ชาวพุทธอย่าสอนให้งมงาย

คือมันมีกระแสการสอนศาสนาพุทธแบบงมงายแพร่กระจายอยู่เยอะในเรื่องว่าต้องเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้าถ้าจะนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมันผิดเลยกับแนวทางที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนาพุทธ ตัวอย่างง่ายๆก็ลองนึกถึงกาลามสูตรที่พุทธสอนไว้เรื่องการไม่เชื่ออะไรง่ายๆ 10 ข้อนั่น หรือสติปัฏฐาน ๔ ทางสายหลักเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ก็เกี่ยวกับการมีสติ เกี่ยวกับการพิจารณาความจริงณ ปัจจุบันนี้แทบจะทั้งนั้น(ถ้าไม่ทั้งหมด ผมอาจจะจำตกหล่นบางข้อ) แต่ที่แน่ๆคือไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเชื่อนรก สวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า เช่น การมีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก มีสติอยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถต่างๆ หรือพิจารณากายนี้เป็นของสกปรก หรือพิจารณากายนี้โดยความเป็นธาตุได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ... และอีกเยอะแยะ สามารถอ่านได้ในสติปัฏฐานสูตร
 
แต่คงเพราะเหตุสำคัญอันนึงคือมีพระสูตรที่พุทธสอนว่าให้เชื่อนรกสวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า ที่ชื่อว่ามหาจัตตารีสกสูตร แล้วหลายท่านก็ยึดเฉพาะพระสูตรคำสอนนี้ ไม่ฟังหรือลืมหรือไม่เอามาประกอบกับคำสอนพุทธคำสอนอื่น เลยเกิดการสับสนขัดแย้งกันเองโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เผยแพร่ผิดๆออกไป บางส่วนจากพระสูตรนี้ดังนี้ 
....
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกมีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
....
ซึ่งก็อย่างที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าต้องดูว่าพุทธสอนใครอยู่ กำลังสอนประเด็นอะไร เพื่อจะได้เข้าใจได้ถูกต้อง 
ซึ่งพุทธก็มีสอนสัมมาทิฐิ ดังอย่างข้างล่างนี้ด้วย
[๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นไฉน? อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
จาก สติปัฏฐานสูตร ที่ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=12&A=1754
 
โดยความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์ ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พุทธก็ได้สอนในข้อ 146-149 ตามลำดับตามในพระสูตรนี้
ซึ่งก็ทำนองเดียวกับใน มหาสติปัฏฐานสูตรด้วย ที่ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=10&A=6257
ซึ่งสัมมาทิฐิตามพระสูตรที่ว่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องเหนือชีวิตปัจจุบันนี้เลย
 
หรือจากอนัตตลักขณสูตร ที่ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=4&A=479
พุทธสอนให้เห็นด้วยปัญญาอันชอบ(สัมมาทิฏฐิ) ตามความเป็นจริงคือ เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
  
ทั้งจากในพระสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร ที่ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753
พระสารีบุตรได้อธิบายสัมมาทิฐิไว้ในหลายๆความหมายเลย ไม่ใช่ว่ามีได้แค่ความหมายเดียว (มีพระพุทธเจ้าอยู่ณ ที่นั้นด้วย)
(อ่านแบบสรุปได้ง่ายขึ้นที่ https://th.wikipedia.org/wiki/สัมมาทิฐิ)
 
 และที่สำคัญพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ผู้ที่ถือเป็นพระผู้รอบรู้ยิ่งในพระไตรปิฏก ท่านได้ศีกษาในประเด็นนี้และได้เขียนไว้ในหนังสือ “นรก-สวรรค์ในพระไตรปิฎก” อ่านได้ที่ https://www.watnyanaves.net/uploads/File/books/pdf/heaven-hell_in_phra_tripitaka.pdf
จากหนังสือผมก็สรุปได้ประมาณว่ามันสำคัญที่เวลานี้ชาตินี้ ให้ปฏิบัติเลย คนที่เชื่อก็ไม่ผิดเพราะมันมีอยู่จริงตามคำสอนพุทธในพระไตรปิฏก คนไม่เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อถึงจะปฏิบัติได้ เพราะผลจากการปฏิบัติมันสามารถได้ตอนนี้ ชาตินี้เลย
อย่างสมาธิก็เป็นที่ยอมรับแม้ทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ว่ามันช่วยเราได้จริง
ศีล มันต้องรออะไรหล่ะ ก็ปฏิบัติได้เลย สมาธิ ก็ต้องรออะไรหล่ะ ก็ปฏิบัติได้เลย ปัญญา ก็ต้องรออะไรหล่ะ ก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ได้เลย ณ เวลานี้ ชาตินี้เลย
 
สำหรับท่านใดที่เห็นได้ด้วยตาทิพย์(ตาทิพย์จริง ๆไม่ใช่คิดมโนปรุงแต่งเพ้อฝันไปเอง) นั่นก็เหนือความเชื่อ เป็นการเห็นตามเป็นจริงด้วยตาทิพย์ ก็ตามนั้นครับ ใครฝึกถึงขั้นนั้นก็กราบสาธุอย่างสูง
“ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ นี้เป็นปัญญาสัมปทาของเธอประการหนึ่ง ดูกรกัสสป นี้แลปัญญาสัมปทา”
จาก มหาสีหนาทสูตร ที่ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=5295
 
และจากกระทู้นี้ “ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญเรื่องผีวิญญาณผิดมั้ยครับ” ที่ https://ppantip.com/topic/39983842
คนตั้งกระทู้เขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า แต่เขารักษาศีล5 เพราะว่ามันทำให้ชีวิตเขาอยู่ง่ายไม่เดือดร้อน เข้ามาถาม
ซึ่งผมเห็นว่าจริงๆการที่รักษาศีลด้วยจิตใจแบบนี้มันสูงกว่าดีกว่าผู้ที่รักษาศีลเพื่อหวังให้ได้ลาภ ได้ยศชื่อเสียง หวังเกิดบนสวรรค์อีกนะ
 
ก็เลยตั้งโพสนี้ขึ้นมาเพื่อจะได้ให้เข้าใจศาสนาพุทธกันได้ถูกต้องขึ้น สำหรับบางคนบางกลุ่มที่เข้าใจผิด โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะเห็นว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงาย ให้เชื่อแบบไม่มีเหตุผล เลยหันหน้าหนีศาสนาพุทธ นั่นเพราะได้ยินมาผิดๆ ถูกสอนมาผิดๆนะครับ ลองพิจารณาดูใหม่กันครับ
+++++++++++++++
11/7/20 มีpostเพิ่มที่คห.19
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่