. เชื่อว่าเด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ในสมัยนี้ ถ้าไม่ออกตามหา passion ด้วยการออกไปทำอะไรด้วยตนเอง หรือเจ้านายตัวเอง รักอิสระ ก็จะมีอีกจำพวกหนึ่งที่รักความมั่นคงด้วยการไปทำงานราชการ คราวนี้มันก็จะมีอีกก้อนใหญ่ ที่อยู่ระหว่างรักอิสระ กับไม่ค่อยอยากทำงานราชการ คนก้อนใหญ่ตรงนี้ส่วนมากก็มักจะไปลงเอยอยู่ที่ บริษัทเอกชน
.
. บริษัทเอกชนมีข้อดีอย่างไร สำหรับผมที่ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน ผมคิดว่า มันมีอิสระประมาณนึงคือ มีวันหยุดวันลาให้ได้พักผ่อน สองคือมันคล่องตัวกว่างานราชการ แถมเงินเดือนก็ใช้ได้ หากมีความสามารถดี
.
. ตอนจบใหม่ๆผมเคยมีความคิด และเชื่อว่าหลายๆคนก็คงมี คือการทำงานบริษัทเอกชนไปสักพัก และอยากออกไปทำอะไรที่เป็นของตนเอง แน่นอนว่าเราหลายคนไม่ได้มีต้นทุนชีวิตเพียงพอ ที่จะออกไปประกอบร่างสร้างตัวด้วยตนเองตั้งแต่จบใหม่ การทำงานประจำไปก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
.
. แต่เชื่อไหมครับว่า พอเวลาผ่านไป 2 ปี ความคิด ผู้ประกอบการของผมมันค่อยๆหายไป ด้วยเหตุผลที่ว่า การทำงานประจำมันก็สบายดีนะ ไม่ต้องเครียด วันหยุดได้หยุด แถมรายได้ก็ไม่เลว จนพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้
.
. ฟังดูเหมือนดี มันก็คงดีจริงๆแหละช่วงแรก เพราะเราไม่มีภาระหน้าที่ แถมต้องอย่าลืมว่าเด็กจบใหม่ๆส่วนใหญ่เรามีไฟแรง เรามีความคิดต่างๆมากมาย ที่บริษัทล้วนแต่ชอบความคิดสดใหม่ และพร้อมจะสูบไฟจากตัวเราตลอดเวลา
.
. แต่สิ่งที่ผมเห็นต่อมา คืออะไรรู้ไหมครับ ผมรู้สึกว่าไฟในตัวผมมันเริ่มน้อยลง ผมเคยสงสัยพี่ๆอายุ 30 40 หลายคนว่าทำไมทำงานแบบ เน้นเอาตัวรอดมากกว่าที่จะมานั่งคิดอะไรใหม่ๆตลอดเวลานะ
.
. ผม คิด คิด คิด และก็เหมือนเริ่มเห็นอะไรบางอย่าง…..มันเหมือนกลไกของระบบแรงงาน หลอกล่อให้เราตายใจในช่วงแรก มันดูเหมือนชีวิตดี๊ดี สิ้นเดือนมีเงินเหลือใช้ จนทำให้เราติดอยู่ในระบบ สิ่งที่สวนทางกันเมื่อเวลาผ่านไปคือ ความคิดสร้างสรรค์ ความอิสระ ที่สวนทางกับภาระหนี้สิน การหางานที่ยากเมื่ออายุมากขึ้น ที่เราเริ่มเผชิญ
.
...........บ้าน รถ ลูก ครอบครัว ผมคิดว่ามันคือบ่วงชั้นดีรัดตัวเรา ให้ไม่สามารถหลุดออกจากงานประจำได้.....................
.
. และมันก็มีตัวอย่างที่ผมเห็นหลายคน โดยเฉพาะคนในครอบครัวผม ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรามีภาระเต็มที่แล้ว สิ่งที่เราจะได้รับจากบริษัทเพิ่มขึ้นมาคือ ความกดดัน ผมเริ่มเห็นคนรอบตัวหลายคน ที่ทำงานไม่เข้าเป้า หรือเข้าตา เริ่มโดนกดดันให้ออกตลอดเวลา (แน่นอนไม่ใช่ทุกคน บางคนมีความสามารถก็ ไต่เต้าไปจนถึงระดับบริหาร แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีหลายคนที่อายุ 40 50 แต่ยังคงเป็น จนท.อยู่)
.
