Post-Mortem photography
(Cr.thestandingstone.com)
การถ่ายภาพคนตายเป็นที่นิยมอย่างมากในฝั่งยุโรป และอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยพวกเขาจะทำการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เพิ่งตายจากไป เพื่อเก็บไว้เป็นตัวแทนของความทรงจำ หรือ Memento Mori (ภาษาละติน) เป็นการถ่ายภาพบุคคลที่เสียชีวิตแล้วไว้เป็นที่ระลึก กิจการถ่ายภาพนี้ได้รับความนิยมหลังจากมีการคิดค้นวิธีถ่ายภาพแบบ ดูแกรีโอไทพ์ (Daguerreotype) ในปี 1839 เนื่องจากบางคนไม่สามารถนั่งเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนบุคคลได้
และการถ่ายภาพดังกล่าวยังมีราคาถูกและรวดเร็วกว่า จึงเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในช่วงยุควิกตอเรียน (Victorian Era) อัตราการตายของเด็กและทารกนั้นสูงมาก ภาพถ่ายส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายของเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ และเมื่อมีการคิดค้นภาพแบบ Carte de Visite (ภาพเล็กๆ ที่อยู่บนการ์ด) ทำให้สามารถทำสำเนาภาพแจกจ่ายให้กับบรรดาญาติทั้งหลายได้อีกด้วย ส่วนถ้าผู้ตายเป็นผู้ใหญ่ ก็มีการจัดลักษณะท่าทางและถ่ายรูปร่วมกับสิ่งที่ผูกพันสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกัน
การถ่ายภาพ Post-Mortem Photgraphy มีทั้งแบบที่ถ่ายใกล้ๆ (Close up) ใบหน้าและแบบถ่ายเต็มตัว ส่วนมากจะไม่นำเอาโลงศพเข้ามาประกอบ ศพที่นำมาถ่ายจะมีลักษณะเหมือนกำลังหลับลึกหรือมีการจัดท่าทางให้ดูเหมือนมีชีวิต บางครั้งก็ใช้วัสดุมาช่วยค้ำเปลือกตาเพื่อให้ดูเหมือนกำลังลืมตา หรืออาจจะใช้วิธีเขียนตาลงไปบนภาพเพื่อให้ดูมีชีวิตมากยิ่งขึ้น
จะมีการนำเอาสีชมพูอ่อนๆ มาแต้มที่แก้มศพด้วย ในกรณีที่เป็นการถ่ายภาพเด็กมักจะจัดท่าให้เหมือนนอนอยู่บนที่นอน หรือถ่ายภาพคู่กับของเล่นชิ้นโปรด รวมทั้งมีการถ่ายคู่กับสมาชิกในครอบครัว ศพผู้ใหญ่จะถูกจัดท่าให้นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ มาช่วยค้ำ หรือไม่ก็ผูกติดกับวัสดุที่เอามาค้ำ
(Cr.thisis369.com/)
ซึ่งในยุคนั้นการถ่ายภาพคนตายถือว่าเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้มักจะนำเอาดอกไม้มาประดับตกแต่งด้วย ทั้งนี้ผู้ตายมักจะถูกจัดให้อยู่ในท่าทางเหมือนกำลังมีชีวิต หรือว่าเป็นลักษณะที่กำลังหลับ ในปัจจุบันการถ่ายภาพแบบนี้ยังคงเป็นกิจการที่ได้รับความนิยมในบางพื้นที่ เช่น แถบยุโรปตะวันออก รวมถึงชาวคริสเตียนนิกายออโธดอกทางแถบตะวันออก
ขอบคุณรูปภาพ-ข้อมูล buzzfeed.com,www.oddee.com, .palungjit.org
Cr.
