คืนสยองขวัญในรถตู้

กระทู้สนทนา
คืนสยองขวัญในรถตู้...

ราสส์ กิโลหก

กริ๊งๆๆๆๆๆกริ๊งๆๆๆๆๆๆ......                         

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา... พรายน้ำจากเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา ตี 5 พอดิบพอดี 

วันนี้เรามีนัดจะไปงานศพแม่ของน้องที่ทำงานเดียวกัน  แต่จัดงานศพอยู่ที่วัดต่างจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน พวกเราตกลงเหมารถตู้เพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง                      

ลุงบุญ ขับรถตู้มาจอดที่หน้าบ้าน..ตามเวลานัดหมาย .ผมรออยู่แล้ว เปิดประตูด้านข้าง ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังคนขับ                        

“ลุง มีเพื่อนผม อีก 5 คนรออยู่ที่ หน้าศาลากลางจังหวัด แวะรับด้วย ครับ..!”  ผมยื่นหน้าบอกลุงคนขับ                  

“ ได้ครับ  ”

ท้องฟ้ายังมืด อากาศยามเช้าเย็นสบายถนนหนทางโล่งไม่ค่อยมีรถที่เคยหนาแน่นในยามปกติ   

เบิ้ม , เจ๋ง , ขรรชัย , สมาน และ อ้ายเหวง  ยืนรอกันอยู่ข้างๆศาลากลางจังหวัดตรงตามเวลานัดหมายโดยพร้อมเพรียงกัน                      

“อ้าย เหวง  เอ็งขึ้นด้านหน้านั่งคู่กับคนขับ”  ผมตะโกนบอก

อีก 4 คนทยอยกันขึ้นด้านข้างตัวรถตู้ทักทายกันเล็กน้อย เพราะดูท่าทางบางคนยังเมาขี้ตากันอยู่
เมื่อเรียบร้อยก็ออกเดินทาง รถตู้มุ่งหน้าใช้เส้นทางถนนมิตรภาพเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง 

ถนนมิตรภาพนี้เมื่อ 50ปีก่อนถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดในประเทศไทย สร้างโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอเมริกา ต้นทางที่สระบุรีสุดปลายทางนครราชสีมา ความยาวร้อยกิโลเมตรเศษๆ                
 
เดิมเป็นถนนลาดยาง 2 เลนรถต้องวิ่งสวนทางกัน ..ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆเขาเล่าว่าขับรถบนถนนน้ำในแก้วยังไม่หก คงจะเปรียบให้เห็นว่าถนนเรียบเป็นกระดาษนั่นมันพ.ศ. 2500                 

ปัจจุบันเป็นถนนคอนกรีต กว้างขวางใหญ่โตมีเลนให้วิ่งหลายเลนขับสบายๆ                 

ลุงบุญ อายุกว่า 50ปี เป็นเจ้าของรถเองขับเอง ใช้บริการกันบ่อยเพราะแกขับรถดีไม่คึกคะนองนิสัยเป็นกันเอง 

“เฮ้ย...เบิ้ม มีแผนที่วัดนี้ใช่ไหม”   ผมหันหน้าเอ่ยถาม...             
 
“มี มี จดมาแล้ว ” เบิ้มพูด 

ประมาณ 2โมงเช้าเราก็ถึงโคราชแวะกินกาแฟที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดขอนแก่น 

พอรถตู้เคลื่อนตัวออกจากปั๊มน้ำมัน 

“ลุงบุญก่อนถึงเมืองขอนแก่น ให้แยกขวานะ” ผมยื่นหน้าบอกเพราะเราจะใช้เส้นทางไปจังหวัดกาฬสินธุ์กลัวลุงบุญจะขับเลยไป            

ประมาณ 5 โมงเช้า เราก็ถึงทางแยก รถเลี้ยวขวาข้ามทางรถไฟ          

ผ่านมหาสารคามไปถึงยางตลาดเลี้ยวซ้ายเพื่อไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ....ดูนาฬิกาเกือบบ่ายโมงแล้ว แวะกินอาหารกลางวันกัน.อ้ายเหวงแลบลิ้นอยากกินเบียร์แต่ผิดหวัง ใช้เวลากินอาหาร 30 นาทีจากนั้นเดินทางต่อ           

รถวิ่งมาจนเกือบถึงตัวจังหวัดกาฬสินธุ์  แต่เราไม่เข้าตัวจังหวัดเลี้ยวขวาไปทางจังหวัดร้อยเอ็ดผมเอาแผนที่มาดูรายละเอียดอีกครั้ง  แผนที่ระบุว่าจากจุดนี้อีกประมาณ20กิโลเมตรให้เตรียมเลี้ยวขวา จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ปากทางและมีป้ายเขียนชื่อวัดที่เราจะไป...                

