เรื่องนี้ไม่ใช้เรื่องของผมนะครับ เเต่เป็นเรื่องของชายคนนึง ที่นำมาเล่าในเว็บบอร์ด เว็บนึง
อยากให้ฟังเป็นวิทยาทาน ข้อคิด ปัจจุปันเค้าอายุ 44 ปี
ขอเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เพื่อเป็นวิทยาทาน
ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อมาจากครอบครัวข้าราชการที่มีฐานะดี(พ่อเป็นลูกคนโตของครอบครัว โดยมีน้องอีก 4คน) ส่วนแม่มาจากครอบครัวชาวบ้านที่ยากจน(แม่ลูกคนที่4 โดยมีพี่น้องอีก 6คน)
พ่อของข้าพเจ้าเคยรับราชการทหาร เป็นทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนามและได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางด้านสมอง หลังจากนั้นจึงได้ลาออกจากราชการ มาค้าขาย และแต่งงานกับแม่ของข้าพเจ้า
ช่วงวัยที่ข้าพเจ้าเริ่มจำความได้ จนถึงอายุ 5-6ขวบ ชีวิตค่อนข้างสดใสร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อกับแม่ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมากที่เห็นแม่ตบตีทำร้ายพ่อต่อหน้าต่อหน้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่แสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อนเลย
วันรุ่งขึ้นแม่ก็ได้เก็บข้าวของออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้แต่นั่งอยู่ริมหน้าต่างมองแม่หอบกระเป๋าเดินออกจากบ้าน ตามประสาเด็กข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร (มารู้ทีหลัง พ่อเล่าให้ฟังว่า พ่อเอาเงินให้ญาติยืม โดยที่แม่ไม่รู้ บวกกับพ่อไม่ค่อยจะทันคน คิดตัดสินใจช้า เนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจากสงคราม)
ต่อมาพ่อได้ออกไปตามหาแม่ โดยฝากข้าพเจ้าไว้ให้ปู่กับย่าเลี้ยง ชีวิตช่วงนั้นเริ่มกลับมาสดใสเหมือนเมื่อก่อน ปู่กับย่าเลี้ยงข้าพเจ้าด้วยความรักความเข้าใจและตามใจในบางเรื่อง
พ่อตามหาแม่จนเจอและได้อยู่ช่วยงานฟาร์มหมูของลุง(พี่ชายของแม่) เป็นเวลาเกือบ 2ปี
ช่วงข้าพเจ้าอายุประมาณ 8ขวบ พ่อได้พาแม่กลับมาอยู่ที่บ้านเดิม โดยพ่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวด้วยการทอดแคบหมูขาย หน้าที่ของพ่อคือ ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ออกไปซื้อหนังหมูและกับข้าวที่ตลาดเช้า (คนเดียว) ไปจนถึงลอกมันหมูออกจากหนัง สับหนังให้เป็นเส้นๆ ก่อไฟตั้งเตาทอด หลังจากนั้นก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์เอาแคบหมูไปส่งตามร้านค้าหมู่บ้านต่างๆในเขตอำเภอ ส่วนแม่ทำหน้าที่เอาแคบหมูบรรจุใส่ถุง และเป็นแม่บ้าน
ในขั้นตอนบรรจุแคบหมูใส่ถุง เนื่องจากปริมาณแคบหมูที่เยอะมาก แม่ทำคนเดียวไม่ไหว เลยต้องจ้างคนแถวบ้าน 3-4 คนมาช่วยงาน ซึ่งคนที่มาช่วยงานทั้งหมดเป็นสาวโสด แม่คุยถูกคอและเกิดความสนิทสนมกับพวกเขา จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ทุกเย็นหลังจากมื้อเย็น แม่มักจะออกจากบ้านไปเที่ยวกับพวกเขาจนดึกดื่น บางทีกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน พอพ่อว่ากล่าวหรือห้ามปราม แม่มักจะอาละวาดด่าทอพ่อด้วยคำหยาบคายสารพัด จนปู่กับย่าจนไม่ไหว มาตักเตือนสั่งสอนแม่ๆกลับโกรธพวกท่านอย่างพยาบาทอาฆาตแค้น ข้าพเจ้าจำได้ว่า หลังปู่กับย่ากลับไปแล้ว แม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่พ่อจนบ้านแทบแตก และเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำประชดพ่อ ประชดปู่กับย่า คำพูดที่ข้าพได้ยินแม่ตะคอกใส่พ่อ ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจไม่มีวันลืม "กูจะเที่ยวเตร่ จะคบชู้จะพาชู้มาอยู่ที่บ้านนี้ด้วย" มันค่อนข้างสะเทือนใจสำหรับเด็กในวัยนั้นมาก
