สวัสดีค่ะ เนื่องจากเราได้ประสบการณ์ไปสอบ PTE ครั้งแรกในกรุงเทพฯ และคิดว่าคนไทยรู้จัก PTE น้อยมากๆ เลยอยากจะมารีวิวให้ฟังกันค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ PTE ย่อมาจาก Pearson Test of English เป็นการสอบวัดผลทางด้านภาษาอังกฤษที่เริ่มมีขึ้นเมื่อปี 2009 นอกจากเราจะยื่น PTE เพื่อการเรียนต่อได้แล้วยังสามารถใช้ผล PTE ในการยื่นขอสัญชาติในประเทศต่างๆ ได้อีกด้วย (ไม่ต่างอะไรกับ IELTS และ TOEFL เลยนะ) การสอบ PTE จะเป็นการสอบกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมดและให้คะแนนโดยคอมพิวเตอร์ค่ะ คนไทยยังไม่รู้จัก PTE มากนัก เราจะคุ้นเคยกับ IELTS และ TOEFL มากกว่า แต่เพื่อนเราที่เป็นคนจีนบอกว่าที่จีนเค้าใช้ผลสอบ PTE เพื่อเรียนต่อต่างประเทศกันเยอะมากค่ะ อยากให้เราลองไปสอบดู เราเองเคยสอบ IELTS มาครั้งหนึ่งค่ะ ได้คะแนนรวม 5 คะแนน แต่แต่ละพาร์ทคะแนนต่างกันมากเพราะเราอ่อน Reading กับ Writing ค่ะ
พอดีหลังจบป.ตรีที่ไทยเรามีแผนอยากจะไปเรียนต่อ Diploma ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเราสามารถใช้คะแนน PTE ยื่นได้เช่นกัน โดยที่คะแนนที่เราต้องการคือทุกพาร์ทไม่ต่ำกว่า 36 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 5) และคะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 42 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 5.5/ PTE คะแนนเต็ม 90 นะคะ) ซึ่งการไปสอบในครั้งนี้ถือว่าเป็นการลองข้อสอบก่อนค่ะเพราะเรายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ เราไม่คาดหวังมาก ไม่ผ่านไม่เป็นไรเพราะยังมีเวลาอีกเยอะกว่าเราจะยื่นเรื่องไปเรียนที่ออสเตรเลียค่ะ เราคิดว่าเราอยากลองไปสอบก่อนว่าเป็นยังไง ถ้าไม่ผ่านเราก็จะหาที่ติวเรียน PTE ทีหลังก็ไม่เสียหายค่ะ
วิธีการสมัครสอบ PTE
สามารถเข้าไปสมัครสอบได้ที่
https://pearsonpte.com/ หลังจากเราลงทะเบียนและมี Account เรียบร้อยแล้วเราถึงจะสมัครสอบได้ค่ะ ที่ประเทศไทยมีศูนย์สอบที่เดียวค่ะอยู่ที่ Bangkok Business Building แถว BTS อโศก เราสามารถเลือกวันเวลาสอบได้ เมื่อกดยืนยันแล้วก็จะตัดเงินผ่านบัตรเครดิตค่ะ ค่าสมัครสอบ USD $200 ค่ะ
สำหรับวิดีโอแนะนำข้อสอบ PTE ก็เข้าไปดูได้เลยที่เว็บไซต์ที่เราสมัครสอบ เค้าจะมีบอกเลยว่าแต่ละพาร์ทมีออกอะไรบ้าง ข้อสอบเป็นประมาณไหน โดยข้อสอบของ PTE ก็จะมีการสอบ Reading, Writing, Speaking และ Listening เหมือนข้อสอบ IELTS นี่แหละค่ะ เพียงการให้คะแนนในแต่ละพาร์ทจะปนๆ กัน ในที่นี้เราจะไม่ขอรีวิวนะคะเพราะคิดว่าเว็บไซต์ PTE ทั่วไปมีรายละเอียดแล้วบอกแล้ว เราอยากจะมาโพสรีวิวประสบการณ์ในการสอบมากกว่าค่ะ
วันสอบ