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงตำแหน่งตามที่แผนที่บอกไว้ ลุงบุญเลี้ยวรถเข้าทางแยกสภาพถนนเป็นดินลูกรังกว้างประมาณ 6 เมตรสองข้างทางเป็นป่าโปร่งเหมือนชนบททั่วไป แต่ที่แปลกคือแถวนี้ไม่ค่อยมีใครทำนาแต่เป็นพื้นที่โล่งเตียนคงทำไร่กัน

สภาพถนนเป็นเหมือนสร้างไปตามเนินเขา  รถวิ่งเร็วไม่ได้ถนนบางช่วงสูงขึ้นบางช่วงลาดต่ำ ผิวถนนเป็นหลุมบ่อพอประมาณ ที่สำคัญตั้งแต่เข้ามาไม่มีบ้านคนสักหลัง                
 
ลุงบุญขับรถไปช้า ๆไม่ได้พูดอะไรตามองไปข้างหน้า

“แปลกนะลุง ไม่มีผู้คนอยู่แถวนี้เลยหรือไง ?”

แกบอกว่าเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่จะมีบ้านรวมกันอยู่ในหมู่บ้าน  หน้าทำไร่จะออกจากบ้านมาทำไร่กันบริเวณนี้เป็นพื้นที่ทำไร่ จึงไม่มีบ้านคนเพราะคนจะไปอาศัยรวมกันในหมู่บ้านจะเห็นก็มีแต่กระท่อมเล็กๆไว้กันแดดกันฝนเวลามาไร่                 

แรกๆเข้ามา แลมองดูข้างทางก็เพลินๆดี พอนานเข้า เอ๊ะ ! ทำไมยังไม่ถึงซักที ....                  

“ใครมีเบอร์ เจ้าภาพบ้าง มั่ง” ขรรชัยพูดขึ้นมาลอยๆ.                 

เสี่ยเจ๋ง เอาโทรศัพท์ออกมาจากเอวเพื่อจะกดเบอร์และโทรออก ซักพักพูดขึ้นว่า

“ แถวนี้ไม่มีคลื่น”                   

ยิ่งลึกเข้ามามากทางก็ยิ่งคดเคี้ยววกวน ซ้ำข้างทางต้นไม้ก็เริ่มรกครึ้มมากขึ้น  นาฬิกาบอกเวลาประมาณบ่าย 3 โมงแต่ดูบรรยากาศแล้วเหมือนหกโมงเย็น รถหรือคนก็ไม่พบเห็น วัว กระบือ ไม่เห็นมี ผมชักใจคอไม่ดีกำลังจะบอกกับลุงบุญว่าเอาไงดีหรือจะกลับไปตั้งหลักที่จังหวัดก่อน                 

อยู่ๆก็มีลมพัดฝุ่นดินตามพื้นจนปลิวฟุ้งขึ้นมาเหมือนหมอกสีขาวเต็มไปหมด ต้นไม้ใบไม้ขนาดเล็กเอนลู่ไปตามลม ลมพัดม้วนตัวเป็นกรวยดูดใบไม้แห้งและเศษไม้ม้วนขึ้นไปในอากาศ สักพักก็หายไปพอฝุ่นจางและลมสงบ             

 “ นั่นไงเห็นศาลาวัดแล้วอยู่ข้างหน้า” อ้ายเหวงตะโกนอย่างดีใจ                
 
พวกเราถอนหายใจกันถึงเสียที พอรถเข้าไปใกล้วัด...เอ๊ะ...ทำไมเงียบชอบกลไม่มีเสียงเครื่องขยายเหมือนงานศพทั่วๆไป  หรือเจ้าภาพจัดงานไม่ใหญ่โต.
.ลุงบุญจอดรถหน้าวัด .บริเวณด้านหน้ามีซุ้มเป็นเสาไม้เนื้อแข็งสูงประมาณ 5เมตร 2 ต้นตั้งอยู่คู่กัน                
 
ด้านบนของเสาทำเป็นหลังคาเล็กๆครอบไว้มีป้ายชื่อวัด..ติดอยู่ด้านบนระหว่างเสาสองต้น  ใจผมห่อเหี่ยวเพราะชื่อวัดไม่ตรงกับที่เราจะไป  วัดนี้ไม่มีรั้ว มีแต่เสาไม้เก่าๆสภาพเอียงๆปักไว้เป็นอาณาเขตของวัด 