. เราโชคดีที่มีศาลแรงงานที่ส่วนใหญ่ช่วยเหลือลูกจ้าง แต่นายจ้างบางรายก็ฉลาดพอที่จะเอาคนออก โดนที่ไม่จำเป็นต้องไล่ออก กลับกันถ้าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเด็กจบใหม่ หรือบางคนที่ไม่มีภาระ เขาเหล่านั้นจะไม่ยอมให้บริษัทกดดันเขาได้เลย แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่มีภาระหนี้สิน
.
. คนรอบตัวหลายคนที่จำทนต้องอยู่เพราะเลือกไม่ได้ การหางานในวัย 40 ไม่ใช่เรื่องง่าย และมันคือเรื่องจริง ผมในฐานะ HR คนหนึ่ง การสัมภาษณ์คนอายุ 40 ถ้าไม่ใช้ระดับ manager ขึ้นไป โอกาสแทบจะน้อยมากที่บริษัทจะรับ ต่อให้เรียกเงินเดือนไม่สูก็ตาม
.
. ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์ที่พบเจอ และก็ได้ย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า……...เราจะทำอย่างไรไม่ให้ต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ (และมันคงจะดีถ้าสิ่งที่ผมคิด มันจะให้ความรู้เด็กจบใหม่ เช่นผมได้)
.
. ผมว่า 1 สิ่งที่สำคัญอันดับแรกคือ ความสามารถ ตราบใดที่เรามีความสามารถ ผมว่าเรายังคงมีอัตราต่อรองที่ดีกับบริษัทอยู่ หลายคนที่เจอก็ต้องยอมรับว่า เขาเหล่านั้นหยุดพัฒนาความรู้ความสามารถตนเองไปนานแล้ว คือเก่งแค่หน้างาน ถ้าหลุดจากหน้างานไป คือมีความกลัวที่จะลงมือทำ
.
คำถามต่อมาว่าแล้วทำไมเขาเหล่านั้นถึงหยุดพัฒนาความรู้ ผมว่าส่วนหนึ่งคือทัศนคติส่วนบุคคล แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมว่าสำคัญไม่แพ้กันคือ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ อยากรุ้ อยากทำไปซะทุกอย่าง ไม่เคยเกี่ยง สิ่งที่ได้กลับมาเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆคือ ทุกคนจะโยนงานที่หาคนรับผิดชอบไม่ได้มาให้เรา จากความอยากรู้เริ่มกลายเป็นความกลัว ความเหนื่อย และไม่อยากจะเสนอตัวเรียนรู้อะไรมาก เพราะการอยู่เงียบๆย่อมดีกว่าในบางครั้ง
.
. 2 ผมว่าภาระหนี้สิน คือตัวต่อรองที่ฝั่งบริษัทสามารถใช้ได้ดี ผมลองคิดดูว่าถ้าวันข้างหน้า ผมมีบ้านต้องกู้ มีรถต้องผ่อน มีลูกต้องเลี้ยง การลาออกคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ จะติดสินได้ด้วยความสบายใจ เหมือนในวันนี้แน่ๆ เพราะวันนี้ถ้าผมทนไม่ไหว ผมก็แค่เดินไปลาออก พร้อมมีเงินเก็บออมที่ยังพอใช้ได้อีกหลายเดือน และการหางานคงไม่ใช่เรื่องยากนัก
.
. และ 3 ผมมองไว้ 2 ตัวเลือก คือการมีอาชีพที่ 2 กับการถีบตัวเองขึ้นไปให้ได้ไกลที่สุดจนถึงระดับบริหาร เพราะอย่างน้อยวันหนึ่ง หากตอนที่มีอายุ 40-50 หากผมยังคงเป็นแค่ระดับ จนท. หัวหน้างาน คงยากที่จะตะลอนไปหางาน
.
. ผมเขียนทั้งหมดออกมาเพราะว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้......... วันที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 4 อยู่ดีๆ แม่ผมก็โดนเลิกจ้าง ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ให้คนที่อายุ 54 ที่มีภาระลูกต้องเลี้ยงดู 3 คนได้เตรียมตัว การเลิกจ้างช่วยบริษัทประหยัดค่าใช้จ่าย ในการไล่คนแก่ๆคนหนึ่งที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อบริษัทแล้ว โดยที่บริษัทไม่ได้มาสนใจหรอกว่า ผู้หญิงแก่ๆคนนั้นจะมีความลำบากแค่ไหนหลังโดนเลิกจ้าง
ผมก็หวังแค่ว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก อย่างน้อยๆก็กับตัวผม และกับคุณที่อ่านอยู่
"เงามืด" ของการทำงานบริษัทเอกชน
.