https://www.sanook.com/horoscope/107845/
Death mask
การสร้างหน้ากากแห่งความตายถูกพบครั้งแรกในวัฒนธรรมอียิปต์ ชาวไอยคุปต์เชื่อว่า หน้ากากนี้จะทำให้วิญญาณสามารถจดจำใบหน้าและร่างกายของตัวเองได้ ในปัจจุบันใบหน้าที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุด คือหน้ากากของกษัตริย์ตุตันคาเมน (King Tut) ผู้ปกครองอียิปต์ช่วงก่อนคริสตกาล ส่วนในตำนานความเชื่อของชนเผ่าแอฟริกัน หน้ากากความตายนั้นสามารถมอบพลังให้กับคนเป็นที่สวมใส่ ให้เข้าถึงพลังแห่งจิตวิญญาณของบุคคลผู้วายชนม์
“Death masks” หรือ หน้ากากแห่งความตาย เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับความตายของชนชั้นสูงในทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 โดยการนำปูนมาหล่อไว้ที่ใบหน้าของผู้เสียชีวิต เพื่อเก็บรูปลักษณ์ใบหน้าของผู้เสียชีวิตเอาไว้
หลังจากนั้นจะมีการนำหน้ากากนี้ไปโชว์ในงานศพของผู้เสียชีวิตด้วย และอีกหนึ่งในข้อดีก็คือ ตำรวจสามารถใช้หน้ากากนี้ระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตได้อีกด้วย(ในกรณีที่ไม่สามารถระบุตัวตนตอนพบศพ) หน้ากากแห่งความตายส่วนใหญ่จะถูกทำมาจากปูนปาสเตอร์ แต่สำหรับบางวัฒนธรรม เช่น จักรวรรดิโรมัน มักจะถูกทำด้วยขี้ผึ้ง และประเพณีนี้ได้จางหายไปจากการมาของกล้องถ่ายภาพ
หน้ากากแห่งความตายที่น่าจดจำที่สุดในโลกตะวันตก
Dante
ดันเต อาลีกีเอรี่ รัฐบุรุษ กวี และนักภาษาศาสตร์คนสำคัญของฟลอเรนซ์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 และ 14 ได้รับการขนานนามในอิตาลีว่า “il Sommo Poeta” หรือ “มหากวี” ในช่วงปี 1320 ดันเต้มีความเห็นไม่ลงรอยกับฝ่ายการเมืองและถูกเนรเทศออกจากฟลอเรนซ์ งานเขียนชิ้นสำคัญและเป็นที่รู้จักของเขา “ดีวีนากอมเมเดีย” (Divina Commedia) ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรีย
Death: September 13, 1320
Mary Queen of Scots (Queen Mary I)
ราชินีแมรี่แห่งสก๊อตแลนด์ ได้รับสมญานามว่าราชินีสามมงกุฎ (มงกุฎสก๊อตแลนด์ - สิทธิ์โดยกำเนิด มงกุฎฝรั่งเศส - จากการแต่งงานกับพระเจ้าฟรานซิสที่สองแห่งฝรั่งเศส และ มงกุฎอังกฤษ - ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับราชินีเอลิซาเบธที่ 1 เนื่องจากพระราชินีเอลิซาเบธเป็นบุตรที่เกิดจากการสมรสครั้งที่ 2 จึงไม่ได้รับการยอมรับจากพระสันตปะปาและประเทศคาทอลิกให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ที่ถูกต้อง) ทรงเสียมงกุฎฝรั่งเศสไปจากการเสียชีวิตของสามี และเสียพระเศียรหลังแพ้ในเกมชิงบัลลังก์กับลูกพี่ลูกน้อง แมรรี่ถูกกักบริเวณเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยขวาน ว่ากันว่าเพชรฆาตต้องลงขวานซ้ำถึงสามครั้งก่อนจะตัดพระเศียรได้ขาดสนิท ใบหน้าของพระนางถูกนำมาหล่อด้วยขี้ผึ้งและทำเป็นหน้ากากดังที่เห็นในปัจจุบัน
Death: February 8, 1587
John Keats
กวีชาวอังกฤษผู้วางรากฐานงานกวีนิพนธ์ในยุคโรแมนติก ตลอดช่วงชีวิตอันแสนสั้นของเขาได้สร้างสรรค์ผลงานอันมีค่ามากมายจนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กวีในยุคหลัง คีทส์เสียชีวิตด้วยวัณโรคในวัยเพียง 26 ปี ก่อนหน้านี้แพทย์ประจำตัวของเขา แนะนำให้คีทส์ย้ายไปอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะมีอากาศอบอุ่นและแห้งกว่าลอนดอน คีทส์ต้องควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดจนเหลือทานได้แค่ปลาแองโชวี่กับขนมปัง และเข้ารับการรักษาด้วยการรีดเลือดเสียออกจากร่างกาย เขาเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีต่อมา
Death: February 23, 1821
Napoleon Bonaparte