พวกเราในรถมองหน้ากัน ทำอะไรไม่ถูกพากันมองซ้ายมองขวากวาดสายตามองไปรอบๆ                    

หน้าตาแต่ละคนเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด  .ผมชะเง้อมองเข้าไปในบริเวณวัด ต้นโพธิ์ ต้นไทร ขึ้นอยู่ทั่วไป พื้นลานดินเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง เพราะไม่มีการเก็บกวาด เหมือนวัดร้างหมาแมวไม่มีให้เห็น                

มีทางที่รถเข้าไปได้  
.
ผมบอกกับคนขับ.

“ลุงบุญขับเข้าไปเลย เผื่อเจอพระจะได้ถามทาง”เพราะวัดนี้ไม่ใช่วัดเป้าหมายของเรา                

รถเคลื่อนตัวช้าๆเข้าไปในวัด  บรรยากาศในรถเงียบสนิทได้ยินแต่เสียงแอร์รถยนต์ครางอย่างสม่ำเสมอและเสียงหายใจยาวๆของบางคน  
.
ผมสังเกตสภาพภายในบริเวณวัด      

มีโบสถ์เก่าคร่ำครึไม่มีสีสันออกสีดำๆหลังคามีรอยโหว่ให้เห็นหลายรู กระเบื้องหลังคาเป็นดินเผาที่เรียงเป็นลอนดูทรุดโทรมไม่สวยงาม  ข้างโบสถ์มีต้นไทรใหญ่อายุคงเป็นร้อยปีมองเห็นรากใหญ่เลื้อยขึ้นมาเกาะผนังโบสถ์              

ถัดมาสัก 20 เมตรเป็นที่ตั้งตัวศาลาวัดลักษณะหลังคาทรงสูงแบบศาลาวัดทั่วไป  เป็นไม้สักทั้งหลังพื้นยกจากพื้นดิน 2เมตรมีเสาไม้ไม่น้อยกว่า 20ต้น แต่เอียงกันเป็นฟันโยก แสดงถึงความเก่าแก่และทรุดโทรม..              
 
ผนังข้างฝาศาลาตีด้วยไม้ระแนงเป็นช่องๆดูโปร่งมองเห็นข้างในชัดเจน  เห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่มุมด้านหนึ่ง  ผมกระซิบเบาๆกับลุงบุญให้จอดตรงบันใดศาลาวัด             

รถจอดสนิท 

“ เอ้าพวกเรา...ลงไปดูอะไรกันหน่อย” 

ผมลงมาคนแรก มองดูเวลาหกโมงครึ่งพระอาทิตย์กำลังจะตกทางทิศตะวันตก  มองเห็นเป็นแสงสว่างอ่อนๆที่ชาวบ้านเรียกผีตากผ้าอ้อม อากาศเริ่มเย็นทุกคนมายืนรวมกันตรงบันใดทางขึ้นศาลาวัด  ชะเง้อมองขึ้นไปบนศาลาไม่เห็นใครซักคน             

อ้ายเหวงเอามือป้องปากตะโกนขึ้นไปบนศาลาวัด 

“หลวงพ่อ  คร๊าบบบบ...หลวงพ่อ  คร๊าบบบบบ” 

มันตะโกนจนเสียงแห้งปรากฏได้ความเงียบกลับคืนมา  .พระอาทิตย์ลับหายไปแล้วแต่ยังเหลือแสงเหลืองสลัวให้พอมองเห็นหน้ากัน   

ทันใดนั้น จู่ๆลมไม่รู้มาจากไหนพัดกระหน่ำเข้ามาในวัดที่พวกเรายืนอยู่  เสียงใบไม้แห้งดังโกรกกรากลากไปตามพื้นและปลิวว่อนขึ้นเหนือพื้นดิน           
เสียงลมกระทบกิ่งไม้ใบไม้ดังซ่าไปทั่วบริเวณดังสนั่นในความมืด ซึ่งตอนนี้มืดสนิทมองหน้ากันไม่เห็นแล้ว บริเวณรอบตัวเต็มไปด้วยความมืดดำ....
เสียงฟ้าร้องครวญครางระงมดังอยู่บนหัว ฟ้าแลบแปลบปล๊าบลำแสงวิ่งเป็นเส้นเหมือนรากไม้เรืองแสงบนแผ่นฟ้า ฟ้าแลบแต่ละครั้งจะนำแสงสว่างสาดลงมาเป็นช่วงๆเป็นไฟกระพริบของธรรมชาติ แทนที่จะดูสวยงานแต่ยามนี้มันดูน่ากลัว ตามด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไรดังกระหึ่มขึ้นมา เสียงดังปานเครื่องเสียงขนาดใหญ่ดังก้องไปทั่วบริเวณ            
 