และแล้วก็มาถึงวันสอบค่ะ อย่าลืมเอา Passport ไปด้วยนะคะเพราะเราต้องใช้ยืนยันตัวตน เราสอบ 11.00 น.ค่ะ ความแปลกคือเค้าไม่ได้บอกเวลาสอบเสร็จแน่นอน ตอนแรกเราก็เดาว่า 3 ชั่วโมง เราก็เตรียมตัวไหว้พระก่อนออกจากบ้าน (ฮ่าๆๆ) เรานั่ง BTS มาลงสถานีอโศกแล้วต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลง BB Building ค่ะ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ชั้น 10 ช่วงที่เราไปสอบยังเป็นช่วงโควิดตึกก็เลยเงียบเหงาเพราะบางบริษัทก็ปิดชั่วคราว บริษัทที่สอบ PTE ชื่อ PEARSON PROFESSIONAL CENTERS ค่ะหาไม่ยาก ตอนไปถึงอึ้งมากคือบริษัทเล็กมากค่ะ ส่วน Reception คนรอได้ประมาณ 8 คน วันที่เราไปสอบมีคนสอบ 3 คนค่ะ แต่เจ้าหน้าที่บอกปกติจะเต็มแต่เพราะโควิดคนเลยน้อย พอถึงก็ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ ถ่ายรูป สักพักเค้าก็เรียกเราเข้าห้องสอบค่ะ จะมีการสแกนลายนิ้วมือทุกครั้งก่อนเข้าและออกจากห้องสอบ พอทุกคนมาแล้วก็เข้าห้องสอบกันค่ะ ในห้องสอบสามารถนั่งสอบได้ทั้งหมด 6 คน เท่าที่แอบดูผ่านๆ มีห้องสอบทั้งหมดประมาณ 3 ห้องนะคะ มันยังมีห้องสอบมากกว่านี้หรือเปล่าเราไม่แน่ใจค่ะ
พอเรานั่งลงเค้าก็จะมีการให้เราเช็คเสียงหูฟังและสปีคเกอร์ค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงโควิดเราต้องใส่หน้ากากสอบค่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหากับเสียงพูดนะคะเราลองเทสแล้ว เค้ามีเวลาเล็กน้อยให้เราลองพูดแนะนำตัว (แต่ส่วนนี้ไม่มีคะแนนค่ะ) เราก็ฝึกพูด เสียงจากผู้สอบคนอื่นๆ เราได้ยินแต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนสมาธินะคะเพราะ หูฟังมันครอบหูเราไปหมดค่ะ แถมเราเปิดเสียงให้ดังมากด้วยเลยไม่ถือว่ารบกวนหรือเป็นปัญหา นอกจากนี้เสียงเวลาผู้สอบคนอื่นๆ กดแป้นพิมก็ไม่ได้รบกวนเราเลยค่ะ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เรากังวลมากจากการอ่านรีวิวคนอื่นๆ มาก่อนหน้าว่าเสียงผู้สอบคนอื่นๆ ดังและเสียงพิมก็รบกวนสมาธิในการสอบ แต่จุดนี้ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเราเลยค่ะ
เราจะได้ทำพาร์ท Speaking, Writing และ Reading ค่ะ ซึ่งเวลารวมประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้วจะมีการพักเบรก 10 นาที ใครจะเบรกก็ได้หรือจะไปทำพาร์ท Listening ต่อเลยก็ได้ค่ะ แต่เราแนะนำว่าให้ไปห้องน้ำ ไปยืดเส้นค่ะ มันเป็นการดีมากค่ะที่เราจะได้ไปขยับไปยืดเส้นไปพักสายตาบ้าง
หลังจากเบรกกลับมาก็มาทำพาร์ท Listening ค่ะเป็นพาร์ทสุดท้าย ความเห็นเราเราว่าพาร์ท Listening ของ PTE ยากกว่า IELTS ค่ะเพราะ IELTS บทสนทนาจะพูดชัด ไม่มีเสียงรบกวน เป็นเสียงที่เหมือนอัดในห้องอัด แต่ของ PTE เหมือนเค้าไปเอามาจากคนพูดจริงๆ การบรรยายจริงๆ ค่ะ มันจะมีเสียงรบกวนอื่นๆ หรือการที่คนพูดพูดติดขัดบ้างเหมือนไม่ได้ท่องมาค่ะ แถมยังพูดเร็วมากด้วยซึ่งเราผู้เชี่ยวชาญในพาร์ท Listening มาก่อนยังบอกได้เลยว่า PTE ยากกว่า IELTS แน่นอนค่ะ