วันไหนที่แม่ระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ และข้าพเจ้าทำอะไรไม่ถูกใจ แม่ก็มักจะทุบตีข้าพเจ้าปางตาย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าช็อคเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งที่แม่พูดว่า "ไม่น่าจะเกิดมาเลย เกิดมาก็เป็นมารชีวิต เป็นตัวขัดขวางความเจริญของกู" สภาพจิตใจช่วงนั้นบอบช้ำจนไม่น่าเชื่อว่าข้าพเจ้าผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้อย่างไร
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกโศกเศร้าเสียใจ ยังมีปู่กับย่าเป็นที่พึ่งได้บ้าง แต่อย่าให้แม่รู้เด็ดขาด เพราะแม่คอยพูดกรอกหูข้าพเจ้าตลอดเวลาว่า ห้ามไปหาปู่กับย่าเด็ดขาด พวกเขาเป็นคนไม่ดี ด่าแม่ ไล่แม่ออกไปจากบ้าน เวลาปู่กับย่าให้เงินหรือขนม อย่ารับเด็ดขาด ถ้าแม่รู้แม่จะตีปางตาย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าอยากกินขนม พ่อไม่อยู่บ้าน แม่ก็ออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าพเจ้าไม่รู้ทำอย่างไรก็เลยไปหาปู่กับย่า พอได้เงินจากพวกท่าน ข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปที่ร้านชำในหมู่บ้านทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอแม่ข้าพเจ้า พอแม่รู้เรื่องเข้าก็เลยตีข้าพเจ้าอย่างไม่ยั้งมือ และบอกให้รีบเขาเงินไปคืนปู่กับย่าทันที พอปู่กับย่ารู้เรื่องเข้าก็มาต่อว่าแม่ทันที ทำให้แม่ยิ่งตีข้าพเจ้าหนักไปอีกเพื่อประชด
ผลจากการโดนทุบตีบ่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่ค่อนข้างเซื่องซึม หวาดระแวงกลัวคน เวลาไปโรงเรียนก็มักโดนพวกเด็กเกเรรังแกอยู่เสมอ พอข้าพเจ้าไม่สู้ พวกเขาก็ยิ่งรังแกข้าพเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม (ข้าพเจ้าเพิ่งมาสู้คนตอนอายุ 20ปลายๆ ประสบการณ์ชีวิตที่เลวร้ายมันบีบบังคับให้ข้าพเจ้าเป็นต้องสู้คนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง)
ช่วงอายุ 10-12 ปี แม่เริ่มเที่ยวเตร่น้อยลง เพราะท้องลูกคนที่ 2 (ข้าพเจ้ากับน้องสาวห่างกัน 11ปี) ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับครอบครัวพ่อเริ่มดีขึ้นบ้าง หลังจากคลอดแล้ว แม่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมและหนักกว่าเดิมอีก หลังจากเลิกเรียนแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบกลับบ้านมาเลี้ยงน้อง ส่วนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ห้ามออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเด็ดขาด ต้องอยู่บ้านเลี้ยงน้องทั้งวัน ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเก็ดกดกดดันมากที่สุดในชีวิต เพราะรู้สึกเหมือนโดนกักขัง เวลาเห็นเด็กวัยเดียวกันเล่นด้วยกัน หรือออกไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกัน ข้าพเจ้ารู้สึกอยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง
พอข้าพเจ้าขออนุญาตออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนฝูงบ้าง ก็มักจะโดนด่าว่าโดนตบตีเสมอ บางครั้งถึงขนาดโดนไล่ออกจากบ้าน โยนเสื้อผ้าข้าวของใส่หน้าก็มี