นโปเลียนเป็นนายทหารและผู้นำอันเกรียงไกรของฝรั่งเศส หลังถูกโค่นล้ม เขาถูกเนรเทศและใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่บนเกาะ ก่อนเสียชีวิตนโปเลียนทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้องอย่างหนักเป็นเวลานาน ซึ่งเจ้าตัวเชื่อว่ากำลังถูกลอบวางยาพิษโดยสายลับชาวอังกฤษ หลังเสียชีวิตไปหลายปี ศพของนโปเลียนถูกชันสูตรและตรวจพบว่าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่จริงแล้วพ่ายแพ้ต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
Death: May 5, 1821
William Blake
กวีและศิลปินชาวอังกฤษ สาเหตุการตายของเขายังเป็นปริศนามาจนปัจจุบัน ว่ากันว่าเขาเริ่มมีอาการประสาทหลอนและเป็นโรคที่ไม่มีชื่อเรียกและไม่มีทางรักษา ที่จริงแล้วช่วงปั้นปลายชีวิตของเบลคค่อนข้างดำมืด หลังจากงานของเขาถูกวิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนักหน่วง ในปี 1819 เขาเริ่มโปรเจคภาพสเก็ตหัวคน "visionary heads." โดยอ้างว่าบุคคลประวัติศาสตร์ในภาพเหล่านี้ปรากฎตัวมาเป็นแบบให้เขาด้วยตนเอง
Death: August 12, 1827
Michael Collins
นักปฏิวัติชาวไอริช ผู้นำกลุ่มนักรบที่ทำสงครามแบบกองโจรตอบโต้ประเทศอังกฤษอันเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการ I.R.A. (Irish Republican Army) และยังเป็นผู้ช่วยเจรจาในการแบ่งแยกให้ไอร์แลนด์เป็นรัฐอิสระ คอลินส์ถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ยังเป็นปริศนา
Death: August 22, 1922
John Dillinger
จอมโจรชาวอเมริกัน กลวิธีการปล้นของเขาได้รับการกล่าวขวัญมาถึงปัจจุบันเพราะแทนที่จะถือปืนบุกปล้นแบบบ้านๆ ดิลลินเจอร์เคยปลอมตัวเป็นพนักงานขายระบบสัญญานเตือนภัยเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารก่อนวางแผนปล้นเงียบ
คือทำเป็นกองถ่ายหนังที่กำลังถ่ายทำฉากปล้นธนาคารระหว่างการปล้นจริง ความคิดสร้างสรรค์ของดิลลินเจอร์ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวงการสีเทา ได้เป็นถึงหัวหน้าแก๊งใหญ่ในชิคาโก ดิลลินเจอร์เสียชีวิตในวัย 31 ปี เพราะโดนลูกน้องหักหลังชี้เป้าให้ FBI จนถูกลอบสังหาร
Death: July 22, 1934
Cause of Death: ถูกลอบสังหารโดย FBI
ที่มา
https://www.biography.com/news/famous-death-masks / postjung
Cr.
https://www.facebook.com/ouropenspace/posts/3227845807225490/
Cr.
https://www.scholarship.in.th/death-mask-ประเพณีเกี่ยวกับความ/
“แขวนโลงศพ”
สำหรับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน และในประเทศแถบเอเชียเช่นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย จะมีวัฒนธรรมการจัดการกับศพผู้ตายที่ต่างไปจากผู้คนในพื้นที่เดียวกันมาก เพราะแทนที่จะนำศพไปฝังหรือเผา คนเหล่านี้จะทำการแขวนโลงศพของผู้จากไปเอาไว้บนหน้าผาสูง
การแขวนศพในรูปแบบนี้ เป็นการจัดการศพคนตายที่มีชื่อของชาวปอ และชาวกู่เยว่ ชนกลุ่มน้อยของประเทศจีน ซึ่งในอดีตเคยอาศัยอยู่ในทางตอนกลางและตอนล่างของประเทศจีน โดยมีโลงศพที่เก่าแก่ที่สุดถูกพบในมณฑลฝูเจี้ยน และมีอายุอยู่ที่ราวๆ 3,000 ปี
ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดในการนำศพคนตายไปแขวนไว้บนหน้าผาแทนที่จะฝัง แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ว่าคนตายจะไปสวรรค์หากนำร่างไปไว้ในที่สูง
อ้างอิงจากการแขวนโลงศพของชาวปอในประเทศจีน เป็นไปได้ว่าสำหรับโลงศพที่อยู่สูงพวกเขาจะใช้วิธีค่อยๆ หย่อนโลงศพลงมาจากหน้าผา ในขณะที่โลงศพที่แขวนอยู่ต่ำพวกเขาจะใช้บันได ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีไหน ร่องรอยบนหินในที่แขวนศพ ก็ทำให้เราทราบว่าเครื่องมืออย่างนั่งร้านเองก็อาจจะมีส่วนสำคัญในการช่วยแขวนศพด้วย
สำหรับประเทศจีนโลงศพแขวนส่วนใหญ่จะถูกแขวนไว้ใกล้กับแม่น้ำ ทำให้โลงศพจำนวนมากตกลงจากผาและหายไป อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเราก็ยังคงเหลือโลงศพแบบนี้อีกกว่า 100 ชิ้นทั่วทางตอนใต้ของประเทศจีน และในบางพื้นที่การทำศพแบบนี้ก็ยังคงถูกสืบทอดกันต่อๆ มา
ที่มา amusingplanet
Cr.