ส่วน Speaking ส่วนที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือ Read Aloud ค่ะ เราทำได้แบบชิวๆ คำศัพท์ไม่ยาก แม้ไม่รู้ความหมายแต่คือถ้าอ่านออกก็พอถูไถไปได้ค่ะ ถ้าถามเราว่าข้อสอบอะไรง่ายสุดใน PTE สำหรับเราเราว่าคือ Read Aloud ในพาร์ท Speaking กับ Highlight Incorrect Words ในพาร์ท Listening ค่ะ (Highlight Incorrect Words เราจะเห็นข้อความสั้นๆ และจะมีเสียงพูดตามข้อความที่เราเห็น เราจะต้องคลิ๊กคำที่ผิดในข้อความจากเสียงที่เราได้ยิน)
ถ้าเราทำเสร็จก่อนเราก็สามารถออกจากห้องสอบก่อนได้ค่ะ เราทำเสร็จคนแรกเราใช้เวลาสอบไปทั้งหมดแค่ 3 ชั่วโมง ก็ยกมือแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาทำการเซฟข้อสอบเรา..เราก็สแกนมือแล้วก็กลับบ้านไปรอผลทางอีเมล์ได้ค่ะ เค้าบอกใช้เวลา 5 วันก็ทราบผลแล้วค่ะ อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างจากการสอบ IELTS คือหลังสอบ PTE เราไม่เหนื่อยเลยค่ะ มีแรงไปเดิน Terminal21 ต่อได้อีก จำได้ว่าตอนสอบ IELTS หลังสอบเสร็จเหนื่อยมาก...เหนื่อยสายตัวแทบขาด เหมือนสมองโดนรีดไปใช้จนหมดแต่หลังสอบ PTE คือชิวมากค่ะ
เราไปสอบวันเสาร์ วันพุธต่อมาเราก็ทราบผลแล้วค่ะ เร็วกว่า 5 วันอีก...พอผลออกมาแทบกรี๊ดค่ะ...คือช็อกมาก เราได้คะแนนรวม 53 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 6) โดย Listening ได้ 46 (IELTS 5.5), Reading 60 (IELTS 6) ,Speaking 50 (IELTS 6), Writing 53 (IELTS 6) มือเราสั่นมากตอนเห็นคะแนนเพราะเราแทบไม่ได้เตรียมตัวสอบ PTE มาก่อนเลย พอสอบ PTE แล้วผ่านทุกพาร์ทได้คะแนนเกิน (IELTS 5.5) คือปลื้มปริ่มมากค่ะ...เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยด้วยซ้ำ (ฮ่าๆๆ)
สำหรับเราถ้าถามว่าระหว่าง PTE กับ IELTS อันไหนยากง่ายกว่ากันตอบยากค่ะ เราอยากให้ลองไปสอบเองแล้วดูมากกว่าว่าเราถนัดอันไหนก็ลองฝึกฝนไปทางนั้น อย่างเราสอบ IELTS มาก่อนแล้วคะแนนบางพาร์ทไม่เกิน 5 แต่ PTE ข้อสอบอย่างที่เคยบอกว่าการให้คะแนนแต่ละพาร์ทมันไม่ได้แยกชัดเจนแบบ IELTS บางพาร์ทมันมีการให้คะแนนสองพาร์ทปนๆ กัน ทำให้คะแนนแต่ละพาร์ทของเราไม่ได้ต่ำจนเกินไปหรือโดดสูงเกินไปอยู่พาร์ทเดียว เพราะฉะนั้นใครที่จะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วต้องการคะแนนภาษาอังกฤษ ถ้าเคยสอบ IELTS ไม่ผ่านสักทีลองมาสอบ PTE ดูก็ได้ค่ะ เราว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เสียหาย ราคาพอๆ กัน อย่าเพิ่งไปฟังคนอื่นพูดเยอะ ลองมาสอบดูด้วยตัวเอง ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ค่ะ หวังว่ารีวิวทั้งหมดของเราจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ
รีวิวสอบ PTE ครั้งแรกในไทย..ครั้งเดียวผ่านฉลุย!