. บริษัทเอกชนมีข้อดีอย่างไร สำหรับผมที่ก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน ผมคิดว่า มันมีอิสระประมาณนึงคือ มีวันหยุดวันลาให้ได้พักผ่อน สองคือมันคล่องตัวกว่างานราชการ แถมเงินเดือนก็ใช้ได้ หากมีความสามารถดี
.
. ตอนจบใหม่ๆผมเคยมีความคิด และเชื่อว่าหลายๆคนก็คงมี คือการทำงานบริษัทเอกชนไปสักพัก และอยากออกไปทำอะไรที่เป็นของตนเอง แน่นอนว่าเราหลายคนไม่ได้มีต้นทุนชีวิตเพียงพอ ที่จะออกไปประกอบร่างสร้างตัวด้วยตนเองตั้งแต่จบใหม่ การทำงานประจำไปก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี
.
. แต่เชื่อไหมครับว่า พอเวลาผ่านไป 2 ปี ความคิด ผู้ประกอบการของผมมันค่อยๆหายไป ด้วยเหตุผลที่ว่า การทำงานประจำมันก็สบายดีนะ ไม่ต้องเครียด วันหยุดได้หยุด แถมรายได้ก็ไม่เลว จนพอเลี้ยงตัวเองอยู่ได้
.
. ฟังดูเหมือนดี มันก็คงดีจริงๆแหละช่วงแรก เพราะเราไม่มีภาระหน้าที่ แถมต้องอย่าลืมว่าเด็กจบใหม่ๆส่วนใหญ่เรามีไฟแรง เรามีความคิดต่างๆมากมาย ที่บริษัทล้วนแต่ชอบความคิดสดใหม่ และพร้อมจะสูบไฟจากตัวเราตลอดเวลา
.
. แต่สิ่งที่ผมเห็นต่อมา คืออะไรรู้ไหมครับ ผมรู้สึกว่าไฟในตัวผมมันเริ่มน้อยลง ผมเคยสงสัยพี่ๆอายุ 30 40 หลายคนว่าทำไมทำงานแบบ เน้นเอาตัวรอดมากกว่าที่จะมานั่งคิดอะไรใหม่ๆตลอดเวลานะ
.
. ผม คิด คิด คิด และก็เหมือนเริ่มเห็นอะไรบางอย่าง…..มันเหมือนกลไกของระบบแรงงาน หลอกล่อให้เราตายใจในช่วงแรก มันดูเหมือนชีวิตดี๊ดี สิ้นเดือนมีเงินเหลือใช้ จนทำให้เราติดอยู่ในระบบ สิ่งที่สวนทางกันเมื่อเวลาผ่านไปคือ ความคิดสร้างสรรค์ ความอิสระ ที่สวนทางกับภาระหนี้สิน การหางานที่ยากเมื่ออายุมากขึ้น ที่เราเริ่มเผชิญ
.
...........บ้าน รถ ลูก ครอบครัว ผมคิดว่ามันคือบ่วงชั้นดีรัดตัวเรา ให้ไม่สามารถหลุดออกจากงานประจำได้.....................
.
. และมันก็มีตัวอย่างที่ผมเห็นหลายคน โดยเฉพาะคนในครอบครัวผม ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรามีภาระเต็มที่แล้ว สิ่งที่เราจะได้รับจากบริษัทเพิ่มขึ้นมาคือ ความกดดัน ผมเริ่มเห็นคนรอบตัวหลายคน ที่ทำงานไม่เข้าเป้า หรือเข้าตา เริ่มโดนกดดันให้ออกตลอดเวลา (แน่นอนไม่ใช่ทุกคน บางคนมีความสามารถก็ ไต่เต้าไปจนถึงระดับบริหาร แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีหลายคนที่อายุ 40 50 แต่ยังคงเป็น จนท.อยู่)
.
