https://ppantip.com/topic/39926791
https://ppantip.com/topic/39930357
....................
มันต้องย้อนเหตุการณ์ไปราว ๑๓ ๑๔ ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุราว ๒๔ ปี จะเล่าเป็นลำดับ
ชีวิตผมนั้นไม่เคยสนใจ ใส่ใจ ในศาสนาพุทธมาก่อน ดีบ้างชั่วบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ในช่วงตอนอายุ ๑๑ ปี ก็เคยบวชภาคฤดูร้อนอยู่ครั้งหนึ่งประมาณ 1 เดือน ได้รู้จักการอานาปานสติ และการเดินจงกรมอย่างสม่ำเสมอในตลอดระยะเวลาที่บวช ทำให้ค้นพบความสามารถของตนเองบางอย่าง และได้วิชชามาเป็นพื้นฐานอยู่ แม้สึกออกมาก็เจริญอานาปานสติสมาธิอยู่เนืองๆ มักจะใช้ข่มอารมณ์ไม่ดี วุ่นวาย
ผลของการบวชภาคฤดูร้อนนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของผมสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันเลยทีเดียว นั่นหมายถึง ผมเริ่มมีอดุมคติในชีวิตเกิดขึ้น ก็คืออุดมคติในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เรียกง่ายๆ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ความสามารถ ที่ต้องบริบูรณ์ทุกเรื่อง นั่นคือความคิดของเด็กอายุ ๑๑ ๑๒ ปี ที่ไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกใคร ในตอนนั้น ผมก็ไม่ได้นึกถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแม้แต่นิดเดียว เพียงต้องการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ และรู้สึกเบื่อหน่ายโลก โลกไม่ใช่สิ่งที่น่าท้าทาย อารมณ์อยากบวชประมาณนั้น ตราบจนอายุ ๒๔ ปี วิธีคิดผมก็เปลี่ยนแปลงไป
ในวัยเด็กๆนั้นมีเพื่อนผมมักจะทักหน้าตาผมเหมือนหน้าตาพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ เป็นความคล้ายรูปวาดของพระพุทธเจ้าที่ติดอยู่บนกระดาษหน้าห้องเรียน (หลายคนน่าจะนึกออก มีผมขมวดบนศีรษะ มีแสงวงกลม มีดอกบัวสีชมพูล้อมฐานที่นั่งใต้ต้นโพธิ์ ) แม้ตอนอายุประมาณ๒๐ กว่าๆ ยังมีเด็กเล็กอายุประมาณ 6 – 7 ขวบทักบ่อยอยู่ ประมาณว่า “หน้าตาเหมือนกันเลย”
คนทักบ่อยๆนี้ก็สงสัย สับสนในตัวเองเหมือนกัน แต่ในขณะนั้นผมคิดว่า "อย่าเอาไปเปรียบ"
นิสัยส่วนตัวของผมเป็นคนที่ชอบคิด โต้แย้งด้วยเหตุผล หลงตัวเอง มั่นใจในปัญญาของตนเอง มีวิธีคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป นี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปบอกทุกคน มันแปลกจนอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก จนทะเลาะเนืองๆ ในวัยเด็กเป็นคนที่ชื่นชอบถึงขั้นหลงใหลในจักรวาล ดวงดาว หรือดาราศาสตร์ ผมเห็นว่ามันมีความงาม และตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไป
ในวัยเด็กผมมีคติเรื่องโลกแบน ทำให้เกิดความกลัว ไม่กล้า กลัวตกขอบโลก ตั้งคำถามว่าถ้าขุดลงไปจะทะลุไหม น้ำที่ไหลมันไหลไปไหน จะตกขอบโลกไหม เคยเถียงกับพี่ชายซึ่งอายุห่างกัน 4 ปี ชนิดหูดับเรื่องโลกกลม โลกแบน จนไปเห็นภาพโลกกลมตอนอายุ ประมาณ 7 8 ปี จนเปลี่ยนทิฏฐิ
