อินทนนท์......ในความทรงจำ
ครั้งแรก ที่ผมขึ้นดอยอินทนนท์ น่าจะเป็นการไปเที่ยวเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ประมาณปี 2514-15 เพราะพอจำได้ว่าไปกับเพื่อนร่วมเรียนวัดราชบพิธชุดเดิม คุณขวัญ(ชัย)กับนัษ(ฐา) นั่นเอง ตอนนั้น ทางรถยนต์มีถึง กม.31 เท่านั้น จุดนี้จึงเป็นที่ตั้งไซท์งานก่อสร้างทางช่วงต่อไปที่ไปถึงยอดดอยฯ ตอนขึ้นเราขออาศัยขึ้นไปกับรถดั้มพ์สร้างทางของบริษัท คริสเตียนนีแอนด์เนลสัน จำกัด แล้วยัง(หน้าหนา...)ขอนอนพักที่แค็มพ์กับพี่คนขับรถนั่นเอง (เป็นคนน่ารักนะคับ ใคร ๆ ก็อยากช่วย ขอบคุณมาก ๆ)......ที่ทำการอุทยานฯน่าจะยังไม่มี ถ้ามีคงที่น้ำตกแม่กลางเท่านั้น เพราะเป็นช่วงเริ่มจัดตั้งฯ
...........เนื่องจากรูปเที่ยวครั้งนี้หายหมด ขอนำภาพเพื่อน ขวัญชัย(ซ้าย) และนัษฐา(ขวา)จากการเทียวที่อื่นมาประกอบให้เห็นหน้าตากัน.....
วันรุ่งขึ้น เราขอติดไปกับรถดั้มพ์ที่พาคนงานไปส่ง ทางกำลังทำเละมาก หลายช่วงต้องมีรถบูลโดเซอร์ตีนตะขาบมาช่วยลากให้ เราลงที่ยอดดอย บริเวณสถูปเจ้าอินท์วิชยานนท์ ยังล้อมด้วยรั้วไม้ และมีซากฮอที่เคยตกแถวนั้นนำมาวางบริเวณนี้ด้วย.....
เราเริ่มเดินลงจากยอดดอยตามทางเดินของชาวเขา ช่วงแรกจะเป็นป่าดงดิบหนาทึบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่มีมอสหนาหุ้มลำต้น แสงส่องผ่านลงมาได้น้อย จะเจอร่องน้ำเล็ก ๆ ตลอด อากาศหนาวเย็น จนมาถึงป่าโปร่ง ต้นไม้ใหญ่น้อยลง ทำให้ร้อนจากแสงแดด เห็นทิวเขาลดหลั่นกันไป บางช่วงเป็นหน้าผา การเดินช่วงนี้เราไม่พบใครเลย ทำให้ไม่สามารถสอบถามได้ว่าเดินถูกทางหรือไม่ ใช้เวลานานมากจนเลยเที่ยงและไม่ได้เตรียมอาหารมาทาน ยิ่งทำให้หิวและเหนื่อยหมดแรง
จนมาพบชาวม้งทำไร่อยู่ ชี้ทางกลับให้บอกอีก 2-3 กิโล.จนลงมาถึงกลุ่มบ้านของเค้า ใกล้น้ำตกสิริภูมิ น่าจะเกือบ 10 กิโล.(พวกเราเลยมาล้อกันว่ากิโลม้งนะ) ต้องแวะขอเค้ากินรองท้องกันก่อน พอมาถึงแค็มพ์ไซท์งาน กม. 31 อย่างแรกที่จำได้ คือ วิ่งไปที่ร้านค้า สั่งทำข้าวผัดคนละ 2 จานเลย แต่ ๆ....สรุป กินได้คนละนิดก็จุกทานไม่ลงครับ.......555
น้ำตกสิริภูมิ ถ่ายจากโครงการหลวงอินทนนท์ (เมื่อ 26/03/56)
..........ดูรูปประกอบสวย ๆ การเดินลงครั้งนี้ ด้านล่างจาก จนท.ของ อช.ดอยอินทนนท์ ตรงแนวกัน จากยอดดอยฯ-ป่าหนาว-ป่าโปร่ง-น้ำตกสิริภูมิ
ครั้งที่ 2 (มีนาคม 2519) ไปกับเพื่อนรวม 4 คน มี ตัน เนาและอ้อ เป็นเพื่อนที่จบปทุมคงคาแล้วมาต่อรามคำแหงด้วยกัน ครั้งนี้ เราเปลี่ยนเป็นเดินขึ้นจากน้ำตกแม่กลาง(ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยานฯ) เนื่องจากใกล้เย็นแล้วเดินไปได้ไม่มาก ต้องแวะทำที่พักนอนริมลำน้ำไม่ห่างจากถนนมากนัก............
