ตกลงว่าเซ็นสัญญาจ้างงานแล้ว ถึงเวลาไม่ได้เซ็นเอง ถือว่าไม่เหมาะสมหรือไม่ครับ

สวัสดีครับ ผมอยากมาขอคำแนะนำจากพี่ๆที่ทำงานสาย HR และพี่ๆทุกๆคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานบริษัทครับ เรื่องอาจจะยาวซักหน่อย ขอเขียนเป็นข้อๆเพื่อให้อ่านง่ายสบายตานะครับ

-- เขียนยาวไปหน่อย ตัวอักษรเกิน เลยขอตัดมาเฉพาะส่วนที่สำคัญครับ (สามารถอ่านแบบเต็มๆได้ใน คห.1 ครับ) --

เรื่องย่อๆ คือ ผมเรียนจบปีที่แล้วครับ เพื่อนๆจบปุ๊บก็หางานเลย ส่วนผมค่อยมาหาช่วงปลายปี บริษัทที่เพื่อนทำอยู่กำลังหาคน เพื่อนเลยมาชวนผมไปทำด้วย ผมก็เข้าไปสัมภาษณ์กับหัวหน้าทีมที่สาขาย่อย(ขอสมมุติว่าหัวหน้าชื่อ บอสเค นะครับ) และเริ่มทำงานที่สาขาย่อยไป 2-3 วัน ก่อนที่จะไปเซ็นสัญญาจ้างงานที่สำนักงานใหญ่ในสัปดาห์ถัดไป โดยตกลงเงินเดือนตอนสัมภาษณ์ไว้ที่ xx,xxx บาท (เรทเด็กจบใหม่ทั่วๆไปครับ ไม่เฉพาะทางอะไร) ซึ่งเท่ากับที่เพื่อนผมได้ตอนเริ่มทำที่นี่เมื่อ 3-4 เดือนก่อน
 
- วันต่อมา (วัน อ.) ผมก็ไปที่ สนง.ใหญ่อีก(ครั้งที่แล้วมาแต่ไม่ได้เซ็น เพราะพี่เขาออกเอกสารไม่ทัน) ตามนัดเวลา 8.30 ผมไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เจอพี่อีกคนซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็น HR หรือ Admin (ขออนุญาตเรียกแทนว่า พี่ปุ้ม) พี่ปุ้มเป็นผู้หญิงมีอายุหน่อยๆ เดินหน้าตาไม่สบอารมณ์มาหาผม บอกว่าผมมาสายนะ นัด 8 โมงไม่ใช่เหรอ ผมก็ เอ๊ะ! ครับ แต่ก็ขอโทษไปก่อนด้วยมารยาทของผู้จะมาเป็น พนง.ใหม่

- พี่ปุ้มให้ผมนั่งรอ ซักพักก็ได้เข้าไปห้องประชุมเล็กๆ พร้อมกับนักบัญชีจบใหม่คนนึงที่มาเซ็นสัญญาเหมือนกัน พี่ปุ้มแจกเอกสารให้ชุดนึง และชี้แจงรายละเอียดสัญญาจ้าง การลาหยุด สวัสดิการต่างๆ ทั่วๆไปให้ฟัง

- ผมเปิดเอกสารดู เห็นตัวเลขเงินเดือนไม่ตรงตามที่คุยกันกับบอสเคไว้ คือน้อยกว่าจำนวนที่คุยกันไว้ 1,000 บาท (พ้นโปรแล้วก็ได้เท่าเดิม ไม่ได้ปรับอะไร)

- ผมบอกพี่ปุ้มว่าตัวเลขไม่ตรง พี่ปุ้มหันมาถลึงตาใส่ผมเบาๆ (จริงๆพี่เขาอาจจะแค่หน้าดุ) แล้วให้ผมแยกออกไปคุยกับพี่แพรว(HR)ที่นอกห้อง

- บทสนทนาของผมกับพี่แพรว เป็นประมาณนี้ครับ อ่อ ระหว่างคุยผมยิ้มกว้างมาก มีคนสอนว่าสถานการณ์แบบนี้ให้ทำตัวสุภาพและเป็นมิตรครับ555

