"นิด้าโพล" ชี้คนไทยยังกังวลรายได้ช่วงโควิด ไม่ค่อยพอใช้ เกิน 50% ระบุไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2236815
วันที่ 21 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “
การบริโภคอาหารในช่วงโควิด – 19” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2563 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,273 หน่วยตัวอย่าง โดยอาศัยการสุ่มตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “
นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงรายได้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.51 ระบุว่า แย่ลง รองลงมา ร้อยละ 37.00 ระบุว่า เหมือนเดิม และร้อยละ 1.49 ระบุว่า ดีขึ้น
ส่วนความเพียงพอต่อการใช้จ่ายของรายได้ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 17.91 ระบุว่า เพียงพอ ร้อยละ 16.03 ระบุว่า ค่อนข้างเพียงพอ ร้อยละ 33.46 ระบุว่า ไม่ค่อยเพียงพอ ร้อยละ 32.13 ระบุว่า ไม่เพียงพอเลย และร้อยละ 0.47 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความกังวลต่อเงิน/รายได้ หรือทรัพยากร สำหรับการบริโภคอาหารที่จำเป็นพบว่า ร้อยละ 21.13 ระบุว่า มีความกังวลมาก ร้อยละ 38.18 ระบุว่า ค่อนข้างมีความกังวล ร้อยละ 23.80 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความกังวล ร้อยละ 16.65 ระบุว่า ไม่มีความกังวลเลย และร้อยละ 0.24 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามผลกระทบต่อเงิน/รายได้ หรือทรัพยากรในการหาซื้อหรือจัดหาอาหารเพื่อการบริโภค จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค –19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.86 ระบุว่า บริโภคได้ตามปกติ รองลงมา ร้อยละ 35.43 ระบุว่า บริโภคอาหารครบทุกมื้อ แต่จำกัดชนิดอาหาร เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 17.44 ระบุว่า งดบริโภคอาหารดี มีคุณค่าและมีราคา เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 13.75 ระบุว่า ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 8.01 ระบุว่า งดอาหารบางมื้อ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ได้บริโภคอาหารทั้งวันเพราะไม่มีเงิน และร้อยละ 0.24 ระบุว่า ทั้งครัวเรือนไม่มีอาหารเหลือเพราะไม่มีเงิน
สำหรับการไปรับอาหารแจกฟรีตามสถานที่ต่าง ๆ หรือไปรับอาหารจากตู้ปันสุข พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 83.19 ระบุว่า ไม่เคยไปรับ ขณะที่ ร้อยละ 16.81 ระบุว่า เคยไปรับ ด้านการเคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.89 ระบุว่า ไม่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ ขณะที่ ร้อยละ 35.11 ระบุว่า เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ โดยในจำนวนของผู้ที่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 70.07 เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ของตนเอง และร้อยละ 32.20 ระบุว่า เคยร่วมแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ของหน่วยงาน/องค์กร/สมาคม
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามผู้ที่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด –19 เกี่ยวกับมูลค่าของสิ่งของ อาหาร หรือเงินที่แจก พบว่า ร้อยละ 62.30 ระบุว่า มูลค่าไม่เกิน 1,000 บาท ร้อยละ 23.25 ระบุว่า มูลค่า 1,001 – 5,000 บาท ร้อยละ 3.16 ระบุว่า มูลค่า 5,001 – 10,000 บาท ร้อยละ 2.25 ระบุว่า มูลค่า 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 3.17 ระบุว่า มูลค่า 20,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 5.87 ระบุว่า ไม่ระบุ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการได้รับเงินช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 จากรัฐบาล พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.42 ระบุว่า ไม่เคยรับ ขณะที่ ร้อยละ 46.58 ระบุว่า เคยรับ โดยในจำนวนของผู้ที่เคยได้รับเงินช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด- 19 จากรัฐบาล ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.01ระบุว่า เคยรับเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน รองลงมา ร้อยละ 37.77 ระบุว่าเคยรับเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท สำหรับกลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 2.53ระบุว่า เคยรับเงินเยียวยาจากสำนักงานประกันสังคมและร้อยละ 1.69 ระบุว่าเคยรับเงินเยียวยาสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม เช่น เด็กแรกเกิด ผู้พิการ และคนชรา
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.95 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 25.45 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.54 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.78 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 13.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่างร้อยละ 48.00 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.00 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่างร้อยละ 8.01 มีอายุ 16 – 25 ปี ร้อยละ 16.42 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 19.25 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 35.03 มีอายุ 46 – 59 ปี และร้อยละ 21.29 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 94.66 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.30 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 1.02 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 1.02 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่างร้อยละ 24.12 สถานภาพโสด ร้อยละ 71.01 สมรสแล้ว ร้อยละ 4.01 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 0.86 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส
ตัวอย่างร้อยละ 31.11 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30.09 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.38 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.37 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 5.03 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.02 ไม่ระบุการศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 9.74 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 13.04 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.72 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 21.37 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 19.32 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 10.06 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.16 ระบุว่า ประกอบอาชีพพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 0.55 ไม่ระบุอาชีพ
ตัวอย่างร้อยละ 9.11 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 36.53 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 25.14 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 8.25 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 4.08 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 5.50 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาท ขึ้นไป และร้อยละ 11.39 ไม่ระบุรายได้
'อนุสรณ์' บอกนิวนอร์มอลแค่คำพูด เพราะยังปฏิบัติโอลด์นอร์มอล ชี้ต้องแก้รธน. ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2236867
อนุสรณ์ บอกนิวนอร์มอลแค่คำพูด เพราะยังปฏิบัติโอลด์นอลมอล ชี้ต้องแก้รธน. ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุ ต้องการทำงบ 64 และปรับวิธีทำงาน New Normal ให้จบก่อน ถึงจะทำเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี ว่า
กระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจน ปล่อยให้อึมครึมนานๆจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน รัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอะไร สภาพไม่น่าจะแค่เกียร์ว่าง บางกระทรวงอาจถึงขั้นล็อคเกียร์ ข้าราชการทำงานต่อลำบาก เพราะต้องลุ้นหลายขยักตั้งแต่ปรับโครงสร้างพรรครองรับการปรับครม. ปรับสัดส่วนโควต้าพรรคร่วมรัฐบาล จนปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างมุ้ง ดูดส.ส.งูเห่า โชว์ตัวเลข รวมแต้มวางบิล ปั่นราคา ทวงโควตารัฐมนตรี ทำให้การเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ เป็นพฤติการณ์ Old Normal ครม.เก่าหรือใหม่ อาจตอบโจทย์เพียงการเปลี่ยนตัวเล่นลากยาวอำนาจ แต่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศที่วิกฤตรอบด้าน รอไม่ได้ สุดท้ายทุกข์ของประชาชนก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไวรัสโควิด คนไทยช่วยกันป้องกันได้ แต่ไวรัสการเมืองน้ำเน่าระบาด ถ้าไม่ปฏิรูปการเมืองจริงจัง ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถแก้ไขได้
“
หยุด Old Normal สร้าง New Normal ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง สร้างการมีส่วนร่วมและยึดโยงกับประชาชนทุกภาคส่วน” นาย
อนุสรณ์ กล่าว
JJNY : นิด้าโพลชี้กังวลรายได้ เกิน50%ระบุไม่ได้เยียวยา/อนุสรณ์บอกนิวนอร์มอลแค่คำพูด/7พรรคเล็กดันมงคลกิตติ์/ตุลาฯอันตราย!
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2236815
วันที่ 21 มิถุนายน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การบริโภคอาหารในช่วงโควิด – 19” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2563 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,273 หน่วยตัวอย่าง โดยอาศัยการสุ่มตัวอย่างที่ใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงรายได้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.51 ระบุว่า แย่ลง รองลงมา ร้อยละ 37.00 ระบุว่า เหมือนเดิม และร้อยละ 1.49 ระบุว่า ดีขึ้น
ส่วนความเพียงพอต่อการใช้จ่ายของรายได้ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 17.91 ระบุว่า เพียงพอ ร้อยละ 16.03 ระบุว่า ค่อนข้างเพียงพอ ร้อยละ 33.46 ระบุว่า ไม่ค่อยเพียงพอ ร้อยละ 32.13 ระบุว่า ไม่เพียงพอเลย และร้อยละ 0.47 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านความกังวลต่อเงิน/รายได้ หรือทรัพยากร สำหรับการบริโภคอาหารที่จำเป็นพบว่า ร้อยละ 21.13 ระบุว่า มีความกังวลมาก ร้อยละ 38.18 ระบุว่า ค่อนข้างมีความกังวล ร้อยละ 23.80 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความกังวล ร้อยละ 16.65 ระบุว่า ไม่มีความกังวลเลย และร้อยละ 0.24 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามผลกระทบต่อเงิน/รายได้ หรือทรัพยากรในการหาซื้อหรือจัดหาอาหารเพื่อการบริโภค จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค –19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.86 ระบุว่า บริโภคได้ตามปกติ รองลงมา ร้อยละ 35.43 ระบุว่า บริโภคอาหารครบทุกมื้อ แต่จำกัดชนิดอาหาร เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 17.44 ระบุว่า งดบริโภคอาหารดี มีคุณค่าและมีราคา เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 13.75 ระบุว่า ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 8.01 ระบุว่า งดอาหารบางมื้อ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ได้บริโภคอาหารทั้งวันเพราะไม่มีเงิน และร้อยละ 0.24 ระบุว่า ทั้งครัวเรือนไม่มีอาหารเหลือเพราะไม่มีเงิน
สำหรับการไปรับอาหารแจกฟรีตามสถานที่ต่าง ๆ หรือไปรับอาหารจากตู้ปันสุข พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 83.19 ระบุว่า ไม่เคยไปรับ ขณะที่ ร้อยละ 16.81 ระบุว่า เคยไปรับ ด้านการเคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.89 ระบุว่า ไม่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ ขณะที่ ร้อยละ 35.11 ระบุว่า เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ โดยในจำนวนของผู้ที่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 70.07 เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ของตนเอง และร้อยละ 32.20 ระบุว่า เคยร่วมแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ของหน่วยงาน/องค์กร/สมาคม
