราะถ้าไม่มีแผนเราจะพบกับสูญญากาศความเลื่อนลอยของชีวิต จริงๆคุณควรวางแผนด้วยตัวคุณเอง เพราะชีวิตคนเรามีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมก็ขอเขียนบางสิ่งที่อาจเป็นตัวช่วยให้คุณได้
.
.
1.ใช้เวลาให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น สำหรับคนบ้านพอมีอันจะกิน ไม่ต้องเร่งรีบทำงาน ก็อยากให้ใช้เวลาหลังเรียนจบ ลองไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ถ้ายังไม่มีก็อยากให้ลองออกเดินทาง มันมีทั้งโครงการ work & Travel ที่เราจะได้ทั้งเดินทางไปต่างประเทศ เปิดโลกกว้าง ได้ภาษาอีกตังหาก ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน หรือจะแพ็คกระเป๋า ออกเดินทางแบบ Backpacker ช่วงเวลานี้ คุณน่าจะได้มีเวลาเดินทางได้อย่างไร้กังวล และผมก็อยากทำมากหากไม่ติดเรื่องเงิน
.
(ข้อนี้มันกว้างจนแนะนำไม่หมด เอาเป็นว่าทำอะไรก็ได้ หรือแม้แต่จะไปทำงานก็ยังได้ เพียงแต่ให้โฟกัสงานที่อยากทำจริงๆ โดยอย่าเพิ่งไปสนใจเงินเดือน)
.
2.เริ่มทำงานทันทีหลังเรียนจบ สำหรับคนที่จำเป็นต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงตนเองเช่นผม การได้งานทำทันทีหลังเรียนจบคือสิ่งวิเศษ ฉะนั้นหากคุณเป็นเพื่อนร่วมทางเดียวกัน ปี 4 เทอม 2 คุณควรเริ่มทำเรซูเม่ และเริ่มมองหางานที่อยากทำไว้บ้างแล้ว อย่างเช่น ผมเริ่มทำเรซูเม่ 1 เดือน หางานอีก 1 เดือน และได้งานในเดือนสุดท้ายที่กำลังเรียนจบพอดี การทำแบบนี้คุณจะได้ทั้งงานที่อยากทำ และได้ทำงานทันทีหลังเรียนจบ เพราะหากคุณไปหางานตอนเรียนจบแล้ว คุณก็จะตาลีตาเหลือก รีบๆคว้างาน จนบางครั้ง งานที่ได้อาจไม่ตรงกับใจคุณ
.
. สรุปแล้วช่วงเวลาหลังเรียนจบ ผมคิดว่ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนมากกว่า บางคนอาจจะอยากพักผ่อนสักเดือน แล้วค่อยหางาน หรืออยากจะไปทำสิ่งใหม่ๆ ออกเดินทางค้นหาตัวเอง หรืออยากรีบทำงานเพื่อจะได้มีเงินเดือนไว้ใช้เอง ก็สุดแล้วแต่ความชอบ แต่ผมก็เน้นย้ำเสมอว่า มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราควรจะวางแผน ตั้งแต่เนิ่นๆไว้ก็ดี อย่าให้ช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ หมดไปเพียงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
.
.
Past 3 งานแรกเลือกอย่างไรดี
.
วันๆเรียนแต่หนังสือ ไม่รู้หรอกอยากทำอาชีพอะไร ผมเชื่อว่าหลายคนไม่สามารถรู้จักตัวเองได้ ในขณะเรียน ไม่ใช่เราไม่มีสิ่งที่ถนัดหรือชอบ เพียงแต่แค่ยังไม่รู้ว่าเรามีสิ่งนั้นเท่านั้นเอง
.
การหางานแรกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควร ทำมันอย่างพิถีพิถัน กล่าวคือ ไม่ใช่แค่หว่านใบสมัครไปเยอะๆ ที่ไหนให้เงินเยอะสุด กูก็ไปที่นั้น ผมคิดว่าการทำงานแรก ที่หวังเพียงว่าจะได้เงินเดือนเยอะกว่า เพื่อนคนอื่น ไม่ใช่ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จระยะยาวในชีวิตการทำงาน ดังนั้น หากจะเลือกงานที่แรก เราก็ควรพิจารณาจาก ปัจจัยดังต่อไปนี้
. 1.งานที่เหมาะกับตัวเอง หากยังตอบไม่ได้ว่าชอบทำอะไร อย่างน้อยๆก็คุยกับตัวเองสักหน่อยว่า เราเป็นคนอย่างไร หากชอบพูด ชอบคุย ลองไปทำงานที่ต้องพบปะผู้คนไหม หากชอบงานเอกสารไม่ต้องยุ่งกับใคร ลองไปดูงาน back office ต่างๆ สำคัญตรงที่ว่า พอจะบอกตัวเองคร่าวๆให้ได้ว่า ฉันเหมาะกับงานแบบไหน วิธีการก็ไม่ยาก ก่อนไปสมัครงาน ลองเข้า www.job ต่างๆ ดูว่าแต่ละตำแหน่งเขาต้องการคนลักษณะไหน และค่อยๆคัดเลือกมาให้เหลือประมาณ 3-5 ตำแหน่งที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองดู จากนั้นก็โฟกัสไปสมัครงานที่เลือกมา มันก็จะช่วยตัดตัวเลือกสิ่งที่ไม่ตรงกับเราไปได้เยอะ
.
หรือไม่ก็ลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีนะ ลองไปทำดู https://www.16personalities.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E
.
.
. 2.การเรียนรู้มาก่อนเงิน หลายคนอาจจะเริ่มหมั่นไส้ว่า เงินไม่มีจะ- ยังจะให้หาความรู้อีกหรอ แต่ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ(วันที่ผมเรียนจบ ผมมีเงินทั้งตัวอยู่ 3000 บาท) ความรู้ในวัยอย่างพวกเรา สำคัญกว่าเงินเดือน งานบางงานเงินเดือนสูงกว่า แต่ทำอีก 10 ปี ก็ยังอยู่ที่เดิม เช่น งาน Call center บางที่ให้เริ่มต้นที่ 18000 ซึ่งสูงมากกว่าหลายตำแหน่ง ไม่ใช่งาน Call center ไม่ได้เรียนรู้นะ แต่ตอบตัวเองให้ได้ก่อนไปทำว่า เราจะไปเรียนรู้อะไรจากงานนั้น
“ผมอยากขอให้เราอดทนช่วง 2 ปีแรก เงินเดือนเอาให้พออยู่ไหว แต่ที่ต้องเอาให้มากคือกอบโกยความรู้ และเมื่อผ่าน 2 ปีแรกไป หากคุณเชี่ยวชาญในสายงานพอ ถึงวันนั้นคุณจะมีตัวเลือกมากขึ้นเอง”