พี่แพรว(HR) : ว่าไง ติดขัดอะไรเหรอ
ผม : เงินเดือนไม่ตรงกับที่ตกลงไว้กับพี่บอสเคครับ
พี่แพรว : ที่ตกลงไว้กับบอสเคคือเท่าไหร่?
ผม : สตาร์ท xx,xxx บาทครับ เท่ากับที่เพื่อนๆสตาร์ทกัน
พี่แพรว : นี่ก็พอๆกับเพื่อนแล้วนี่
ผม : ตามเอกสารนี้ คือน้อยกว่าเพื่อนๆพันนึงครับ
พี่แพรว : เราจบที่เดียวกับเพื่อนรึเปล่า? (หมายถึงมหาลัย)
ผม : ใช่ครับ
พี่แพรว : จบสาขาเดียวกันรึเปล่า?
ผม : ครับ นั่งเรียนด้วยกันมาเลย
พี่แพรว : แล้วได้เกรดเท่าเพื่อนรึเปล่า?
ผม : ครับ พอๆกันครับ
พี่แพรว : จบพร้อมกันด้วยเหรอ
ผม : ครับ จบปีเดียวกันครับ
พี่แพรว : แล้วทำไมเราถึงเพิ่งมาสมัครล่ะ เพื่อนทำมาตั้งหลายเดือนแล้ว
ผม : ผมไป work and travel เพิ่งกลับมา เลยเพิ่งเริ่มหางานครับ
พี่แพรว : เนี่ย... เพื่อนเค้ามีประสบการณ์ไง แต่เราเพิ่งมาใหม่ เราได้เท่าเพื่อนเค้าไม่ได้หรอก
ผม : (งงสิครับ5555) เพื่อนๆเขาก็เริ่มทำงานที่นี่เป็นที่แรกเหมือนกันครับ
พี่แพรว : แต่เพื่อนเค้าทำมาก่อนไง เราเพิ่งมา ให้เงินเดือนเท่าเพื่อนไม่ได้หรอก เดี๋ยวเพื่อนรู้สึกไม่ดี
ผม : (เริ่มทำหน้างงกว่าเดิม555) ผมเข้าใจครับ ผมไม่ได้ขอเท่าที่เพื่อนได้ตอนนี้ แต่ขอแค่เท่ากับตอนที่เขาสตาร์ทครับ ตอนที่เริ่มจากประสบการณ์เป็นศูนย์เหมือนๆกัน
พี่แพรว : .......แต่พี่คุยกับบอสเคหัวหน้าเราแล้ว บอสเคเขาก็โอเคกับตัวเลขเท่านี้แล้วนะ
ผม : แต่ที่ผมคุยกับบอสเคตอนสัมภาษณ์ ไม่ใช่เลขตัวนี้ครับ บอสเคก็บอกว่าจะให้ผมสตาร์ทเท่าๆกับเพื่อน (ผมยิ้ม กว้าง มากก แต่ในหัวมีแต่คำว่าอิหยังวะครับ555)
พี่แพรว : แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าเพื่อนได้เท่าไหร่ จริงๆเรื่องเงินเดือนนี่เขาห้ามบอกกันนะ
ผม : ครับ ปกติก็ไม่น่าจะบอก แต่เพื่อนชวนกันมาทำงาน เงินเดือนที่ได้ก็น่าจะเป็นหัวข้อนึงที่เอามาใช้ชวนกันน่ะครับ
พี่แพรว : (.....นิ่งคิด....) แต่พี่ให้เรา xx,xxx เท่าเพื่อนไม่ได้หรอก มันจะเสียระบบ ที่เพื่อนเราได้เท่านั้น เพราะตอนนั้นบริษัทยังไม่มีระบบ HR บอสแต่ละทีมเขาเลยตั้งเงินเดือนให้ลูกทีมกันเอง แต่ตอนนี้เราเพิ่งมีระบบ HR เข้ามา เราเข้ามาทำงานตอนนี้ ก็ต้องตามระบบนะ แล้วเอกสารตัวเลขรันมาแล้ว ผ่านผู้ใหญ่แล้ว ยังไงก็เปลี่ยนให้ไม่ได้แล้วล่ะ
ผม : บอกตามตรงคือผมไม่เชื่อครับ ว่าบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียง (ที่บอกชื่อปุ๊บทุกคนต้องร้อง อ๋อออ ทันที) และเปิดมานานขนาดนี้จะไม่มีระบบ HR – ประโยคนี้แค่คิดครับ ไม่ได้พูดออกไป55555
พี่แพรว : แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ พันเดียวเอง บริษัทเราอัพเงินเดือนปีละสองครั้ง เราโชคดีทำงานที่สาขาย่อย เขาเรียกว่าทำงานใกล้ผู้ใหญ่ มีอะไรเขาก็เห็นผลงานเราเร็ว แป้บๆเดียวก็ได้ปรับเงินเดือนขึ้นแล้ว
ผม : (คิดในใจ ว่าที่พี่เขาอธิบายมาไม่น่าจะเป็นเหตุผล เหมือนคำปลอบใจมากว่า5555