. เราโชคดีที่มีศาลแรงงานที่ส่วนใหญ่ช่วยเหลือลูกจ้าง แต่นายจ้างบางรายก็ฉลาดพอที่จะเอาคนออก โดนที่ไม่จำเป็นต้องไล่ออก กลับกันถ้าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเด็กจบใหม่ หรือบางคนที่ไม่มีภาระ เขาเหล่านั้นจะไม่ยอมให้บริษัทกดดันเขาได้เลย แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่มีภาระหนี้สิน
.
. คนรอบตัวหลายคนที่จำทนต้องอยู่เพราะเลือกไม่ได้ การหางานในวัย 40 ไม่ใช่เรื่องง่าย และมันคือเรื่องจริง ผมในฐานะ HR คนหนึ่ง การสัมภาษณ์คนอายุ 40 ถ้าไม่ใช้ระดับ manager ขึ้นไป โอกาสแทบจะน้อยมากที่บริษัทจะรับ ต่อให้เรียกเงินเดือนไม่สูก็ตาม
.
. ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์ที่พบเจอ และก็ได้ย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า……...เราจะทำอย่างไรไม่ให้ต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ (และมันคงจะดีถ้าสิ่งที่ผมคิด มันจะให้ความรู้เด็กจบใหม่ เช่นผมได้)
.
. ผมว่า 1 สิ่งที่สำคัญอันดับแรกคือ ความสามารถ ตราบใดที่เรามีความสามารถ ผมว่าเรายังคงมีอัตราต่อรองที่ดีกับบริษัทอยู่ หลายคนที่เจอก็ต้องยอมรับว่า เขาเหล่านั้นหยุดพัฒนาความรู้ความสามารถตนเองไปนานแล้ว คือเก่งแค่หน้างาน ถ้าหลุดจากหน้างานไป คือมีความกลัวที่จะลงมือทำ
.
คำถามต่อมาว่าแล้วทำไมเขาเหล่านั้นถึงหยุดพัฒนาความรู้ ผมว่าส่วนหนึ่งคือทัศนคติส่วนบุคคล แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมว่าสำคัญไม่แพ้กันคือ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาทำงานใหม่ๆ อยากรุ้ อยากทำไปซะทุกอย่าง ไม่เคยเกี่ยง สิ่งที่ได้กลับมาเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆคือ ทุกคนจะโยนงานที่หาคนรับผิดชอบไม่ได้มาให้เรา จากความอยากรู้เริ่มกลายเป็นความกลัว ความเหนื่อย และไม่อยากจะเสนอตัวเรียนรู้อะไรมาก เพราะการอยู่เงียบๆย่อมดีกว่าในบางครั้ง
.
. 2 ผมว่าภาระหนี้สิน คือตัวต่อรองที่ฝั่งบริษัทสามารถใช้ได้ดี ผมลองคิดดูว่าถ้าวันข้างหน้า ผมมีบ้านต้องกู้ มีรถต้องผ่อน มีลูกต้องเลี้ยง การลาออกคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ จะติดสินได้ด้วยความสบายใจ เหมือนในวันนี้แน่ๆ เพราะวันนี้ถ้าผมทนไม่ไหว ผมก็แค่เดินไปลาออก พร้อมมีเงินเก็บออมที่ยังพอใช้ได้อีกหลายเดือน และการหางานคงไม่ใช่เรื่องยากนัก
.
. และ 3 ผมมองไว้ 2 ตัวเลือก คือการมีอาชีพที่ 2 กับการถีบตัวเองขึ้นไปให้ได้ไกลที่สุดจนถึงระดับบริหาร เพราะอย่างน้อยวันหนึ่ง หากตอนที่มีอายุ 40-50 หากผมยังคงเป็นแค่ระดับ จนท. หัวหน้างาน คงยากที่จะตะลอนไปหางาน
.
. ผมเขียนทั้งหมดออกมาเพราะว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้......... วันที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 4 อยู่ดีๆ แม่ผมก็โดนเลิกจ้าง ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ให้คนที่อายุ 54 ที่มีภาระลูกต้องเลี้ยงดู 3 คนได้เตรียมตัว การเลิกจ้างช่วยบริษัทประหยัดค่าใช้จ่าย ในการไล่คนแก่ๆคนหนึ่งที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อบริษัทแล้ว โดยที่บริษัทไม่ได้มาสนใจหรอกว่า ผู้หญิงแก่ๆคนนั้นจะมีความลำบากแค่ไหนหลังโดนเลิกจ้าง
ผมก็หวังแค่ว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก อย่างน้อยๆก็กับตัวผม และกับคุณที่อ่านอยู่