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ PTE ย่อมาจาก Pearson Test of English เป็นการสอบวัดผลทางด้านภาษาอังกฤษที่เริ่มมีขึ้นเมื่อปี 2009 นอกจากเราจะยื่น PTE เพื่อการเรียนต่อได้แล้วยังสามารถใช้ผล PTE ในการยื่นขอสัญชาติในประเทศต่างๆ ได้อีกด้วย (ไม่ต่างอะไรกับ IELTS และ TOEFL เลยนะ) การสอบ PTE จะเป็นการสอบกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมดและให้คะแนนโดยคอมพิวเตอร์ค่ะ คนไทยยังไม่รู้จัก PTE มากนัก เราจะคุ้นเคยกับ IELTS และ TOEFL มากกว่า แต่เพื่อนเราที่เป็นคนจีนบอกว่าที่จีนเค้าใช้ผลสอบ PTE เพื่อเรียนต่อต่างประเทศกันเยอะมากค่ะ อยากให้เราลองไปสอบดู เราเองเคยสอบ IELTS มาครั้งหนึ่งค่ะ ได้คะแนนรวม 5 คะแนน แต่แต่ละพาร์ทคะแนนต่างกันมากเพราะเราอ่อน Reading กับ Writing ค่ะ
พอดีหลังจบป.ตรีที่ไทยเรามีแผนอยากจะไปเรียนต่อ Diploma ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเราสามารถใช้คะแนน PTE ยื่นได้เช่นกัน โดยที่คะแนนที่เราต้องการคือทุกพาร์ทไม่ต่ำกว่า 36 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 5) และคะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 42 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 5.5/ PTE คะแนนเต็ม 90 นะคะ) ซึ่งการไปสอบในครั้งนี้ถือว่าเป็นการลองข้อสอบก่อนค่ะเพราะเรายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ เราไม่คาดหวังมาก ไม่ผ่านไม่เป็นไรเพราะยังมีเวลาอีกเยอะกว่าเราจะยื่นเรื่องไปเรียนที่ออสเตรเลียค่ะ เราคิดว่าเราอยากลองไปสอบก่อนว่าเป็นยังไง ถ้าไม่ผ่านเราก็จะหาที่ติวเรียน PTE ทีหลังก็ไม่เสียหายค่ะ
วิธีการสมัครสอบ PTE
สามารถเข้าไปสมัครสอบได้ที่ https://pearsonpte.com/ หลังจากเราลงทะเบียนและมี Account เรียบร้อยแล้วเราถึงจะสมัครสอบได้ค่ะ ที่ประเทศไทยมีศูนย์สอบที่เดียวค่ะอยู่ที่ Bangkok Business Building แถว BTS อโศก เราสามารถเลือกวันเวลาสอบได้ เมื่อกดยืนยันแล้วก็จะตัดเงินผ่านบัตรเครดิตค่ะ ค่าสมัครสอบ USD $200 ค่ะ
สำหรับวิดีโอแนะนำข้อสอบ PTE ก็เข้าไปดูได้เลยที่เว็บไซต์ที่เราสมัครสอบ เค้าจะมีบอกเลยว่าแต่ละพาร์ทมีออกอะไรบ้าง ข้อสอบเป็นประมาณไหน โดยข้อสอบของ PTE ก็จะมีการสอบ Reading, Writing, Speaking และ Listening เหมือนข้อสอบ IELTS นี่แหละค่ะ เพียงการให้คะแนนในแต่ละพาร์ทจะปนๆ กัน ในที่นี้เราจะไม่ขอรีวิวนะคะเพราะคิดว่าเว็บไซต์ PTE ทั่วไปมีรายละเอียดแล้วบอกแล้ว เราอยากจะมาโพสรีวิวประสบการณ์ในการสอบมากกว่าค่ะ
วันสอบ