https://www.catdumb.tv/the-hanging-coffins-378/ By เหมียวศรัทธา
เงินปากผี
ชาวกรีกโบราณมีเรื่องเล่าว่า มีเมืองที่อยู่ใต้เมืองมนุษย์ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณ จะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้าง ข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูก พิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส"
ในปัจจุบัน ชาวยุโรปบางที่ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรากระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย
ที่มา fr.wikipedia.org/
Cr.
https://www.sanook.com/horoscope/14717/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ประเพณีที่เกี่ยวกับคนตายในอดีต
(Cr.thestandingstone.com)
การถ่ายภาพคนตายเป็นที่นิยมอย่างมากในฝั่งยุโรป และอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยพวกเขาจะทำการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เพิ่งตายจากไป เพื่อเก็บไว้เป็นตัวแทนของความทรงจำ หรือ Memento Mori (ภาษาละติน) เป็นการถ่ายภาพบุคคลที่เสียชีวิตแล้วไว้เป็นที่ระลึก กิจการถ่ายภาพนี้ได้รับความนิยมหลังจากมีการคิดค้นวิธีถ่ายภาพแบบ ดูแกรีโอไทพ์ (Daguerreotype) ในปี 1839 เนื่องจากบางคนไม่สามารถนั่งเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนบุคคลได้
และการถ่ายภาพดังกล่าวยังมีราคาถูกและรวดเร็วกว่า จึงเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในช่วงยุควิกตอเรียน (Victorian Era) อัตราการตายของเด็กและทารกนั้นสูงมาก ภาพถ่ายส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายของเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ และเมื่อมีการคิดค้นภาพแบบ Carte de Visite (ภาพเล็กๆ ที่อยู่บนการ์ด) ทำให้สามารถทำสำเนาภาพแจกจ่ายให้กับบรรดาญาติทั้งหลายได้อีกด้วย ส่วนถ้าผู้ตายเป็นผู้ใหญ่ ก็มีการจัดลักษณะท่าทางและถ่ายรูปร่วมกับสิ่งที่ผูกพันสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกัน
การถ่ายภาพ Post-Mortem Photgraphy มีทั้งแบบที่ถ่ายใกล้ๆ (Close up) ใบหน้าและแบบถ่ายเต็มตัว ส่วนมากจะไม่นำเอาโลงศพเข้ามาประกอบ ศพที่นำมาถ่ายจะมีลักษณะเหมือนกำลังหลับลึกหรือมีการจัดท่าทางให้ดูเหมือนมีชีวิต บางครั้งก็ใช้วัสดุมาช่วยค้ำเปลือกตาเพื่อให้ดูเหมือนกำลังลืมตา หรืออาจจะใช้วิธีเขียนตาลงไปบนภาพเพื่อให้ดูมีชีวิตมากยิ่งขึ้น
จะมีการนำเอาสีชมพูอ่อนๆ มาแต้มที่แก้มศพด้วย ในกรณีที่เป็นการถ่ายภาพเด็กมักจะจัดท่าให้เหมือนนอนอยู่บนที่นอน หรือถ่ายภาพคู่กับของเล่นชิ้นโปรด รวมทั้งมีการถ่ายคู่กับสมาชิกในครอบครัว ศพผู้ใหญ่จะถูกจัดท่าให้นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ มาช่วยค้ำ หรือไม่ก็ผูกติดกับวัสดุที่เอามาค้ำ
(Cr.thisis369.com/)
ซึ่งในยุคนั้นการถ่ายภาพคนตายถือว่าเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้มักจะนำเอาดอกไม้มาประดับตกแต่งด้วย ทั้งนี้ผู้ตายมักจะถูกจัดให้อยู่ในท่าทางเหมือนกำลังมีชีวิต หรือว่าเป็นลักษณะที่กำลังหลับ ในปัจจุบันการถ่ายภาพแบบนี้ยังคงเป็นกิจการที่ได้รับความนิยมในบางพื้นที่ เช่น แถบยุโรปตะวันออก รวมถึงชาวคริสเตียนนิกายออโธดอกทางแถบตะวันออก