เอาจริงๆถ้าการศึกษาไทยในสมัยนั้นมันดี ผมคิดว่าตนเองน่าจะเป็นนักดาราศาสตร์ที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่ระบบการศึกษาสมัยนั้นไม่ตอบสนองความต้องการได้ เพราะเป็นการศึกษาบ้านนอก ห่างไกลการพัฒนาและโอกาส แต่นั่นอาจเป็นข้อดีที่ทำให้พบพุทธศาสนาในกาลต่อมาก็ได้ เพราะผมอาจจะหลงทิฏฐิวิทยาศาสตร์จนปิดทางอื่นในการเข้าถึงสัจธรรม
ผมเติบโตขึ้นและพัฒนาตนเองตามอุดมคติในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ความสงสัยและคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของธรรมชาติมันยังอยู่ใต้จิตสำนึกอยู่เสมอ เพียงไม่ได้เข้าไปแสวงหา ชีวิตมันเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง มีรักแต่อยากออกจากโลก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์ และต้องการความสงบ ผมติดในวังวันนั้นอยู่พักใหญ่จนทุกอย่างเสื่อมถอย เหมือนวิบากกรรมกำลังเล่นงาน และเริ่มหันมามองตนเอง เริ่มมีสติ
ในกลางปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่จตุคามเทพดังระเบิดครอบงำประเทศไทยแต่ผมมองข้ามมันไปอย่างไม่แยแส ผมได้ระลึกถึงอานาปานสติสมาธิที่เคยทำ และหันไปภาวนาตามความเข้าใจของตนเองล้วน ๆ เพียงเพื่อต้องการความสงบทางจิตใจ แต่ยังศึกษาเพิ่มอยู่บ้าง ด้วยความเป็นนักอ่านอยู่บ้าง ได้ไปหยิบกระดาษที่คนทิ้งแล้ว เห็นอยู่ในระแวกกองขยะเก่า อ่านผ่านๆดันเป็นเรื่องของศีลและเก็บกลับบ้าน (ขุมทรัพย์อยู่ในกระดาษแม้คนทิ้งแล้ว) ต่อมาไปเห็นหนังสือธรรมะที่แจกฟรีเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ เมื่ออ่านดู ผมสรุปกระบวนการทั้งหมดเพียงเห็นความเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ และปฏิบัติไม่สนใจว่าจะถึงขั้นใด เพียงคลายจากกิเลส ตัณหา อุปาทานก็พอ แต่ตอนนั้น ผมรู้สึกยังไม่พอ ยังมีต่อ มีอีก ต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้ เหมือนการปฏิบัติมันขาดอะไรบางอย่าง เป็นเรื่องของเซ้นล้วนๆ ไม่ได้แสวงหาอาจารย์ตามสำนักเพราะไม่รู้จักสำนักปฏิบัติต่างๆ
และแล้วในวันหนึ่ง ผมไปเห็นหนังสือธรรมะที่แจกฟรีเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเล่มเล็กๆ เนื้อหากล่าวโดยภาพรวม มีเพียงหัวข้อ ก็ทำตามนั้น นั่นทำให้ผมหันไปเดินจงกรม เอาวิชชาที่เรียนมาปรับใช้ รู้จักสติสัมปชัญญะในการเคลื่อนไหว การกิน การนอน พูด เดิน และอื่นๆ (ภายหลังผมไปศึกษาเป็น สติปัฏฐาน ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตรแต่เป็นภาพรวม ไร้ลายละเอียด)
ผมเจริญศีล วิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ อย่างติดต่อ ซึ่งกล่าวภาพรวมคือ
๑. ให้เวลากับทิฏฐิ ทบทวนมุมมองชีวิต ความผิดพลาด เป็นเวลารวม ๑ เดือนกว่า
๒. ให้เวลากับ ศีลวิสุทธิ ต่อสู้กับกิเลส กาม ตัณหา อุปาทาน ความยึดมั่น ราว ๑ เดือน
๒. ให้เวลาสมาธิ รวม ๑๕ วัน มีเจริญกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศเล็กน้อย