และแล้วก็มาถึงวันสอบค่ะ อย่าลืมเอา Passport ไปด้วยนะคะเพราะเราต้องใช้ยืนยันตัวตน เราสอบ 11.00 น.ค่ะ ความแปลกคือเค้าไม่ได้บอกเวลาสอบเสร็จแน่นอน ตอนแรกเราก็เดาว่า 3 ชั่วโมง เราก็เตรียมตัวไหว้พระก่อนออกจากบ้าน (ฮ่าๆๆ) เรานั่ง BTS มาลงสถานีอโศกแล้วต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลง BB Building ค่ะ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ชั้น 10 ช่วงที่เราไปสอบยังเป็นช่วงโควิดตึกก็เลยเงียบเหงาเพราะบางบริษัทก็ปิดชั่วคราว บริษัทที่สอบ PTE ชื่อ PEARSON PROFESSIONAL CENTERS ค่ะหาไม่ยาก ตอนไปถึงอึ้งมากคือบริษัทเล็กมากค่ะ ส่วน Reception คนรอได้ประมาณ 8 คน วันที่เราไปสอบมีคนสอบ 3 คนค่ะ แต่เจ้าหน้าที่บอกปกติจะเต็มแต่เพราะโควิดคนเลยน้อย พอถึงก็ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ ถ่ายรูป สักพักเค้าก็เรียกเราเข้าห้องสอบค่ะ จะมีการสแกนลายนิ้วมือทุกครั้งก่อนเข้าและออกจากห้องสอบ พอทุกคนมาแล้วก็เข้าห้องสอบกันค่ะ ในห้องสอบสามารถนั่งสอบได้ทั้งหมด 6 คน เท่าที่แอบดูผ่านๆ มีห้องสอบทั้งหมดประมาณ 3 ห้องนะคะ มันยังมีห้องสอบมากกว่านี้หรือเปล่าเราไม่แน่ใจค่ะ
พอเรานั่งลงเค้าก็จะมีการให้เราเช็คเสียงหูฟังและสปีคเกอร์ค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงโควิดเราต้องใส่หน้ากากสอบค่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหากับเสียงพูดนะคะเราลองเทสแล้ว เค้ามีเวลาเล็กน้อยให้เราลองพูดแนะนำตัว (แต่ส่วนนี้ไม่มีคะแนนค่ะ) เราก็ฝึกพูด เสียงจากผู้สอบคนอื่นๆ เราได้ยินแต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนสมาธินะคะเพราะ หูฟังมันครอบหูเราไปหมดค่ะ แถมเราเปิดเสียงให้ดังมากด้วยเลยไม่ถือว่ารบกวนหรือเป็นปัญหา นอกจากนี้เสียงเวลาผู้สอบคนอื่นๆ กดแป้นพิมก็ไม่ได้รบกวนเราเลยค่ะ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เรากังวลมากจากการอ่านรีวิวคนอื่นๆ มาก่อนหน้าว่าเสียงผู้สอบคนอื่นๆ ดังและเสียงพิมก็รบกวนสมาธิในการสอบ แต่จุดนี้ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเราเลยค่ะ
เราจะได้ทำพาร์ท Speaking, Writing และ Reading ค่ะ ซึ่งเวลารวมประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ แล้วจะมีการพักเบรก 10 นาที ใครจะเบรกก็ได้หรือจะไปทำพาร์ท Listening ต่อเลยก็ได้ค่ะ แต่เราแนะนำว่าให้ไปห้องน้ำ ไปยืดเส้นค่ะ มันเป็นการดีมากค่ะที่เราจะได้ไปขยับไปยืดเส้นไปพักสายตาบ้าง
หลังจากเบรกกลับมาก็มาทำพาร์ท Listening ค่ะเป็นพาร์ทสุดท้าย ความเห็นเราเราว่าพาร์ท Listening ของ PTE ยากกว่า IELTS ค่ะเพราะ IELTS บทสนทนาจะพูดชัด ไม่มีเสียงรบกวน เป็นเสียงที่เหมือนอัดในห้องอัด แต่ของ PTE เหมือนเค้าไปเอามาจากคนพูดจริงๆ การบรรยายจริงๆ ค่ะ มันจะมีเสียงรบกวนอื่นๆ หรือการที่คนพูดพูดติดขัดบ้างเหมือนไม่ได้ท่องมาค่ะ แถมยังพูดเร็วมากด้วยซึ่งเราผู้เชี่ยวชาญในพาร์ท Listening มาก่อนยังบอกได้เลยว่า PTE ยากกว่า IELTS แน่นอนค่ะ