ขอบคุณรูปภาพ-ข้อมูล buzzfeed.com,www.oddee.com, .palungjit.org
Cr.https://www.sanook.com/horoscope/107845/
Death mask
การสร้างหน้ากากแห่งความตายถูกพบครั้งแรกในวัฒนธรรมอียิปต์ ชาวไอยคุปต์เชื่อว่า หน้ากากนี้จะทำให้วิญญาณสามารถจดจำใบหน้าและร่างกายของตัวเองได้ ในปัจจุบันใบหน้าที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุด คือหน้ากากของกษัตริย์ตุตันคาเมน (King Tut) ผู้ปกครองอียิปต์ช่วงก่อนคริสตกาล ส่วนในตำนานความเชื่อของชนเผ่าแอฟริกัน หน้ากากความตายนั้นสามารถมอบพลังให้กับคนเป็นที่สวมใส่ ให้เข้าถึงพลังแห่งจิตวิญญาณของบุคคลผู้วายชนม์
“Death masks” หรือ หน้ากากแห่งความตาย เป็นประเพณีที่เกี่ยวกับความตายของชนชั้นสูงในทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 โดยการนำปูนมาหล่อไว้ที่ใบหน้าของผู้เสียชีวิต เพื่อเก็บรูปลักษณ์ใบหน้าของผู้เสียชีวิตเอาไว้
หลังจากนั้นจะมีการนำหน้ากากนี้ไปโชว์ในงานศพของผู้เสียชีวิตด้วย และอีกหนึ่งในข้อดีก็คือ ตำรวจสามารถใช้หน้ากากนี้ระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตได้อีกด้วย(ในกรณีที่ไม่สามารถระบุตัวตนตอนพบศพ) หน้ากากแห่งความตายส่วนใหญ่จะถูกทำมาจากปูนปาสเตอร์ แต่สำหรับบางวัฒนธรรม เช่น จักรวรรดิโรมัน มักจะถูกทำด้วยขี้ผึ้ง และประเพณีนี้ได้จางหายไปจากการมาของกล้องถ่ายภาพ
Dante
ดันเต อาลีกีเอรี่ รัฐบุรุษ กวี และนักภาษาศาสตร์คนสำคัญของฟลอเรนซ์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 และ 14 ได้รับการขนานนามในอิตาลีว่า “il Sommo Poeta” หรือ “มหากวี” ในช่วงปี 1320 ดันเต้มีความเห็นไม่ลงรอยกับฝ่ายการเมืองและถูกเนรเทศออกจากฟลอเรนซ์ งานเขียนชิ้นสำคัญและเป็นที่รู้จักของเขา “ดีวีนากอมเมเดีย” (Divina Commedia) ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลาก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรีย
Death: September 13, 1320
Mary Queen of Scots (Queen Mary I)
ราชินีแมรี่แห่งสก๊อตแลนด์ ได้รับสมญานามว่าราชินีสามมงกุฎ (มงกุฎสก๊อตแลนด์ - สิทธิ์โดยกำเนิด มงกุฎฝรั่งเศส - จากการแต่งงานกับพระเจ้าฟรานซิสที่สองแห่งฝรั่งเศส และ มงกุฎอังกฤษ - ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับราชินีเอลิซาเบธที่ 1 เนื่องจากพระราชินีเอลิซาเบธเป็นบุตรที่เกิดจากการสมรสครั้งที่ 2 จึงไม่ได้รับการยอมรับจากพระสันตปะปาและประเทศคาทอลิกให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ที่ถูกต้อง) ทรงเสียมงกุฎฝรั่งเศสไปจากการเสียชีวิตของสามี และเสียพระเศียรหลังแพ้ในเกมชิงบัลลังก์กับลูกพี่ลูกน้อง แมรรี่ถูกกักบริเวณเป็นเวลา 18 ปี ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยขวาน ว่ากันว่าเพชรฆาตต้องลงขวานซ้ำถึงสามครั้งก่อนจะตัดพระเศียรได้ขาดสนิท ใบหน้าของพระนางถูกนำมาหล่อด้วยขี้ผึ้งและทำเป็นหน้ากากดังที่เห็นในปัจจุบัน
Death: February 8, 1587