จุดแวะพักนอนคืนแรก ริมลำน้ำกลางก่อนถึงน้ำตกวชิรธาร สำเนา(กลาง)และสุรกิจ(ตัน) ขวา
วันรุ่งขึ้นเราเดินเข้าน้ำตกวชิรธาร แล้วเดินต่อไปถึงบ้านผาหมอน(กะเหรี่ยง) จะมีอาคารที่พักเรือนนอนยาว 1 หลังสำหรับนักเดินทาง(เป็นแค็มพ์ที่ลูกเสือทำไว้ ซึ่งคืนแรกเราควรมาพักนอนที่นี่) จากนี้จะมีทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ จนถึงปางสมเด็จ เป็นเนินใกล้หน้าผาเห็นทิวเขาสวยงาม จุดนี้จะเป็นจุดแวะพักนอนสุดท้ายก่อนจะเดินต่อไปยอดดอยฯ มีแค็มพ์(อาคาร) 1 หลังสร้างง่าย ๆ โดยลูกเสือ มีประตูทางเข้า ไม่มีหน้าต่าง หลังคาทำด้วยไม้แผ่น เพื่อใช้เป็นที่หลับนอน หลบฝน อากาศหนาวและสัตว์ป่าได้อย่างดี มีลำธารเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล..............
แวะน้ำตกวชิรธาร
แค็มพ์ที่พัก(จุดสุดท้าย) บริเวณปางสมเด็จ
ที่แค็มพ์ปางสมเด็จ จีรพงศ์(อ้อ) ซ้าย
ช่วงสุดท้าย จากนี้ไปจะเป็นเดินเข้าป่าดงดิบที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีมอสไลเคนห่อหุ้มลำต้น แสงส่งผ่านได้น้อย ทำให้ร่มคลึ้ม ๆ หนาวเย็นมีบางช่วงที่ชัน จนทะลุบริเวณสถูปฯที่ยอดดอยฯ เราหารถลงมากางเต็นท์นอนที่ กม.31 จำได้ว่าด้านหลังที่มีลำธาร กรมประมงเริ่มนำปลาเทราท์มาทดลองเลี้ยงด้วย................
ครั้งที่ 3 (มีนาคม 2520) รวมเพื่อน ๆ ได้ 6 คน ใช้เส้นเดินขึ้นจากน้ำตกแม่กลางเหมือนเดิม มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นตอนเดินเลยน้ำตกแม่กลางสักพัก เราเดินวนมาออกที่เดิมอยู่หลายครั้ง หลงป่าคับ ต้องไหว้ขอเจ้าป่าเจ้าเขาเลย จึงได้ยินเสียงรถวิ่งและแนวถนนช่วงตัดสันเขาสะท้อนแดดให้เห็นอยู่ไกล ๆ ชัดเจน...เราเดินต่อถึงน้ำตกวชิรธาร แล้วเดินต่อไปพักนอนที่แค็มพ์บ้านผาหมอน ในคืนนี้
แวะน้ำตกวชิรธาร แถวยืน จรรยา (ซ้าย) จีรพงศ์ (กลาง) สุรกิจ (ขวา) แถวนั่ง วิทยา (ซ้าย) จขกท.(ขวา)
แค็มพ์ที่พัก คืนแรก ที่ บ้านผาหมอน ทำอาหารเย็น มี สมเกียรติ(แอ็ด) ซ้าย
เช้าวันที่ 2 หน้าที่พักบ้านผาหมอน .............ก่อนออกเดินทางต่อ
วันต่อมาเดินไปพักนอนที่แค็มพ์ปางสมเด็จ แต่ปรากฎว่าบ้านพักได้ถูกไฟไหม้เสียหายหมด ต้องไปขึงผ้าพลาสติกกันน้ำค้างนอนริมหน้าผากัน....ตกดึกมืดเรานอนเบียดติดกันทั้งหกคน ช่วงหนึ่งมีเสียงฝีเท้าสัตว์วิ่งมาหยุดที่หัวนอน(น่าจะได้กลิ่นมนุษย์) ผมเองคิดว่าเพื่อนทุกคนหลับอยู่ จึงไม่กล้าลุกลืมตาดูว่าตัวอะไร จนสักครู่มันก็วิ่งไปต่อ...ปรากฎว่าทุกคนขยับตัวจึงรู้ว่าไม่มีใครหลับ แต่กลัวไม่กล้าลุกส่องไฟดูเหมือนกัน.........555
รุ่งเช้าวันที่ 3 บริเวณที่พัก ปางสมเด็จ (แค็มพ์ที่พักถูกไฟไหม้หมด ต้องขึงผ้าพลาสติกกันน้ำค้างเป็นที่นอน)
ลำธารวิว 200 องศา ใกล้ ๆ ปางสมเด็จ (เอากาแฟร้อนใส่หม้อห้อยแขวน แช่น้ำให้เป็นกาแฟเย็น.....555....)