- ผมตอบไปแค่ “ครับ” แล้วพี่แพรวก็ให้ผมเดินกลับไปหาพี่ปุ้มที่ห้องประชุม

- ถ้าถามว่าทำไมผมจำบทสนทนาได้แม่นขนาดนี้ คำตอบคือ ผมจดไว้ครับ55555 เพราะจะเอามาตั้งกระทู้นี่แหละ

- ผมกลับไปหาพี่ปุ้ม นั่งมองเอกสารสัญญา สองจิตสองใจ ในหัวเริ่มมีความคิดว่าหรือเราควรไปหางานที่อื่นจะดีกว่า เงิน 1,000 ผมมองว่าไม่ได้มากมายอะไร แต่ผมรู้สึกไม่ได้รับความจริงใจจากที่นี่เท่าไรมากกว่า

- ผมขอพี่ปุ้มว่า ขอโทรปรึกษากับที่บ้านสักครู่ พี่ปุ้มเลยบอกว่า ถ้าเซ็นเสร็จแล้วให้ไปเรียกพี่เขาก็แล้วกัน

- ผมโทรปรึกษาพ่อกับแม่ ทั้งสองคนทำงานบริษัทเอกชนมาจนเกษียณ อย่างน้อยท่านก็ผ่านน้ำร้อนมาก่อน น่าจะแนะนำอะไรกับผมได้บ้าง ซึ่งคำตอบก็คือ ให้คิดดีๆ แล้วตัดสินใจเอา เงินเดือนเยอะหรือขึ้นน้อยลงพันนึงไม่ได้มากมายอะไร แต่ผมยังสบายใจที่จะทำกับที่นี่ไหม ถ้าชิลๆไม่คิดอะไรก็ทำไป หรือถ้าช่างน้ำหนักแล้วไม่โอเค ตัดสินใจไม่เซ็น ก็ไปหางานที่ใหม่ต่อ แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงเอา ช่วงนี้งานก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ
- ประมาณสิบนาทีพี่ปุ้มก็เดินกลับมาหาผม ถามว่าเซ็นเสร็จรึยัง ใจผมตอนนั้นคือ 60-40 แล้ว 60 คือเซ็นนะครับ ผมรู้ว่างานมันหายากก5555
- เอกสารมีให้เซ็นหลายจุดครับ ระหว่างผมกรอกชื่อที่อยู่ไป พี่ปุ้มก็พูดไป

พี่ปุ้ม : จริงๆแล้วต้องตัดสินใจมาเลยนะ มาวันนี้ก็คือมาเซ็นแล้วก็จบแล้ว ไม่ใช่มานั่งตัดสินใจเอาวันนี้ อย่างนี้ทำบริษัทเสียเวลา
ผม : (แน่นอนว่ายิ้ม) ขอโทษด้วยครับ จริงๆก็ตัดสินใจมาแล้ว แต่ข้อมูลที่ได้รับมีเปลี่ยนจากเดิมนิดหน่อย เลยต้องตัดสินใจใหม่ครับ
พี่ปุ้ม : จริงๆเราต้องถามตั้งแต่วันที่มาคุยครั้งแรกแล้ว ว่าเราจะได้อะไร เท่าไหร่
ผม : ถามแล้วครับ พี่แพรวบอกว่าก็ได้ตามที่คุยกับบอสเคไว้ ส่วนรายละเอียดอื่นๆเขาบอกว่าไว้ค่อยมาคุยวันนี้ 
พี่ปุ้ม : ไม่ได้ไง เราต้องถามให้ชัดไปเลย
ผม : ผมถามหลายรอบเลยครับ แต่พี่แพรวบอกแต่ให้มาคุยวันนี้
พี่ปุ้ม : (เริ่มหงุดหงิด) เราไม่ชัดเจนไง ถ้าเขาไม่บอกเราก็ต้องถาม คราวหน้าคราวหลังต้องถามให้ครบมาเลย ไม่ใช่มาโวยวายทีหลังแบบนี้
ผม : (เริ่มหงุดหงิดเหมือนกัน แต่มั่นใจว่ายังยิ้มให้พี่ปุ้ม) ครับ
พี่ปุ้ม : แล้วเงินเดือนนี่ คือได้ไม่เท่าเพื่อนเหรอ
ผม : ใช่ครับ เพื่อนได้มากกว่านี้พันนึงครับ
พี่ปุ้ม : (ของขึ้น) แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าเพื่อนได้เท่าไหร่ จริงๆแล้วเรื่อเงินเดือนนี่เขาห้ามคุยกันนะ
ผม : ฮ่าๆๆ ครับ คงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหมือนกันนะครับ (โดยเฉพาะตอนเด็กจบใหม่ชวนเพื่อนไปทำงานด้วย)
พี่ปุ้ม : แต่ก็ควรทำตาม! แล้วเพื่อนเราชื่ออะไร?
ผม : (คิดในใจว่า เพื่อนครับ เองซวยแน่555) โอ้ยย หลายคนครับ เพื่อนๆมาทำที่นี่กันหลายคนก็คุยๆกัน ชวนๆกันมา
พี่ปุ้ม : คนไหนที่ชวนล่ะ
ผม : (ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่คิดว่าจะหาว่าคนไหนน่ะ หาไม่ยากหรอก...ซอรี่นะเพื่อน)