๓. วิปัสสนาญาณ บวกสติปัฏฐาน ๔ ไม่เกิน ๑๕ วัน
รวมแล้วประมาณ ๓ เดือน
ผมปฏิบัติอย่างติดต่อ จนเข้าถึงภาวะ “อุเบกขา” รู้สึกสงบ เป็นกลาง วางอุปาทานขันธ์ แต่ไม่ได้ไปสนใจว่าเป็นภาวะอุเบกขาประมาณใด เพราะคิดว่า คิดไปก็รกสมอง แต่รู้ชัดในสภาพความเป็นจริง ซึ่งมันก็บรรลุเป้าหมายที่ผมวางไว้ คือ ความสงบ แต่ในขณะนั้น ผมมี ๒ ทางให้เลือกเดิน คือ การไปต่อ หรือ จะหยุดเพียงนั้น ซึ่งมันตัดสินใจไม่นาน และทำให้ผมไม่หยุดเพียงนั้น เลือกที่จะเดินต่อ เพราะผมเห็นชัดว่า ในภาวะขณะนั้นมันมาไกลแล้ว เหมือนใกล้ที่จะถึงอะไรบางอย่าง เพราะสติสัมปชัญญะมันต่างจากก่อนปฏิบัติมาก จนเห็นความต่างได้
เมื่อเลือกเดินต่อ สิ่งที่ผมเห็นทางในขณะนั้นคือ ผมต้องทำความแยบคาย ทำให้ละเอียดประณีตที่สุดเท่าที่สติปัญญาจะทำได้ ผมเลือกทบทวนสิ่งที่เจริญมาทั้งหมด ตรวจสอบความบริบูรณ์ รวมถึงสิ่งที่เห็นว่าจะขวาง และผมก็กำจัดในสิ่งที่เห็นว่าขวางออกไป และในขณะนั้น ๒- ๓ วันก่อนที่จะเข้าถึงอะไรบางอย่าง ผมรับรู้ได้ว่ามีแผ่นดินไหวหลายวันติดต่อกันที่เกาะสุมาตรา น่าจะประมาณเดือนสิงหาคม 2550 ราวระหว่างต้นเดือนถึงกลางเดือนสิงหาคม (ถ้าจำไม่ผิด)
ในวันต่อมา (เพียง ๑ วัน) หลังจากที่ผมขจัดสิ่งที่คิดว่าจะขวางออกไป ทวนมรรคทั้งหมด ผมเข้าถึงอะไรบางอย่างในช่วงกลางวัน ในขณะที่จะเอนตัวลงนอน คิดว่าท่าเดียวกับพระอานนท์ คือ เอียงๆ จะนอนก็ไม่นอน จะนั่งก็ไม่นั่ง ทำมุม 75 องศา
......................
จบตอนที่ 1
มาฟังเหตุผลทำไมผมจึงถามเกี่ยวกับโคตรภูญาณ อริยะ และโพธิสัตว์ซ้ำๆ (ตอนที่ 1)
https://ppantip.com/topic/39930357
....................
มันต้องย้อนเหตุการณ์ไปราว ๑๓ ๑๔ ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุราว ๒๔ ปี จะเล่าเป็นลำดับ
ชีวิตผมนั้นไม่เคยสนใจ ใส่ใจ ในศาสนาพุทธมาก่อน ดีบ้างชั่วบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ในช่วงตอนอายุ ๑๑ ปี ก็เคยบวชภาคฤดูร้อนอยู่ครั้งหนึ่งประมาณ 1 เดือน ได้รู้จักการอานาปานสติ และการเดินจงกรมอย่างสม่ำเสมอในตลอดระยะเวลาที่บวช ทำให้ค้นพบความสามารถของตนเองบางอย่าง และได้วิชชามาเป็นพื้นฐานอยู่ แม้สึกออกมาก็เจริญอานาปานสติสมาธิอยู่เนืองๆ มักจะใช้ข่มอารมณ์ไม่ดี วุ่นวาย
ผลของการบวชภาคฤดูร้อนนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของผมสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันเลยทีเดียว นั่นหมายถึง ผมเริ่มมีอดุมคติในชีวิตเกิดขึ้น ก็คืออุดมคติในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เรียกง่ายๆ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ความสามารถ ที่ต้องบริบูรณ์ทุกเรื่อง นั่นคือความคิดของเด็กอายุ ๑๑ ๑๒ ปี ที่ไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกใคร ในตอนนั้น ผมก็ไม่ได้นึกถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแม้แต่นิดเดียว เพียงต้องการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ และรู้สึกเบื่อหน่ายโลก โลกไม่ใช่สิ่งที่น่าท้าทาย อารมณ์อยากบวชประมาณนั้น ตราบจนอายุ ๒๔ ปี วิธีคิดผมก็เปลี่ยนแปลงไป