ช่วงอายุ 13-14 ปี แม่เที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำเกือบทุกวัน วันไหนที่พ่อขายแคบหมูทำกำไรไม่ถึงเป้าหรือเก็บเงินร้านค้าที่ค้างชำระค่าแคบหมูไม่ได้ แม่มักจะอาละวาดด่าทอพ่อต่างๆนานา ส่วนพ่อก็ไม่สู้ไม่เถียงอะไรเลย มัวแต่นิ่งเงียบ(ผลกระทบจากสงครามเวียตนาม) กลัวแม่ บ้านนี้แม่ใหญ่สุด
พอปู่กับย่าเข้ามาห้ามปราม แม่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่พวกท่านสารพัด แถมยังประชดด้วยการเชิญเพื่อนฝูงมากินเหล้าสังสรรค์ที่บ้านทุกวันจนเงินไม่เหลือติดบ้าน พ่อต้องไปกู้หนี้ยืมสินนอกระบบมาหมุนจนเงินทบต้นทบดอก ข้าพเจ้าจำได้ดี วันนั้นทั้งบ้านมีเงินเหลืออยู่แค่ 2บาท ข้าพเจ้าต้องมาพาน้องมากินข้าวที่บ้านปู่กับย่า
ช่วงอายุ 15-16 ปี ด้วยหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น และความกดดันจากแม่ ทำให้พ่อตัดสินไปทำงานที่ญี่ปุ่น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพ่อจับใจที่ต้องมาแบกรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว ส่วนแม่ก็หาเรื่องทะเลาะกับพ่อทุกวัน เพราะพ่อหาเงินมาให้ใช้จ่ายไม่ได้ ข้าพเจ้ายังจำประโยคที่แม่พูดกับพ่ออย่างไม่มีวันลืม "กูจะไปจากชีวิต เพราะให้ความสุขกูไม่ได้"
ระหว่างที่รอนายหน้าจัดการทำเรื่องไปญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างนานพอสมควรประมาณเกือบปี แม่พยายามกดดันพ่อสารพัดทุกวัน จนพ่อแอบไปยืมเงินนอกระบบมาอีก 2เจ้า เพื่อให้แม่สบายใจ
ข้าพเจ้าเกือบจะไม่ได้เรียน แต่โชคดีที่ยังมีปู่กับย่าให้พึ่งพาได้
ทุกๆปีเงินที่ปู่กับย่าขายข้าวขายผลผลิตจากสวนได้ ก็จะแบ่งให้หลานๆทุกคนเสมอ ซึ่งลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าทุกคน พ่อแม่พวกเขาเอาเงินนี้ฝากธนาคารไว้ให้พวกเขาเป็นประจำ ส่วนของข้าพเจ้ากับน้องสาวนั้น แน่นอนว่าคนมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการเงินที่ว่านี้คือ แม่ นั่นเอง
ช่วงอายุ 17 ปี พ่อหางานทำเป็นหลักแหล่งได้แล้ว และเริ่มส่งเงินมาให้ทุกเดือน โดยส่งเข้าบัญชีแม่ พอได้รับเงินแล้ว แม่ต้องแบ่งเอาเงินจำนวนหนึ่งมาใช้หนี้ปู่กับย่า ซึ่งก่อนพ่อไปญี่ปุ่น ได้เอาที่ดินของปู่กับย่าไปจำนำไว้ เพื่อเอาเงินมาให้นายหน้าส่งไปญี่ปุ่น อีกจำนวนหนึ่งทยอยจ่ายให้เจ้าหนี้ต่างๆที่พ่อเคยไปยืมเงินไว้ ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในบ้าน
พ่อไปทำงานที่ญี่ปุ่น แม่ก็ยังไม่หยุดเที่ยวเตร่ แถมยังหนักขึ้นกว่าเดิมอีก ส่วนชีวิตข้าพเจ้านั้น วนเวียนแค่ ไปโรงเรียนกับอยู่บ้านเลี้ยงน้องเท่านั้น ไม่มีสิทธิได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเหมือนเด็กวัยเดียวกัน (น้องเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว แต่หลังจากเลิกเรียนและวันหยุด ข้าพเจ้าต้องอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนน้อง ส่วนแม่ก็ออกไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืน)