John Keats
กวีชาวอังกฤษผู้วางรากฐานงานกวีนิพนธ์ในยุคโรแมนติก ตลอดช่วงชีวิตอันแสนสั้นของเขาได้สร้างสรรค์ผลงานอันมีค่ามากมายจนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กวีในยุคหลัง คีทส์เสียชีวิตด้วยวัณโรคในวัยเพียง 26 ปี ก่อนหน้านี้แพทย์ประจำตัวของเขา แนะนำให้คีทส์ย้ายไปอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะมีอากาศอบอุ่นและแห้งกว่าลอนดอน คีทส์ต้องควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดจนเหลือทานได้แค่ปลาแองโชวี่กับขนมปัง และเข้ารับการรักษาด้วยการรีดเลือดเสียออกจากร่างกาย เขาเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีต่อมา
Death: February 23, 1821
Napoleon Bonaparte
นโปเลียนเป็นนายทหารและผู้นำอันเกรียงไกรของฝรั่งเศส หลังถูกโค่นล้ม เขาถูกเนรเทศและใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่บนเกาะ ก่อนเสียชีวิตนโปเลียนทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้องอย่างหนักเป็นเวลานาน ซึ่งเจ้าตัวเชื่อว่ากำลังถูกลอบวางยาพิษโดยสายลับชาวอังกฤษ หลังเสียชีวิตไปหลายปี ศพของนโปเลียนถูกชันสูตรและตรวจพบว่าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่จริงแล้วพ่ายแพ้ต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
Death: May 5, 1821
William Blake
กวีและศิลปินชาวอังกฤษ สาเหตุการตายของเขายังเป็นปริศนามาจนปัจจุบัน ว่ากันว่าเขาเริ่มมีอาการประสาทหลอนและเป็นโรคที่ไม่มีชื่อเรียกและไม่มีทางรักษา ที่จริงแล้วช่วงปั้นปลายชีวิตของเบลคค่อนข้างดำมืด หลังจากงานของเขาถูกวิจารณ์ในแง่ลบอย่างหนักหน่วง ในปี 1819 เขาเริ่มโปรเจคภาพสเก็ตหัวคน "visionary heads." โดยอ้างว่าบุคคลประวัติศาสตร์ในภาพเหล่านี้ปรากฎตัวมาเป็นแบบให้เขาด้วยตนเอง
Death: August 12, 1827
Michael Collins
นักปฏิวัติชาวไอริช ผู้นำกลุ่มนักรบที่ทำสงครามแบบกองโจรตอบโต้ประเทศอังกฤษอันเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการ I.R.A. (Irish Republican Army) และยังเป็นผู้ช่วยเจรจาในการแบ่งแยกให้ไอร์แลนด์เป็นรัฐอิสระ คอลินส์ถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ยังเป็นปริศนา
Death: August 22, 1922
John Dillinger
จอมโจรชาวอเมริกัน กลวิธีการปล้นของเขาได้รับการกล่าวขวัญมาถึงปัจจุบันเพราะแทนที่จะถือปืนบุกปล้นแบบบ้านๆ ดิลลินเจอร์เคยปลอมตัวเป็นพนักงานขายระบบสัญญานเตือนภัยเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารก่อนวางแผนปล้นเงียบ
คือทำเป็นกองถ่ายหนังที่กำลังถ่ายทำฉากปล้นธนาคารระหว่างการปล้นจริง ความคิดสร้างสรรค์ของดิลลินเจอร์ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวงการสีเทา ได้เป็นถึงหัวหน้าแก๊งใหญ่ในชิคาโก ดิลลินเจอร์เสียชีวิตในวัย 31 ปี เพราะโดนลูกน้องหักหลังชี้เป้าให้ FBI จนถูกลอบสังหาร
Death: July 22, 1934
Cause of Death: ถูกลอบสังหารโดย FBI
ที่มา https://www.biography.com/news/famous-death-masks / postjung
Cr. https://www.facebook.com/ouropenspace/posts/3227845807225490/