- หลังจากบทสนทนานี้ ผมที่นั่งกรอกเอกสารประกันสังคมอยู่ดีๆ ใจก็ค่อยๆเทไปอีกฝั่งครับ อาจจะด้วยบทสนทนากับพี่ปุ้ม พี่แพรว เรื่องเงินเดือน และเรื่องหยุมหยิมๆที่เล่ามาก่อนหน้านี้ ทำให้ผมนั่นเปลี่ยนใจ

- ผมวางปากกา แล้วพูดกับพี่ปุ้มนิ่มๆ
ผม :  ขอโทษนะครับ ขออนุญาตไม่เซ็นแล้วกันนะครับ
พี่ปุ้ม : เซ็นๆให้เสร็จไปเลย พี่จะได้ไปทำเอกสารต่อ..................คือจะไม่ทำที่นี่แล้วเหรอ?
ผม : ครับ ขอโทษด้วยนะครับ
พี่ปุ้ม : แล้วมีที่อื่นให้ทำเหรอ?
ผม : ก็น่าจะมีนะครับ (พูดให้กำลังใจตัวเองครับ - คือผมยื่นเรซูเม่ไปแล้ว แต่เขายังไม่ได้เรียกหรอก555)
พี่ปุ้ม : แล้วเขาให้เงินเดือนเยอะกว่าที่นี่เหรอ?
ผม : ก็คิดว่านะครับ....แล้วเอกสารบางแผ่นที่เซ็นไปแล้ว ต้องขีดฆ่าชื่อไหมครับ
พี่ปุ้ม : ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำลายเอง (แล้วพี่ปุ้มก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ค่อยๆหยิบปากกามาลากกากบาททับเอกสารแผ่นแรกอย่างช้าๆ – ช้าแบบช้าจริงๆครับ นึกถึงภาพสโลว์ได้เลย)

- ผมรอดูจนพี่ปุ้มขีดฆ่าเอกสารครบทุกแผ่น แล้วจึงขอตัวกลับบ้าน “ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะครับ ขอให้หาพนักงานมาร่วมงานด้วยได้เร็วๆนะครับ” – มาคิดอีกที ไม่น่าพูดประโยคหลังเลยครับ ไม่รู้ตอนนั้นอะไรดลใจให้พูดออกไป5555

- ผมที่เดินจากมาแล้วก็นั่งเล่นอยู่ใกล้ๆรถไฟฟ้าแถวๆนั้น นั่งคิดว่าที่ผมเพิ่งทำไปนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่าหว่า นี่ผมคิดแล้วจริงๆใช่มั้ย หรือว่าเมื่อกี้เผลอใช้อารมณ์ตัดสินใจรึเปล่า แต่ก็เอาวะ มันก็ผ่านไปแล้ว

- ซักพัก ก็มีสายเข้าเสียงสดใสจากพี่แพรว ความว่า

พี่แพรว : น้องคะ พี่คุยกับบอสเคให้แล้วนะ ตกลงว่าบอสเคเขาให้น้องเพิ่มพันนึงได้นะ จะได้ได้เท่าเพื่อนแล้วจะได้สบายใจกัน
ผม : อ่ออ ตกลงว่าได้เหรอครับ
พี่แพรว : รู้สึกดีขึ้นแล้วเนอะ แล้ววันนี้เรากลับไปรึยัง
ผม : ยังอยู่แถวๆนี้อยู่ครับ
พี่แพรว : งั้นเดี๋ยวกลับมาเซ็นสัญญานะ พี่ขอออกเอกสารใหม่ก่อน น่าจะต้องใช้เวลาหน่อย เอาเป็นว่าช่วงบ่ายน้องกลับมาที่ห้องเดิมได้เลยนะ