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อส่งจดหมายมาหาแม่และมาหาปู่กับย่าด้วย ไปรษณีย์ซึ่งรู้จักกันทั้ง 2บ้าน เลยเอาจดหมายทั้ง 2ฉบับส่งให้พร้อมกันทีเดียว ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเอาจดหมายไปให้ปู่กับย่า แม่มาเห็นเข้าเลยรีบแย่งจดหมายไปแกะอ่าน และฉีกทิ้งทันที แถมยังขู่ข้าพเจ้าว่า ห้ามบอกปู่กับย่าเด็ดขาด ถ้าบอกจะโดนตีปางตาย และตัดแม่ตัดลูกทันที ด้วยความกลัวไร้เดียงสา ทำให้ข้าพเจ้าปิดปากแต่โดยดี (ข้าพเจ้าเพิ่งจะบอกเรื่องนี้กับพ่อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พอรู้เรื่องพ่อถึงกับซึมไม่พูดไม่จา)
ช่วงอายุ 18ปี ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนมหาลัยปีแรก เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะมีความสุขที่ได้สัมผัสคำว่า "อิสระภาพ" เพราะระยะทางจากบ้านมามหาลัยไกลมาก ต้องมาอยู่หอพักในมหาลัย
ฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นตามลำดับ พ่อขยันทำงานและส่งเงินมาให้ทุกเดือน ส่วนแม่ก็ยังเที่ยวเตร่เหมือนเดิม สงสารและเป็นห่วงน้องสาวที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังบ้าง แม่เอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนบ้าน
ทุกครั้งเวลากลับไปบ้าน ข้าพเจ้ามักจะได้ยินปู่กับย่าบ่นเรื่องของแม่ให้ฟังตลอดเวลาจนข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกกดดัน ข้าพเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแม่ได้ ไม่มีใครสามารถหยุดพฤติกรรมของแม่ได้เลย ยิ่งพูดแม่ก็ยิ่งทำประชดประชันมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วงอายุ 19-21 ปี ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก แม่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ปู่กับย่าก็เอือมระอากับพฤติกรรมของแม่เหมือนเดิม ข้าพเจ้าเริ่มได้ข่าวว่า แม่ไปติดผู้ชายคนอื่น และทำตัวเป็นแม่ยกทุ่มไม่อั้นอีกด้วย ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพ่อมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากถูกล้างสมองด้วยค่านิยมที่ถูกสั่งสอนกันมารุ่นต่อรุ่นว่า เป็นลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ห้ามเถียงพ่อแม่ ห้ามด่าพ่อแม่ ห้ามทำร้ายพ่อแม่เด็ดขาด ไม่ว่าพวกท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม พ่อแม่ย่อมถูกต้องเสมอ ที่สำคัญคือ ข้าพเจ้าไม่อยากเผชิญหน้าตอนที่แม่ระเบิดอารมณ์ใส่
พอเรียนจบมหาลัย (หลังจากสอบวันสุดท้าย) ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินทางไปทำงาน(เอาดาบหน้า)ที่ต่างประเทศ(ขอข้ามรายละเอียดตรงจุดนี้) โดยส่วนตัวนอกจากเป็นคนที่หลงไหลการเดินทางท่องเที่ยวอย่างบ้าคลั่งแล้ว(เก็ดกดจากตอนเด็ก) ข้าพเจ้าต้องการหนีไปให้พ้นจากสภาพแวดล้อมสังคมเดิมๆไปหาสังคมใหม่ๆที่ดีกว่า อีกอย่างช่วงนั้นกำลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง คนว่างงานเยอะแยะเต็มท้องถนนไปหมด
ก่อนเดินทางข้าพเจ้าได้ขออนุญาตแม่ และขอเงินค่าตั๋วเครื่องบิน+ค่าใช้จ่ายระหว่างหางานทำ แต่กลับโดนด่าสารพัด หาว่าเป็นลูกล้างลูกผลาญ ขัดขวางความเจริญรุ่งเรือง หาแต่ปัญหามาให้ จนปู่กับย่าต้องมาจัดการพูดกับแม่
ข้าพเจ้าได้เงินค่าตั๋ว(ไม่รวมเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ) และเงินติดกระเป๋าจากแม่ 10,000 บาท (ไม่รวมเงินที่ปู่กับย่าให้)
ข้าพเจ้ามารู้จากปากของพ่อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ช่วงนั้นแม่ได้โทรมาขอเงินพ่อเพิ่มอีกหลายหมื่นบาท เพื่อเอามาให้ข้าพเจ้าไปใช้จ่ายต่างประเทศ พ่อก็เลยทำโอทีเพิ่มทั้งวันทั้งคืน (แต่แม่กลับให้ข้าพเจ้าแค่ 10,000บาทเท่านั้น) ข้าพเจ้ารู้ความจริงถึงกับช็อค มันเสียใจจนจุกเข้าไปในอก