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามผู้ที่เคยแจกเงิน อาหาร หรือสิ่งของเครื่องใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด –19 เกี่ยวกับมูลค่าของสิ่งของ อาหาร หรือเงินที่แจก พบว่า ร้อยละ 62.30 ระบุว่า มูลค่าไม่เกิน 1,000 บาท ร้อยละ 23.25 ระบุว่า มูลค่า 1,001 – 5,000 บาท ร้อยละ 3.16 ระบุว่า มูลค่า 5,001 – 10,000 บาท ร้อยละ 2.25 ระบุว่า มูลค่า 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 3.17 ระบุว่า มูลค่า 20,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 5.87 ระบุว่า ไม่ระบุ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการได้รับเงินช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 จากรัฐบาล พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.42 ระบุว่า ไม่เคยรับ ขณะที่ ร้อยละ 46.58 ระบุว่า เคยรับ โดยในจำนวนของผู้ที่เคยได้รับเงินช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด- 19 จากรัฐบาล ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.01ระบุว่า เคยรับเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน รองลงมา ร้อยละ 37.77 ระบุว่าเคยรับเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท สำหรับกลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 2.53ระบุว่า เคยรับเงินเยียวยาจากสำนักงานประกันสังคมและร้อยละ 1.69 ระบุว่าเคยรับเงินเยียวยาสำหรับกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางสังคม เช่น เด็กแรกเกิด ผู้พิการ และคนชรา
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.95 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 25.45 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.54 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.78 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 13.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่างร้อยละ 48.00 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.00 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่างร้อยละ 8.01 มีอายุ 16 – 25 ปี ร้อยละ 16.42 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 19.25 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 35.03 มีอายุ 46 – 59 ปี และร้อยละ 21.29 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 94.66 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.30 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 1.02 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 1.02 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่างร้อยละ 24.12 สถานภาพโสด ร้อยละ 71.01 สมรสแล้ว ร้อยละ 4.01 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 0.86 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส
ตัวอย่างร้อยละ 31.11 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30.09 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.38 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.37 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 5.03 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 1.02 ไม่ระบุการศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 9.74 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 13.04 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.72 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 21.37 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 19.32 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 10.06 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.16 ระบุว่า ประกอบอาชีพพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 0.55 ไม่ระบุอาชีพ
ตัวอย่างร้อยละ 9.11 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 36.53 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 25.14 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 8.25 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 4.08 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 5.50 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาท ขึ้นไป และร้อยละ 11.39 ไม่ระบุรายได้
'อนุสรณ์' บอกนิวนอร์มอลแค่คำพูด เพราะยังปฏิบัติโอลด์นอร์มอล ชี้ต้องแก้รธน. ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2236867
อนุสรณ์ บอกนิวนอร์มอลแค่คำพูด เพราะยังปฏิบัติโอลด์นอลมอล ชี้ต้องแก้รธน. ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุ ต้องการทำงบ 64 และปรับวิธีทำงาน New Normal ให้จบก่อน ถึงจะทำเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี ว่า
กระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจน ปล่อยให้อึมครึมนานๆจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน รัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอะไร สภาพไม่น่าจะแค่เกียร์ว่าง บางกระทรวงอาจถึงขั้นล็อคเกียร์ ข้าราชการทำงานต่อลำบาก เพราะต้องลุ้นหลายขยักตั้งแต่ปรับโครงสร้างพรรครองรับการปรับครม. ปรับสัดส่วนโควต้าพรรคร่วมรัฐบาล จนปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างมุ้ง ดูดส.ส.งูเห่า โชว์ตัวเลข รวมแต้มวางบิล ปั่นราคา ทวงโควตารัฐมนตรี ทำให้การเมืองไทยยังวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ เป็นพฤติการณ์ Old Normal ครม.เก่าหรือใหม่ อาจตอบโจทย์เพียงการเปลี่ยนตัวเล่นลากยาวอำนาจ แต่ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศที่วิกฤตรอบด้าน รอไม่ได้ สุดท้ายทุกข์ของประชาชนก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไวรัสโควิด คนไทยช่วยกันป้องกันได้ แต่ไวรัสการเมืองน้ำเน่าระบาด ถ้าไม่ปฏิรูปการเมืองจริงจัง ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถแก้ไขได้
“หยุด Old Normal สร้าง New Normal ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง สร้างการมีส่วนร่วมและยึดโยงกับประชาชนทุกภาคส่วน” นายอนุสรณ์ กล่าว