- ผมก็กลับมาใจโลเลอีก ได้เท่าเพื่อนแล้วก็จริง ได้ทำงานบริษัทที่เงินโอเค มีชื่อเสียง ที่ทำงานใกล้บ้าน มีเพื่อนสนิททำด้วยกัน ทุกอย่างดูดีเกือบหมด แต่ใจผมก็ไม่ค่อยโอเคกับเรื่องวันนี้ครับ รู้สึกเหมือนบริษัทไม่ค่อยจริงใจกับพนักงานเท่าไหร่ พูดจาก็ไม่ให้เกียรติกันนัก(ผมเป็นเด็ก อายุน้อย จริงๆก็ไม่รู้หรอกครับว่าสังคมการทำงาน เด็กๆจะได้รับการปฎิบัติอย่างไร อย่างนี้อาจจะปกติก็ได้-รบกวนพี่ๆ เล่าให้ฟังได้นะครับ) ระบบก็ดูงงๆทั้งที่เป็นบริษัทใหญ่ ที่ผมลองทำมา 2-3 วันนี้ก็ค่อนข้างวุ่นวาย (ที่จริงผมไม่ควรเอาเวลาแค่วันสองวันมาตัดสินไปยาวๆ แต่ตอนนั้นผมคิดว่า แค่สองสามวันยังขนาดนี้ จากนี้ไปจะขนาดไหนน่ะครับ5555)

- สุดท้าย ผมก็โทรกลับไปบอกพี่แพรวว่า “ขอไม่ไปเซ็นนะครับ ขอบคุณสำหรับโอกาสครับ” และโทรไปลาบอสเค สั้นๆ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมเช่นกันครับ

- สรุปว่า ผมก็ไม่ได้งานที่นี่ครับ ไม่ได้เงินค่าจ้างรายวันที่ทำไป 2-3 วันนั้นด้วยเช่นกัน แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ครับ

--------------

ผมอยากขอถามความคิดเห็นจากพี่ๆ ว่าคิดอย่างไรกับการตัดสินใจของผมครับ (จากที่เล่ามา มีช่วงไหนที่ผมทำตัวไม่เหมาะสม แนะนำได้เลยครับ)หรือถ้าเป็นพี่ๆเองตอนนั้น จะตัดสินใจยังไง จริงๆแล้วมันเป็นโอกาสที่น่าเสียดายรึเปล่า ผมคิดเล็กคิดน้อยจุกจิกเกินไปไหม แน่นอนว่ามันผ่านไปแล้ว สำหรับผมไม่ได้เสียดาย และไม่ได้หวังกลับไปแก้ไขอะไร เพียงแต่อยากทราบความเห็นจากมุมมองอื่นๆ จากคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าผม ไว้เป็นมุมมองสำหรับการทำการ ใช้ชีวิต และตัดสินใจอื่นๆต่อไปในอนาคตครับ ขอบคุณมากครับ

ปล.หรือจริงๆแล้วบริษัทให้เงินเดือนสตาร์จไม่เท่ากันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ ผมยังใหม่อยู่ เลยไม่ทราบแล้วรู้สึกไม่ดีไปเอง

ปล.หลังจากปฎิเสธการเซ็นสัญญานี้ไป ผมก็โชคดีได้งานที่บริษัทอื่นและเริ่มงานในเดือนต่อมาครับ แต่ขอไม่ลงรายละเอียดอะไร เนื่องจากไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเนื้อหากระทู้นี้เท่าไรครับ

ปล2.แม้จะไม่ใช่กระทู้แรกของ account นี้ แต่เป็นกระทู้แรกของผมเอง หากไม่เหมาะสมอย่างไรติได้เลยครับ และช่วงนี้เป็นช่วงที่มีคนเดือดร้อนเรื่องงานเพราะผลกระทบจาก COVID-19 มาก ถ้าการตั้งกระทู้เรื่องงานนี้ทำให้ใครรู้สึกไม่พอใจอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะคับ ตั้งใจจะเขียนกระทู้นี้มาซักพักแล้ว แต่เพิ่งได้จังหวะเขียนจนเสร็จในช่วงนี้พอดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่