เจ้ากรรมนายเวรในรูปของบุพการี (เรื่องจริง) ขอคำเเนะนำ
อยากให้ฟังเป็นวิทยาทาน ข้อคิด ปัจจุปันเค้าอายุ 44 ปี
ขอเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เพื่อเป็นวิทยาทาน
ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อมาจากครอบครัวข้าราชการที่มีฐานะดี(พ่อเป็นลูกคนโตของครอบครัว โดยมีน้องอีก 4คน) ส่วนแม่มาจากครอบครัวชาวบ้านที่ยากจน(แม่ลูกคนที่4 โดยมีพี่น้องอีก 6คน)
พ่อของข้าพเจ้าเคยรับราชการทหาร เป็นทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนามและได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางด้านสมอง หลังจากนั้นจึงได้ลาออกจากราชการ มาค้าขาย และแต่งงานกับแม่ของข้าพเจ้า
ช่วงวัยที่ข้าพเจ้าเริ่มจำความได้ จนถึงอายุ 5-6ขวบ ชีวิตค่อนข้างสดใสร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อกับแม่ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมากที่เห็นแม่ตบตีทำร้ายพ่อต่อหน้าต่อหน้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแม่แสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อนเลย
วันรุ่งขึ้นแม่ก็ได้เก็บข้าวของออกจากบ้าน ข้าพเจ้าได้แต่นั่งอยู่ริมหน้าต่างมองแม่หอบกระเป๋าเดินออกจากบ้าน ตามประสาเด็กข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร (มารู้ทีหลัง พ่อเล่าให้ฟังว่า พ่อเอาเงินให้ญาติยืม โดยที่แม่ไม่รู้ บวกกับพ่อไม่ค่อยจะทันคน คิดตัดสินใจช้า เนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจากสงคราม)
ต่อมาพ่อได้ออกไปตามหาแม่ โดยฝากข้าพเจ้าไว้ให้ปู่กับย่าเลี้ยง ชีวิตช่วงนั้นเริ่มกลับมาสดใสเหมือนเมื่อก่อน ปู่กับย่าเลี้ยงข้าพเจ้าด้วยความรักความเข้าใจและตามใจในบางเรื่อง
พ่อตามหาแม่จนเจอและได้อยู่ช่วยงานฟาร์มหมูของลุง(พี่ชายของแม่) เป็นเวลาเกือบ 2ปี
ช่วงข้าพเจ้าอายุประมาณ 8ขวบ พ่อได้พาแม่กลับมาอยู่ที่บ้านเดิม โดยพ่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวด้วยการทอดแคบหมูขาย หน้าที่ของพ่อคือ ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ออกไปซื้อหนังหมูและกับข้าวที่ตลาดเช้า (คนเดียว) ไปจนถึงลอกมันหมูออกจากหนัง สับหนังให้เป็นเส้นๆ ก่อไฟตั้งเตาทอด หลังจากนั้นก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์เอาแคบหมูไปส่งตามร้านค้าหมู่บ้านต่างๆในเขตอำเภอ ส่วนแม่ทำหน้าที่เอาแคบหมูบรรจุใส่ถุง และเป็นแม่บ้าน
ในขั้นตอนบรรจุแคบหมูใส่ถุง เนื่องจากปริมาณแคบหมูที่เยอะมาก แม่ทำคนเดียวไม่ไหว เลยต้องจ้างคนแถวบ้าน 3-4 คนมาช่วยงาน ซึ่งคนที่มาช่วยงานทั้งหมดเป็นสาวโสด แม่คุยถูกคอและเกิดความสนิทสนมกับพวกเขา จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ทุกเย็นหลังจากมื้อเย็น แม่มักจะออกจากบ้านไปเที่ยวกับพวกเขาจนดึกดื่น บางทีกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน พอพ่อว่ากล่าวหรือห้ามปราม แม่มักจะอาละวาดด่าทอพ่อด้วยคำหยาบคายสารพัด จนปู่กับย่าจนไม่ไหว มาตักเตือนสั่งสอนแม่ๆกลับโกรธพวกท่านอย่างพยาบาทอาฆาตแค้น ข้าพเจ้าจำได้ว่า หลังปู่กับย่ากลับไปแล้ว แม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่พ่อจนบ้านแทบแตก และเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำประชดพ่อ ประชดปู่กับย่า คำพูดที่ข้าพได้ยินแม่ตะคอกใส่พ่อ ข้าพเจ้าจำได้ขึ้นใจไม่มีวันลืม "กูจะเที่ยวเตร่ จะคบชู้จะพาชู้มาอยู่ที่บ้านนี้ด้วย" มันค่อนข้างสะเทือนใจสำหรับเด็กในวัยนั้นมาก