ส่วน Speaking ส่วนที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือ Read Aloud ค่ะ เราทำได้แบบชิวๆ คำศัพท์ไม่ยาก แม้ไม่รู้ความหมายแต่คือถ้าอ่านออกก็พอถูไถไปได้ค่ะ ถ้าถามเราว่าข้อสอบอะไรง่ายสุดใน PTE สำหรับเราเราว่าคือ Read Aloud ในพาร์ท Speaking กับ Highlight Incorrect Words ในพาร์ท Listening ค่ะ (Highlight Incorrect Words เราจะเห็นข้อความสั้นๆ และจะมีเสียงพูดตามข้อความที่เราเห็น เราจะต้องคลิ๊กคำที่ผิดในข้อความจากเสียงที่เราได้ยิน)
ถ้าเราทำเสร็จก่อนเราก็สามารถออกจากห้องสอบก่อนได้ค่ะ เราทำเสร็จคนแรกเราใช้เวลาสอบไปทั้งหมดแค่ 3 ชั่วโมง ก็ยกมือแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาทำการเซฟข้อสอบเรา..เราก็สแกนมือแล้วก็กลับบ้านไปรอผลทางอีเมล์ได้ค่ะ เค้าบอกใช้เวลา 5 วันก็ทราบผลแล้วค่ะ อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างจากการสอบ IELTS คือหลังสอบ PTE เราไม่เหนื่อยเลยค่ะ มีแรงไปเดิน Terminal21 ต่อได้อีก จำได้ว่าตอนสอบ IELTS หลังสอบเสร็จเหนื่อยมาก...เหนื่อยสายตัวแทบขาด เหมือนสมองโดนรีดไปใช้จนหมดแต่หลังสอบ PTE คือชิวมากค่ะ
เราไปสอบวันเสาร์ วันพุธต่อมาเราก็ทราบผลแล้วค่ะ เร็วกว่า 5 วันอีก...พอผลออกมาแทบกรี๊ดค่ะ...คือช็อกมาก เราได้คะแนนรวม 53 คะแนน (เทียบเท่า IELTS 6) โดย Listening ได้ 46 (IELTS 5.5), Reading 60 (IELTS 6) ,Speaking 50 (IELTS 6), Writing 53 (IELTS 6) มือเราสั่นมากตอนเห็นคะแนนเพราะเราแทบไม่ได้เตรียมตัวสอบ PTE มาก่อนเลย พอสอบ PTE แล้วผ่านทุกพาร์ทได้คะแนนเกิน (IELTS 5.5) คือปลื้มปริ่มมากค่ะ...เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลยด้วยซ้ำ (ฮ่าๆๆ)
สำหรับเราถ้าถามว่าระหว่าง PTE กับ IELTS อันไหนยากง่ายกว่ากันตอบยากค่ะ เราอยากให้ลองไปสอบเองแล้วดูมากกว่าว่าเราถนัดอันไหนก็ลองฝึกฝนไปทางนั้น อย่างเราสอบ IELTS มาก่อนแล้วคะแนนบางพาร์ทไม่เกิน 5 แต่ PTE ข้อสอบอย่างที่เคยบอกว่าการให้คะแนนแต่ละพาร์ทมันไม่ได้แยกชัดเจนแบบ IELTS บางพาร์ทมันมีการให้คะแนนสองพาร์ทปนๆ กัน ทำให้คะแนนแต่ละพาร์ทของเราไม่ได้ต่ำจนเกินไปหรือโดดสูงเกินไปอยู่พาร์ทเดียว เพราะฉะนั้นใครที่จะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้วต้องการคะแนนภาษาอังกฤษ ถ้าเคยสอบ IELTS ไม่ผ่านสักทีลองมาสอบ PTE ดูก็ได้ค่ะ เราว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เสียหาย ราคาพอๆ กัน อย่าเพิ่งไปฟังคนอื่นพูดเยอะ ลองมาสอบดูด้วยตัวเอง ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ค่ะ หวังว่ารีวิวทั้งหมดของเราจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนนะคะ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