มัมมี่ที่เกิดจากธรรมชาติ

มัมมี่เกลือ (Saltmen) 



ในปี 1993 ในเหมืองเกลือ Chehrabad ในเมืองซานจาน ประเทศอิหร่าน ค้นพบชิ้นส่วนของมนุษย์ขณะทำการขุดเหมืองเกลือ โดยชิ้นส่วนดังกล่าวมีลักษณะที่สมบูรณ์มาก   เนื่องจากพวกเขาถูกฝังในเหมืองเกลือที่แห้ง ด้วยสภาวะเช่นนี้จึงเป็นการรักษาศพไม่ให้เน่า จึงเกิดเป็นมัมมี่ขึ้น  มัมมี่เกลือที่ถูกค้นพบทั้งหมดมี 6 ร่าง
 
มัมมี่ร่างแรกที่มีการค้นพบ เป็นชายอายุประมาณ 35 ปี  พบเฉพาะหัวที่มีหนวดเครายาวสีขาว  บริเวณใบหูใส่เครื่องประดับที่ผลิตขึ้นจากทอง และขาเพียงข้างเดียวที่สวมรองเท้าบูตยาว มีดเหล็ก สร้อยเงิน และเมล็ดวอลนัท   
การค้นพบในครั้งนี้จะไม่ได้ร่างที่มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถไขความลับของมัมมี่ปริศนานี้ด้วยเครื่อง CT Scan โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า อวัยวะที่ค้นพบน่าจะมีอายุราวๆ 1,700 ปีโดยประมาณ 

คาดว่าเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็มหาเศรษฐี ข้อสันนิษฐานนี้เกิดขึ้นจากเครื่องประดับที่พบในตัวผู้ตาย ผลการสแกนยังพบด้วยว่าชายผู้นี้เสียชีวิตจากการถล่มของเหมืองเกลือ เนื่องจากบริเวณใบหน้ามีร่องรอยของการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง โชคดีที่เกลือทำปฏิกิริยาทางธรรมชาติบางอย่างกับอวัยวะที่พบ มันจึงไม่เน่าเปื่อยแล้วคงสภาพมาได้จนถึงปัจจุบัน

ภายหลังการค้นพบชิ้นส่วนของอวัยวะครั้งแรกในปี 1993 คนงานเหมืองยังค้นพบร่างของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 5 ศพ โดยแต่ละศพเกิดในยุคสมัยที่ต่างกัน และเกลือก็ยังคงรักษาสภาพของศพได้อย่างดีเยี่ยม นับเป็นอีกหนึ่งการค้นพบครั้งสำคัญ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าเกลือ ก็สามารถรักษาสภาพของศพได้เช่นกัน   มัมมี่ทั้งหมดตั้งแสดงอยู่ที่พิพิณฑ์ National Museum of Iran in Teheran

ที่มา https://www.clipmass.com/story/125359
Cr.https://board.postjung.com/1040310 /  โพสท์โดย GOVID


มนุษย์ในพรุ


(Windeby Girl / Cr.commons.wikimedia.org)
 
มัมมี่นี้เกิดจากถ่านหินพีท Peat ช่วยเก็บรักษาสภาพร่างกายของมนุษย์ให้มีชีวิตอยู่เมื่อสองพันปีก่อน โดยในบ่อถ่านหินเหล่านี้ได้มีการพบร่างของมนุษย์หลายครั้ง 
ถ่านพีท หรือถ่านหินเลน ที่จัดเป็นถ่านหินเนื้ออ่อนคล้ายดินเหนียวที่ชาวบ้านจะขุดตักขึ้นมาเป็น แท่งๆ ผึ่งให้แห้งแล้วนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง สภาพความเย็นจัด ความเป็นกรดสูง และขาดออกซิเจนของพรุแถบนี้ จะยับยั้งการแพร่กระจายของแบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจนในการย่อยสลายอินทรีย วัตถุได้อย่างมหัศจรรย์ ทำให้อินทรียวัตถุใดๆที่ตกจมอยู่ ในพรุไม่เน่าไม่เปื่อย