วันไหนที่แม่ระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ และข้าพเจ้าทำอะไรไม่ถูกใจ แม่ก็มักจะทุบตีข้าพเจ้าปางตาย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าช็อคเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งที่แม่พูดว่า "ไม่น่าจะเกิดมาเลย เกิดมาก็เป็นมารชีวิต เป็นตัวขัดขวางความเจริญของกู" สภาพจิตใจช่วงนั้นบอบช้ำจนไม่น่าเชื่อว่าข้าพเจ้าผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้อย่างไร
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกโศกเศร้าเสียใจ ยังมีปู่กับย่าเป็นที่พึ่งได้บ้าง แต่อย่าให้แม่รู้เด็ดขาด เพราะแม่คอยพูดกรอกหูข้าพเจ้าตลอดเวลาว่า ห้ามไปหาปู่กับย่าเด็ดขาด พวกเขาเป็นคนไม่ดี ด่าแม่ ไล่แม่ออกไปจากบ้าน เวลาปู่กับย่าให้เงินหรือขนม อย่ารับเด็ดขาด ถ้าแม่รู้แม่จะตีปางตาย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าอยากกินขนม พ่อไม่อยู่บ้าน แม่ก็ออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าพเจ้าไม่รู้ทำอย่างไรก็เลยไปหาปู่กับย่า พอได้เงินจากพวกท่าน ข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปที่ร้านชำในหมู่บ้านทันที ระหว่างทางบังเอิญเจอแม่ข้าพเจ้า พอแม่รู้เรื่องเข้าก็เลยตีข้าพเจ้าอย่างไม่ยั้งมือ และบอกให้รีบเขาเงินไปคืนปู่กับย่าทันที พอปู่กับย่ารู้เรื่องเข้าก็มาต่อว่าแม่ทันที ทำให้แม่ยิ่งตีข้าพเจ้าหนักไปอีกเพื่อประชด
ผลจากการโดนทุบตีบ่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่ค่อนข้างเซื่องซึม หวาดระแวงกลัวคน เวลาไปโรงเรียนก็มักโดนพวกเด็กเกเรรังแกอยู่เสมอ พอข้าพเจ้าไม่สู้ พวกเขาก็ยิ่งรังแกข้าพเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม (ข้าพเจ้าเพิ่งมาสู้คนตอนอายุ 20ปลายๆ ประสบการณ์ชีวิตที่เลวร้ายมันบีบบังคับให้ข้าพเจ้าเป็นต้องสู้คนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง)
ช่วงอายุ 10-12 ปี แม่เริ่มเที่ยวเตร่น้อยลง เพราะท้องลูกคนที่ 2 (ข้าพเจ้ากับน้องสาวห่างกัน 11ปี) ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับครอบครัวพ่อเริ่มดีขึ้นบ้าง หลังจากคลอดแล้ว แม่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมและหนักกว่าเดิมอีก หลังจากเลิกเรียนแล้ว ข้าพเจ้าต้องรีบกลับบ้านมาเลี้ยงน้อง ส่วนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ห้ามออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเด็ดขาด ต้องอยู่บ้านเลี้ยงน้องทั้งวัน ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเก็ดกดกดดันมากที่สุดในชีวิต เพราะรู้สึกเหมือนโดนกักขัง เวลาเห็นเด็กวัยเดียวกันเล่นด้วยกัน หรือออกไปเที่ยวไหนมาไหนด้วยกัน ข้าพเจ้ารู้สึกอยากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง
พอข้าพเจ้าขออนุญาตออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนฝูงบ้าง ก็มักจะโดนด่าว่าโดนตบตีเสมอ บางครั้งถึงขนาดโดนไล่ออกจากบ้าน โยนเสื้อผ้าข้าวของใส่หน้าก็มี