ในวัยเด็กๆนั้นมีเพื่อนผมมักจะทักหน้าตาผมเหมือนหน้าตาพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ เป็นความคล้ายรูปวาดของพระพุทธเจ้าที่ติดอยู่บนกระดาษหน้าห้องเรียน (หลายคนน่าจะนึกออก มีผมขมวดบนศีรษะ มีแสงวงกลม มีดอกบัวสีชมพูล้อมฐานที่นั่งใต้ต้นโพธิ์ ) แม้ตอนอายุประมาณ๒๐ กว่าๆ ยังมีเด็กเล็กอายุประมาณ 6 – 7 ขวบทักบ่อยอยู่ ประมาณว่า “หน้าตาเหมือนกันเลย”
คนทักบ่อยๆนี้ก็สงสัย สับสนในตัวเองเหมือนกัน แต่ในขณะนั้นผมคิดว่า "อย่าเอาไปเปรียบ"
นิสัยส่วนตัวของผมเป็นคนที่ชอบคิด โต้แย้งด้วยเหตุผล หลงตัวเอง มั่นใจในปัญญาของตนเอง มีวิธีคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป นี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปบอกทุกคน มันแปลกจนอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก จนทะเลาะเนืองๆ ในวัยเด็กเป็นคนที่ชื่นชอบถึงขั้นหลงใหลในจักรวาล ดวงดาว หรือดาราศาสตร์ ผมเห็นว่ามันมีความงาม และตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไป
ในวัยเด็กผมมีคติเรื่องโลกแบน ทำให้เกิดความกลัว ไม่กล้า กลัวตกขอบโลก ตั้งคำถามว่าถ้าขุดลงไปจะทะลุไหม น้ำที่ไหลมันไหลไปไหน จะตกขอบโลกไหม เคยเถียงกับพี่ชายซึ่งอายุห่างกัน 4 ปี ชนิดหูดับเรื่องโลกกลม โลกแบน จนไปเห็นภาพโลกกลมตอนอายุ ประมาณ 7 8 ปี จนเปลี่ยนทิฏฐิ
เอาจริงๆถ้าการศึกษาไทยในสมัยนั้นมันดี ผมคิดว่าตนเองน่าจะเป็นนักดาราศาสตร์ที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่ระบบการศึกษาสมัยนั้นไม่ตอบสนองความต้องการได้ เพราะเป็นการศึกษาบ้านนอก ห่างไกลการพัฒนาและโอกาส แต่นั่นอาจเป็นข้อดีที่ทำให้พบพุทธศาสนาในกาลต่อมาก็ได้ เพราะผมอาจจะหลงทิฏฐิวิทยาศาสตร์จนปิดทางอื่นในการเข้าถึงสัจธรรม
ผมเติบโตขึ้นและพัฒนาตนเองตามอุดมคติในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ความสงสัยและคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของธรรมชาติมันยังอยู่ใต้จิตสำนึกอยู่เสมอ เพียงไม่ได้เข้าไปแสวงหา ชีวิตมันเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง มีรักแต่อยากออกจากโลก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์ และต้องการความสงบ ผมติดในวังวันนั้นอยู่พักใหญ่จนทุกอย่างเสื่อมถอย เหมือนวิบากกรรมกำลังเล่นงาน และเริ่มหันมามองตนเอง เริ่มมีสติ
ในกลางปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่จตุคามเทพดังระเบิดครอบงำประเทศไทยแต่ผมมองข้ามมันไปอย่างไม่แยแส ผมได้ระลึกถึงอานาปานสติสมาธิที่เคยทำ และหันไปภาวนาตามความเข้าใจของตนเองล้วน ๆ เพียงเพื่อต้องการความสงบทางจิตใจ แต่ยังศึกษาเพิ่มอยู่บ้าง ด้วยความเป็นนักอ่านอยู่บ้าง ได้ไปหยิบกระดาษที่คนทิ้งแล้ว เห็นอยู่ในระแวกกองขยะเก่า อ่านผ่านๆดันเป็นเรื่องของศีลและเก็บกลับบ้าน (ขุมทรัพย์อยู่ในกระดาษแม้คนทิ้งแล้ว) ต่อมาไปเห็นหนังสือธรรมะที่แจกฟรีเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ เมื่ออ่านดู ผมสรุปกระบวนการทั้งหมดเพียงเห็นความเกิดดับ เห็นไตรลักษณ์ และปฏิบัติไม่สนใจว่าจะถึงขั้นใด เพียงคลายจากกิเลส ตัณหา อุปาทานก็พอ แต่ตอนนั้น ผมรู้สึกยังไม่พอ ยังมีต่อ มีอีก ต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้ เหมือนการปฏิบัติมันขาดอะไรบางอย่าง เป็นเรื่องของเซ้นล้วนๆ ไม่ได้แสวงหาอาจารย์ตามสำนักเพราะไม่รู้จักสำนักปฏิบัติต่างๆ
และแล้วในวันหนึ่ง ผมไปเห็นหนังสือธรรมะที่แจกฟรีเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเล่มเล็กๆ เนื้อหากล่าวโดยภาพรวม มีเพียงหัวข้อ ก็ทำตามนั้น นั่นทำให้ผมหันไปเดินจงกรม เอาวิชชาที่เรียนมาปรับใช้ รู้จักสติสัมปชัญญะในการเคลื่อนไหว การกิน การนอน พูด เดิน และอื่นๆ (ภายหลังผมไปศึกษาเป็น สติปัฏฐาน ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตรแต่เป็นภาพรวม ไร้ลายละเอียด)
ผมเจริญศีล วิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ อย่างติดต่อ ซึ่งกล่าวภาพรวมคือ
๑. ให้เวลากับทิฏฐิ ทบทวนมุมมองชีวิต ความผิดพลาด เป็นเวลารวม ๑ เดือนกว่า
๒. ให้เวลากับ ศีลวิสุทธิ ต่อสู้กับกิเลส กาม ตัณหา อุปาทาน ความยึดมั่น ราว ๑ เดือน
๒. ให้เวลาสมาธิ รวม ๑๕ วัน มีเจริญกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศเล็กน้อย
๓. วิปัสสนาญาณ บวกสติปัฏฐาน ๔ ไม่เกิน ๑๕ วัน
รวมแล้วประมาณ ๓ เดือน
ผมปฏิบัติอย่างติดต่อ จนเข้าถึงภาวะ “อุเบกขา” รู้สึกสงบ เป็นกลาง วางอุปาทานขันธ์ แต่ไม่ได้ไปสนใจว่าเป็นภาวะอุเบกขาประมาณใด เพราะคิดว่า คิดไปก็รกสมอง แต่รู้ชัดในสภาพความเป็นจริง ซึ่งมันก็บรรลุเป้าหมายที่ผมวางไว้ คือ ความสงบ แต่ในขณะนั้น ผมมี ๒ ทางให้เลือกเดิน คือ การไปต่อ หรือ จะหยุดเพียงนั้น ซึ่งมันตัดสินใจไม่นาน และทำให้ผมไม่หยุดเพียงนั้น เลือกที่จะเดินต่อ เพราะผมเห็นชัดว่า ในภาวะขณะนั้นมันมาไกลแล้ว เหมือนใกล้ที่จะถึงอะไรบางอย่าง เพราะสติสัมปชัญญะมันต่างจากก่อนปฏิบัติมาก จนเห็นความต่างได้
เมื่อเลือกเดินต่อ สิ่งที่ผมเห็นทางในขณะนั้นคือ ผมต้องทำความแยบคาย ทำให้ละเอียดประณีตที่สุดเท่าที่สติปัญญาจะทำได้ ผมเลือกทบทวนสิ่งที่เจริญมาทั้งหมด ตรวจสอบความบริบูรณ์ รวมถึงสิ่งที่เห็นว่าจะขวาง และผมก็กำจัดในสิ่งที่เห็นว่าขวางออกไป และในขณะนั้น ๒- ๓ วันก่อนที่จะเข้าถึงอะไรบางอย่าง ผมรับรู้ได้ว่ามีแผ่นดินไหวหลายวันติดต่อกันที่เกาะสุมาตรา น่าจะประมาณเดือนสิงหาคม 2550 ราวระหว่างต้นเดือนถึงกลางเดือนสิงหาคม (ถ้าจำไม่ผิด)
ในวันต่อมา (เพียง ๑ วัน) หลังจากที่ผมขจัดสิ่งที่คิดว่าจะขวางออกไป ทวนมรรคทั้งหมด ผมเข้าถึงอะไรบางอย่างในช่วงกลางวัน ในขณะที่จะเอนตัวลงนอน คิดว่าท่าเดียวกับพระอานนท์ คือ เอียงๆ จะนอนก็ไม่นอน จะนั่งก็ไม่นั่ง ทำมุม 75 องศา
......................
จบตอนที่ 1