Cr.https://www.scholarship.in.th/death-mask-ประเพณีเกี่ยวกับความ/
“แขวนโลงศพ”
สำหรับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน และในประเทศแถบเอเชียเช่นฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย จะมีวัฒนธรรมการจัดการกับศพผู้ตายที่ต่างไปจากผู้คนในพื้นที่เดียวกันมาก เพราะแทนที่จะนำศพไปฝังหรือเผา คนเหล่านี้จะทำการแขวนโลงศพของผู้จากไปเอาไว้บนหน้าผาสูง
การแขวนศพในรูปแบบนี้ เป็นการจัดการศพคนตายที่มีชื่อของชาวปอ และชาวกู่เยว่ ชนกลุ่มน้อยของประเทศจีน ซึ่งในอดีตเคยอาศัยอยู่ในทางตอนกลางและตอนล่างของประเทศจีน โดยมีโลงศพที่เก่าแก่ที่สุดถูกพบในมณฑลฝูเจี้ยน และมีอายุอยู่ที่ราวๆ 3,000 ปี
ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดในการนำศพคนตายไปแขวนไว้บนหน้าผาแทนที่จะฝัง แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ว่าคนตายจะไปสวรรค์หากนำร่างไปไว้ในที่สูง
อ้างอิงจากการแขวนโลงศพของชาวปอในประเทศจีน เป็นไปได้ว่าสำหรับโลงศพที่อยู่สูงพวกเขาจะใช้วิธีค่อยๆ หย่อนโลงศพลงมาจากหน้าผา ในขณะที่โลงศพที่แขวนอยู่ต่ำพวกเขาจะใช้บันได ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีไหน ร่องรอยบนหินในที่แขวนศพ ก็ทำให้เราทราบว่าเครื่องมืออย่างนั่งร้านเองก็อาจจะมีส่วนสำคัญในการช่วยแขวนศพด้วย
สำหรับประเทศจีนโลงศพแขวนส่วนใหญ่จะถูกแขวนไว้ใกล้กับแม่น้ำ ทำให้โลงศพจำนวนมากตกลงจากผาและหายไป อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเราก็ยังคงเหลือโลงศพแบบนี้อีกกว่า 100 ชิ้นทั่วทางตอนใต้ของประเทศจีน และในบางพื้นที่การทำศพแบบนี้ก็ยังคงถูกสืบทอดกันต่อๆ มา
ที่มา amusingplanet
Cr.https://www.catdumb.tv/the-hanging-coffins-378/ By เหมียวศรัทธา
เงินปากผี
ชาวกรีกโบราณมีเรื่องเล่าว่า มีเมืองที่อยู่ใต้เมืองมนุษย์ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่าง และความมืดชื่อว่า "แม่น้ำสติกษ์" (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า "การน" มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงิน หนึ่งอะบะลัส
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีคนตาย ชาวกรีกโบราณ จะนำเงินหนึ่งอะบะลัส ใส่ปากศพตรงใต้ลิ้น สำหรับเป็นค่าจ้าง ข้ามส่งให้กับมนุษย์การน เมื่อข้ามฟากได้แล้ววิญญาณจะถูกพาไปศาลเมืองผี และ จะถูกไต่สวนถึงบาปบุญที่ได้ทำไว้แต่ครั้งยังอยุ่ในโลกมนุษย์ ถ้าวิญญาณ ได้ทำบุญ ไว้จะถูก พิพากษาให้ไปสู่สถานบรมสุขเรียกว่า "อีลีเซียม" ซึ่งเป็นแดนรื่นรมย์ เมื่อเสวยสุขครบพันปี วิญญาณ จะกลับมาเกิดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง แต่ก่อนที่เวียนมาเกิดใหม่ วิญญาณจะต้องดื่มน้ำ ในแม่น้ำลีซี เพื่อ ให้ลืมความหลัง ส่วนวิญญาณที่ทำบาป จะถูกพาไปสู่นรก "ฮาดีส"
ในปัจจุบัน ชาวยุโรปบางที่ที่สืบประเพณีโบราณกันมา จะเอาเบี้ยทองแดงเพนนีหนึ่งวางไว้ ตรากระบอกตาของคนตาย เพื่อใช้เป็นค่าจ้างข้ามแม่น้ำแห่งความตาย
ที่มา fr.wikipedia.org/
Cr.https://www.sanook.com/horoscope/14717/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)