ช่วงอายุ 13-14 ปี แม่เที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำเกือบทุกวัน วันไหนที่พ่อขายแคบหมูทำกำไรไม่ถึงเป้าหรือเก็บเงินร้านค้าที่ค้างชำระค่าแคบหมูไม่ได้ แม่มักจะอาละวาดด่าทอพ่อต่างๆนานา ส่วนพ่อก็ไม่สู้ไม่เถียงอะไรเลย มัวแต่นิ่งเงียบ(ผลกระทบจากสงครามเวียตนาม) กลัวแม่ บ้านนี้แม่ใหญ่สุด
พอปู่กับย่าเข้ามาห้ามปราม แม่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่พวกท่านสารพัด แถมยังประชดด้วยการเชิญเพื่อนฝูงมากินเหล้าสังสรรค์ที่บ้านทุกวันจนเงินไม่เหลือติดบ้าน พ่อต้องไปกู้หนี้ยืมสินนอกระบบมาหมุนจนเงินทบต้นทบดอก ข้าพเจ้าจำได้ดี วันนั้นทั้งบ้านมีเงินเหลืออยู่แค่ 2บาท ข้าพเจ้าต้องมาพาน้องมากินข้าวที่บ้านปู่กับย่า
ช่วงอายุ 15-16 ปี ด้วยหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น และความกดดันจากแม่ ทำให้พ่อตัดสินไปทำงานที่ญี่ปุ่น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพ่อจับใจที่ต้องมาแบกรับภาระทั้งหมดไว้คนเดียว ส่วนแม่ก็หาเรื่องทะเลาะกับพ่อทุกวัน เพราะพ่อหาเงินมาให้ใช้จ่ายไม่ได้ ข้าพเจ้ายังจำประโยคที่แม่พูดกับพ่ออย่างไม่มีวันลืม "กูจะไปจากชีวิต เพราะให้ความสุขกูไม่ได้"
ระหว่างที่รอนายหน้าจัดการทำเรื่องไปญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างนานพอสมควรประมาณเกือบปี แม่พยายามกดดันพ่อสารพัดทุกวัน จนพ่อแอบไปยืมเงินนอกระบบมาอีก 2เจ้า เพื่อให้แม่สบายใจ
ข้าพเจ้าเกือบจะไม่ได้เรียน แต่โชคดีที่ยังมีปู่กับย่าให้พึ่งพาได้
ทุกๆปีเงินที่ปู่กับย่าขายข้าวขายผลผลิตจากสวนได้ ก็จะแบ่งให้หลานๆทุกคนเสมอ ซึ่งลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าทุกคน พ่อแม่พวกเขาเอาเงินนี้ฝากธนาคารไว้ให้พวกเขาเป็นประจำ ส่วนของข้าพเจ้ากับน้องสาวนั้น แน่นอนว่าคนมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการเงินที่ว่านี้คือ แม่ นั่นเอง
ช่วงอายุ 17 ปี พ่อหางานทำเป็นหลักแหล่งได้แล้ว และเริ่มส่งเงินมาให้ทุกเดือน โดยส่งเข้าบัญชีแม่ พอได้รับเงินแล้ว แม่ต้องแบ่งเอาเงินจำนวนหนึ่งมาใช้หนี้ปู่กับย่า ซึ่งก่อนพ่อไปญี่ปุ่น ได้เอาที่ดินของปู่กับย่าไปจำนำไว้ เพื่อเอาเงินมาให้นายหน้าส่งไปญี่ปุ่น อีกจำนวนหนึ่งทยอยจ่ายให้เจ้าหนี้ต่างๆที่พ่อเคยไปยืมเงินไว้ ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในบ้าน
พ่อไปทำงานที่ญี่ปุ่น แม่ก็ยังไม่หยุดเที่ยวเตร่ แถมยังหนักขึ้นกว่าเดิมอีก ส่วนชีวิตข้าพเจ้านั้น วนเวียนแค่ ไปโรงเรียนกับอยู่บ้านเลี้ยงน้องเท่านั้น ไม่มีสิทธิได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันเหมือนเด็กวัยเดียวกัน (น้องเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว แต่หลังจากเลิกเรียนและวันหยุด ข้าพเจ้าต้องอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนน้อง ส่วนแม่ก็ออกไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืน)
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อส่งจดหมายมาหาแม่และมาหาปู่กับย่าด้วย ไปรษณีย์ซึ่งรู้จักกันทั้ง 2บ้าน เลยเอาจดหมายทั้ง 2ฉบับส่งให้พร้อมกันทีเดียว ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเอาจดหมายไปให้ปู่กับย่า แม่มาเห็นเข้าเลยรีบแย่งจดหมายไปแกะอ่าน และฉีกทิ้งทันที แถมยังขู่ข้าพเจ้าว่า ห้ามบอกปู่กับย่าเด็ดขาด ถ้าบอกจะโดนตีปางตาย และตัดแม่ตัดลูกทันที ด้วยความกลัวไร้เดียงสา ทำให้ข้าพเจ้าปิดปากแต่โดยดี (ข้าพเจ้าเพิ่งจะบอกเรื่องนี้กับพ่อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา พอรู้เรื่องพ่อถึงกับซึมไม่พูดไม่จา)