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ที่เริ่มมีการขุดถ่านพีทมาใช้เป็นต้นมา คนงานขุดถ่านพีทก็มักจะพบเจอศพที่ถูกดองอยู่ในพรุ และยังอยู่ในสภาพดีมากมายเกือบสองพันร่าง นักวิชาการเรียกศพที่เจอในบ่อถ่านหินพีทนั้นเรียกว่า Bog Bodies หรือ Bog People  ในบรรดาชาวพรุเกือบสองพันนี้ ศพแรกที่พบก็คือศพ คิบเบลกราน (Kibbelgraan Body) พบที่เนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ.1791 ศพในพรุเหล่านี้มีไม่กี่ร่างเท่านั้นที่สมบูรณ์ ในบรรดานี้บุรุษแห่งกรอบาล (Grauballe Man-เดนมาร์ก) และบุรุษแห่งโทลลุนด์ (Tollund Man-เดนมาร์ก) จะมีอวัยวะที่ครบถ้วนที่สุด 
 

บุรุษแห่งลินโดว์


พบที่พรุลินดาวมอส ในเชสเชียร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ศพมีอายุขัยมากว่า 2,000 ปี การตรวจสอบพบว่าเขามีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็น ชายวัย 20 ที่แข็งแรงถูกตีที่ศีรษะอย่างแรงสองครั้ง และถูกรัดคอซ้ำด้วยเชือกเอ็นสัตว์ที่ยังคงทิ้งค้างอยู่ รอบคอ ทั้งที่คอยังมีแผลเปิดที่ไม่แน่ว่าถูกเชือด หรือเป็นรอยปริแตกเมื่อศพบวมพอง ซี่โครงหักอีกหนึ่งซี่ ซึ่งเกิดจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงด้านหลัง (Cr.ภาพancient.eu/)

บุรุษแห่งโทลลุนด์


พบที่พรุใกล้หมู่บ้านโทลลุนด์ในเดนมาร์ก เมื่อปี 1950 ร่างของชายสองพันปี ผู้มิได้สวมอะไรเลยนอกจากเข็มขัดหนังกับหมวกหนังแกะผู้นี้ นอนขดคู้เข่าขึ้นในท่าที่ดูสบายๆ ใบหน้าไม่มีริ้วรอยความเจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด และมีเชือกแขวนคอที่ฟั่นด้วยเส้นหนังสองเส้นที่รอบคอ เขาตายเมื่อประมาณปี 400 ก่อน ค.ศ. ศพของเขาถูกฝังลึกลงไปจากพื้นดินถึง 50 เมตร (Cr.ภาพ sciencehistory.org/)

 
คนคู่แห่งเวียร์ดินจ์ 


พบเมื่อปี 1904 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นศพคนไร้ ศีรษะสองร่าง ร่างที่ใหญ่กว่าอยู่ในลักษณะจับประคองอีกร่างที่เล็กกว่า ร่างที่ใหญ่กว่านั้นยังมีกระดูกเชิงกรานครบครันบอกชัดเจนว่าเป็นชาย ร่างที่เล็กกว่าจึงถูกเข้าใจว่าเป็นหญิง และตีความกันว่าเป็นสามีภรรยาหรือคู่รักกัน  ทั้งสองเสียชีวิตระหว่างปี 100 ก่อน ค.ศ.-ค.ศ.50 (Cr.pbs.org/)
Cr.https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/157169 / โดย ทีมงาน ต่วย’ตูน

อ๊อตซี่ (OTZI)


OTZI  เป็นมัมมี่ที่เกิดขึ้นโดยสภาพภูมิอากาศอันเหมาะสม อ๊อตซี่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ถูกพบอยู่บนยอดเขา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล3,210 เมตร ระหว่างหุบเขา (Schnalstal) ของประเทศอิตาลี กับ(Ventertal)ของ ออสเตรีย

เมื่อศพของอ๊อตซี่อยู่ระหว่างสองประเทศนี้จึงมีการแย่งศพของอ๊อตซี่เกิดขึ้น แต่ประเทศผู้ที่ได้ศพของอ๊อตซี่ไปนั้นคือประเทศอิตาลี เพราะศพของอ๊อตซี่อยู่ลึกเข้ามาในอิตาลี ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดน92 เมตร ปัจจุบันอ๊อตซี่ ถูกเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมืองบอลโน

การพิสูจน์ศพของมัมมี่โดยราดิโอคาร์บอน เพื่อบ่งบอกอายุที่แท้จริงของอ๊อตซี่โดยใช้เนื้อเยื่อจากศพ ผลปรากฎว่าอ๊อตซี่มีชีวิตอยู่เมื่อ 5,300 ปีมาแล้วโดยประมาณ และจากการศึกษากระดูกของอ๊อตซี่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นชายที่มีอายุ ประมาณ46 ปี สูง159 เซนติเมตร ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ตอนกลางของภาคเหนือของยุโรป
นักวิชาการมีความเห็นว่าอ๊อตซี่ไม่ได้ตายตรงจุดที่พบหากแต่ลอยมาจากที่อื่น ในช่วงที่น้ำแข็งเกิดการละลาย ในรูปคือท่าตอนที่พบศพของอ๊อตซี่ครั้งแรก น้ำแข็งและความหนาวเย็นของสภาพภูมิอากาศของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศพ ของอ๊อตซี่เป็นมัมมี่ไปโดยปริยาย ซึ่งถือว่าอ๊อตซี่เป็นมัมมี่ที่เก่ากว่ามัมมี่อียิปต์
Cr.ภาพ pri.org/
Cr.http://themummy55.blogspot.com/2014/06/blog-post.html / โดย Unknown


มัมมี่น้ำแข็งแห่งทีมสำรวจขั้วโลก
 

มัมมี่นี้เป็นลูกเรือของคณะสำรวจ เซอร์จอห์น แฟรงคลิน ซึ่งมุ่งหน้าที่จะไปสำรวจเส้นทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิก มีอายุ140 กว่าปีแล้วที่ต้องนำชีวิตมาทิ้งที่เกาะบีชี  การเดินเรือสำรวจเส้นทางในครั้งนี้พบกับความล้มเหลวแม้แต่ เซอร์จอห์น ผู้นำทีมสำรวจก็ต้องนำชีวิตไปทิ้งที่เกาะคิงวิลเลี่ยมด้วย  

มัมมี่นี้คือ จอห์น ทอร์ริงตัน  หนุ่มชาวอังกฤษวัย 20 ปี ที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทางสำรวจของแฟรงคลิน และถูกฝังเอาไว้ที่อาร์กติกแคนาดา เมื่อปี 1846  ทอร์ริงตันถูกพบในปี 1984 พร้อมกับโลงศพสีดำของเขา และมีสภาพสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ระยะเวลากว่าศตวรรษที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขาเน่าเปื่อยลงไปอย่างที่ควรเป็น
 
การที่ทอร์ริงตันถูกฝังก็หมายความว่าในตอนที่เขาตาย ต้องมีลูกเรืออย่างน้อยๆ หนึ่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่และฝังเขา ซึ่งนับว่าน่าเศร้ามากเพราะในบรรดาลูกเรือของแฟรงคลินไม่มีใครรอดชีวิต   หลังจากนั้นไม่นาน นักโบราณคดีสามารถขุดพบลูกเรือบางส่วนของคณะสำรวจในพื้นที่ใกล้ๆ
โดยในบรรดาลูกเรือที่มีการค้นพบ มีคนถูกฝังอยู่ในสภาพคล้ายกับทอร์ริงตันอย่างน้อยๆ สองราย นอกจากนี้ยังพบโครงกระดูกที่มีร่องรอยของการถูกกินอีกด้วย (เป็นไปได้ว่ากินกันเอง)
 
สาเหตุการตายที่สำคัญของคณะสำรวจนี้คือ อาหารกระป๋อง เนื่องจากกระป๋องบรรจุอาหารนี้ส่วนหัวท้ายของกระป๋องถูกเชื่อมด้วย ดีบุกและตะกั่ว
ตะกั่วเหล่านี้ไหลมาปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง ซึ่งคณะสำรวจนี้กินอาหารกระป๋องที่ว่าเป็นเวลากว่า 2 ปี สารตะกั่วจึงเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากซึ่งมีผลต่อทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ และจากการตรวจสอบกระดูกของลูกเรือชิ้นหนึ่งบ่งบอกว่ามีการกินกันเองด้วย
ที่มา allthatsinteresting, owlcation 
เขียนโดย Life
Cr.https://ghost-in-manman.blogspot.com/2009/11/blog-post_2.html
Cr.https://www.catdumb.com/john-torrington-the-frozen-mummy-378/ By เหมียวศรัทธา 

มัมมี่กวานาคัวโต


พิพิธภัณฑ์มัมมี่ในเม็กซิโก รวบรวมและจัดแสดงศพคนตายแห้งเกรอะกรังที่โดนฝังทั้งเป็นกลายเป็นมัมมี่ทั้งสิ้น 108 ร่าง หลังเกิดวิกฤตการระบาดครั้งรุนแรงของอหิวาตกโรค เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน ตั้งอยู่ในเมืองกวานาคัวโต 

เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์ ครอบครัวของผู้ตายจำเป็นต้องฝังศพลงดินโดยด่วนที่สุด ทำให้สุสานภายในเมืองเต็มอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ทางการเมืองต้องเพิ่มภาษีป้ายหลุมศพในปี 1865 และเป็นที่มาของการขุดศพเก่าขึ้นจากหลุม เพื่อฝังศพใหม่ลงไป
           
น่าเหลือเชื่อที่ศพจำนวนหนึ่งซึ่งถูกขุดขึ้นมาได้แปรสภาพกลายเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติ ไม่มีการเน่าเปื่อยแต่อย่างใด ทั้งนี้คาดกันว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้งของเมืองกวานาคัวโต ดินที่มีสภาพแตกระแหง และโลงศพเล็ก ๆ ที่ทำมาพอดีตัว ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ศพที่ถูกฝังลงไปใต้ดินหยุดการย่อยสลาย และกลายมาเป็นมัมมี่อย่างที่เห็น

ศพแรกที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วพบว่ากลายเป็นมัมมี่ คือศพของ เรมิจิโอ ลีรอย ชาวฝรั่งเศส ที่ตายระหว่างเดินทางมารักษาคนไข้ในฐานะแพทย์
ยังมีมัมมี่ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกซึ่งเป็นตัวอ่อนอายุครรภ์ราว 4 เดือนที่ถูกฝังพร้อมกับมารดาขณะตั้งท้อง แต่เกิดป่วยเป็นโรคอหิวาต์และเสียชีวิตไป

อีกหนึ่งที่โด่งดังคือ มัมมี่ อิคนาเซีย อากีลาร์ ที่คาดกันว่าน่าจะถูกฝังทั้งเป็น หลังป่วยด้วยโรคหัวใจที่หาได้ยาก ที่ครั้งหนึ่งหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ทำให้อิคนาเซียสลบไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาเป็นเวลานานมาก ทางครอบครัวจึงตัดสินใจทำพิธีฝังเธอในที่สุด แต่เมื่อศพของเธอถูกขุดขึ้นมาในอีกปีหนึ่งให้หลัง ก็ต้องพบว่าเธอตายอย่างทรมานแสนสาหัสมาก ศพของอิคนาเซียอยู่ในสภาพคว่ำหน้า ใช้ปากกัดที่แขนจนเลือดสาด และยังมีร่องรอยการข่วนอย่างรุนแรงที่หน้าผากด้วย
Cr.https://hilight.kapook.com/view/138812

มัมมี่ครูเซเดอร์

 
 
เมื่อวันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โบสถ์เซนต์ไมเคิลที่เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ได้มีการแจ้งความกับตำรวจว่าถูกคนร้ายบุกเข้ามาทำลายมัมมี่โบราณ และขโมยชิ้นส่วนบางส่วนไป  ในช่วงบ่ายวันจันทร์ ก่อนที่จะพบว่ามัมมี่ “The Nun” ที่มีอายุ 400 ปี และมัมมี่ “The Crusader” ที่มีอายุ 800 ปีของโบสถ์นั้นมีร่องรอยการถูกทำให้เสียหายอยู่  โดยมัมมี่ The Nun นั้นถูกหักส่วนหัวไป 180 องศา ส่วนมัมมี่ The Crusader ถูกตัดศีรษะออกจากลำตัว ก่อนที่จะขโมยส่วนศีรษะไป
  
มัมมี่ The Crusader นั้น ถูกเชื่อโดยเหล่านักโบราณคดีว่าเป็นหนึ่งในทหารที่เข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในช่วงปี 1202-1204 ซึ่งกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติจากการที่ร่างของเขาถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้ดินที่ทำจากอิฐหินปูน และดูดเอาความชื้นในอากาศไปจนหมด

มัมมี่ทั้งของตัวนี้นับว่าเป็นมัมมี่ที่มีความสำคัญสำหรับโบสถ์แห่งนี้มาก นอกจากจะมีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวหลักของโบสถ์ด้วย
ที่มา livescience และ globalnews
Cr. https://www.catdumb.com/800-year-old-crusader-mummy-decapitated-378/  By เหมียวศรัทธา 

 
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่