“ขึ้นรถกลับกันเถอะไม่ไหวแล้ว” 

ผมตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงลมและเสียงใบไม้ที่ดังกระหึ่มอยู่รอบตัว           
 
ไม่มีใครคัดค้านต่างรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็วตามมาติดๆคือเสียง  ซ่า ของสายฝนที่ซัดลงมา.กระทบหลังคารถดังกราว เสียงลมเอื้ออึงกระแทกรถเป็นช่วงๆทุกคนเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรออกจากปาก              

ลุงบุญบิดกุญแจเสียงเครื่องยนต์ดังก้องในความมืด แสงไฟหน้ารถสว่างจ้าพุ่งเป็นลำแสงไปข้างหน้า  
 
“ ต้องขับเลยไปกลับรถด้านหน้าถนนมันแคบตีวงตรงนี้ไม่ได้” 

ลุงบุญพูดในความมืด  พร้อมรถเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆขับมาได้ประมาณ 30 เมตรแลเห็นพอมีช่องด้านหน้าขวามือพื้นที่กว้างพอที่จะกลับรถได้            

ลุงบุญหักพวกมาลัยหันหัวรถเข้าที่ว่างขวามือแล้วเบรก ใส่เกียร์เตรียมถอยหลังกลับรถ           

“ ลุง ลุง  ข้างหน้านั่น เป็นอะไรเหรอครับ ?”  

เสียงอ้ายเหวงถามลุงบุญเบาๆผมมองตามลำแสงไฟไป  ความสว่างจากแสงไฟจับไปคอนกรีต แท่งปูนสองแท่งรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งเป็นคู่ขนานห่างกันประมาณ 2ศอกมีหลังคาสูงมุงอยู่ด้านบน  มีเสาสี่ต้นค้ำอยู่  ห่างออกไปไม่มากมองเห็นเป็นเหมือนโกดังเก็บของด้านหน้าเป็นประตูบานใหญ่เปิดอ้าจนมองเห็นด้านใน..          

 ทุกคนในรถมองเห็นเหมือนผม น้ำลายเหนียวจนติดคอ มันคือโกดังเก็บศพเห็นโลงศพเรียงซ้อนกันสูงท่วมหัว ฝาโลงวางอยู่เกะกะไม่เป็นระเบียบ...         

“โกดังเก็บศพกับที่เผาศพ”  

ขรรค์ชัยพูดขึ้นมา   
ผมไม่พูดอะไรได้แต่นึกเพียงว่าให้ไปให้พ้นจากตรงนี้โดยเร็ว ฟ้าคำรามสนั่นเหมือนรับรู้ แสงจากสายฟ้าสว่างวาบทาบลงมาแยกความมืดออกไป ฝนก็ยังกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา          

แต่เหมือน นรกแกล้ง..!
 
รถถอยออกมาได้ครึ่งคัน ซักพักผมมีความรู้สึกว่าล้อหลังด้านซ้ายมือเอียงวูบต่ำลง.             

ผมใจหายวาบตายละ..! รถเป็นอะไรหรือเปล่า ? 

เพี้ยงอย่ามาเป็นอะไรตอนนี้เลยเจ้าประคู๊ณ !             .
.
เสียงรถเร่งเครื่องติดๆกันหลายครั้ง จนล้อรถตะกุยดินเศษดินกระทบใต้ท้องรถ จนคนในรถรู้สึกได้  รถโยกไปข้างหน้าหน่อยเดียวแต่ก็ไหลกลับมาอย่างเก่าเป็นอย่างนี้อยู่ 3.-4ครั้ง.แต่ทุกครั้งก็เหมือนเดิม  คือรถยังขยับไปไหนไม่ได้ทุกคนนั่งไม่ติดเบาะลุกขึ้นยืนพูดถามไถ่กันวุ่นวายดังลั่นฟังไม่ได้ศัพท์.          

ผมได้สติก่อนใคร  

“ลุงรถติดหล่ม หรือเปล่า ?”       (มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่