ช่วงอายุ 18ปี ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนมหาลัยปีแรก เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะมีความสุขที่ได้สัมผัสคำว่า "อิสระภาพ" เพราะระยะทางจากบ้านมามหาลัยไกลมาก ต้องมาอยู่หอพักในมหาลัย
ฐานะทางบ้านเริ่มดีขึ้นตามลำดับ พ่อขยันทำงานและส่งเงินมาให้ทุกเดือน ส่วนแม่ก็ยังเที่ยวเตร่เหมือนเดิม สงสารและเป็นห่วงน้องสาวที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังบ้าง แม่เอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนบ้าน
ทุกครั้งเวลากลับไปบ้าน ข้าพเจ้ามักจะได้ยินปู่กับย่าบ่นเรื่องของแม่ให้ฟังตลอดเวลาจนข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกกดดัน ข้าพเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแม่ได้ ไม่มีใครสามารถหยุดพฤติกรรมของแม่ได้เลย ยิ่งพูดแม่ก็ยิ่งทำประชดประชันมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วงอายุ 19-21 ปี ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก แม่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ปู่กับย่าก็เอือมระอากับพฤติกรรมของแม่เหมือนเดิม ข้าพเจ้าเริ่มได้ข่าวว่า แม่ไปติดผู้ชายคนอื่น และทำตัวเป็นแม่ยกทุ่มไม่อั้นอีกด้วย ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพ่อมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากถูกล้างสมองด้วยค่านิยมที่ถูกสั่งสอนกันมารุ่นต่อรุ่นว่า เป็นลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ห้ามเถียงพ่อแม่ ห้ามด่าพ่อแม่ ห้ามทำร้ายพ่อแม่เด็ดขาด ไม่ว่าพวกท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม พ่อแม่ย่อมถูกต้องเสมอ ที่สำคัญคือ ข้าพเจ้าไม่อยากเผชิญหน้าตอนที่แม่ระเบิดอารมณ์ใส่
พอเรียนจบมหาลัย (หลังจากสอบวันสุดท้าย) ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินทางไปทำงาน(เอาดาบหน้า)ที่ต่างประเทศ(ขอข้ามรายละเอียดตรงจุดนี้) โดยส่วนตัวนอกจากเป็นคนที่หลงไหลการเดินทางท่องเที่ยวอย่างบ้าคลั่งแล้ว(เก็ดกดจากตอนเด็ก) ข้าพเจ้าต้องการหนีไปให้พ้นจากสภาพแวดล้อมสังคมเดิมๆไปหาสังคมใหม่ๆที่ดีกว่า อีกอย่างช่วงนั้นกำลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง คนว่างงานเยอะแยะเต็มท้องถนนไปหมด
ก่อนเดินทางข้าพเจ้าได้ขออนุญาตแม่ และขอเงินค่าตั๋วเครื่องบิน+ค่าใช้จ่ายระหว่างหางานทำ แต่กลับโดนด่าสารพัด หาว่าเป็นลูกล้างลูกผลาญ ขัดขวางความเจริญรุ่งเรือง หาแต่ปัญหามาให้ จนปู่กับย่าต้องมาจัดการพูดกับแม่
ข้าพเจ้าได้เงินค่าตั๋ว(ไม่รวมเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ) และเงินติดกระเป๋าจากแม่ 10,000 บาท (ไม่รวมเงินที่ปู่กับย่าให้)
ข้าพเจ้ามารู้จากปากของพ่อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่า ช่วงนั้นแม่ได้โทรมาขอเงินพ่อเพิ่มอีกหลายหมื่นบาท เพื่อเอามาให้ข้าพเจ้าไปใช้จ่ายต่างประเทศ พ่อก็เลยทำโอทีเพิ่มทั้งวันทั้งคืน (แต่แม่กลับให้ข้าพเจ้าแค่ 10,000บาทเท่านั้น) ข้าพเจ้ารู้ความจริงถึงกับช็อค มันเสียใจจนจุกเข้าไปในอก