วันรุ่งขึ้นเราเดินถึงยอดดอยฯ มีรั้วปูนมาแทนรั้วไม้ของเดิมแล้ว....
เนินป่าโปร่งสุดท้าย ก่อนเข้าเขตป่า(หนาว)ดงดิบ มีต้นลูกกอป่าแต่ลูกเล็กมาก ๆ ..เหนื่อยมากๆจนเซ็งเป็ด...โดยเฉพาะ จขกท.มากที่สุด
ทีมวัยรุ่นถ่ายรูปบนยอดดอยอินทนนท์ ก่อนหารถลงไป อ.จอมทอง
เราลงกับรถถึงจอมทองหารถต่อเข้าไปนอนที่น้ำตกแม่ยะกันต่อเลย และทันรถเที่ยวสุดท้าย ต้องอัดแน่นกันไปทั้งนั่งหลังคารวมแล้วเกือบ 30 คน (ถ้าบริษัทรถญี่ปุ่นมาเห็นคงไม่เชื่อว่าจะบรรทุกได้มากขนาดนี้แน่นอน) จากหมู่บ้านเดินไปน้ำตกปรากฎว่ามีไฟไหมป่าข้างทางไปเกือบตลอด เค้าใจเลยว่าตกนรกเป็นอย่างนี่เอง....555
น้ำตกแม่ยะ ที่พักนอนคืนที่ 3 ของทริปนี้
......ผมไม่ทราบว่าต่อมา ทำไมจึงไม่มีใครเดินขึ้นกันเลย หรือทางอุทยานฯ ห้าม หรือเพราะมีถนนถึงยอดแล้ว......ในการเดินของพวกผมทุกครั้งในตอนนั้น รวมทั้งอ่างขางด้วย เป็นการเดินด้วยความอยาก ความสนุกขอวัยแท้ ๆ ไม่มีแผนที่ คนนำทาง จีพีเอสหรือมือถือแต่อย่างใด.......
หารูปไม่ได้ เขียนร่างแบบ ประกอบเรื่องนะคับ......
มีครั้งหนึ่ง โดยสารรถไฟกลับจากเชียงใหม่ คงเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนแน่นมาก ๆ ทั้งทางเดิน หน้าห้องน้ำหรือช่องทางขึ้น จนมีบางส่วนต้องปีนไปนั่งนอนบนหลังคาโบกี้โดยสารกัน เอากระเป๋าเสื้อผ้าผูกไว้กับช่องระบายอากาศที่อยู่แนวกลางเป็นช่วง ๆ ตอนนอนเอาหัวและเท้าลงตามแนวโค้งหลังคาที่ลาดลง ไม่ต้องกลัวตก ยามพลิกซ้ายขวาจะติดช่องระบายอากาศกั้นเอาไว้ ถ้าปวดฉี่....ต้องคอยตอนรถจอดที่สถานีจะมีหลังคาชานชลายื่นมาบังทั้งสายตาคนข้างล่างและรับฉี่ไปด้วย........555....(อันตราย...ไม่ควรทำอย่างยิ่ง...)
..........................
................นี่ละคับ.....ดอยอินทนนท์...ในความทรงจำของผม.....
ปล. รูปเส้นทางเดินในแผนที่ทั้งหมด เป็นแนวที่คาดว่าเป็นเส้นทางเดินในช่วงนั้น ๆ (อาจไม่ถูกต้องได้)
ขอเพิ่มเติมข้อมูลและรูปภาพปัจจุบัน จากที่ จขกท.ได้สอบถามจากเพจ อช.ดอยอินทนนท์ ดังนี้....
ที่มาของชื่อ ปางสมเด็จ/ปางเสด็จ :
ปี 2505 สมเด็จย่า เสด็จ(เดิน)จากบ้านผาหมอน > ปางพัก (ปางสมเด็จ) >ยอดดอย
ใช้เวลา หนึ่งวันครับ
ห่างจากขุนกลางไป 5 km. ครับ
ตอนนี้ยังมีทางเดิน ไม่มีทางรถครับ
ชาวบ้านแต่ก่อนจะเดิน จากหมู่บ้านถึงหมู่บ้านครับ
ตอนนี้เส้นทางปางเสด็จ เป็นเส้นทางลาดตะเวนป่าครับ
ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินแล้วครับ
แต่เส้นทางยังมีอยู่ครับ
รูปภาพเส้นทางลาดตระเวนป่าของเจ้าหน้าที่
เส้นทาง : ปางเสด็จ>น้ำตกสิริภูมิ>ยอดดอยครับ
ขอขอบคุณทาง อช.ดอยอินทนนท์ เป็นอย่างยิ่ง.......
[CR] อินทนนท์......ในความทรงจำ
อินทนนท์......ในความทรงจำ
ครั้งแรก ที่ผมขึ้นดอยอินทนนท์ น่าจะเป็นการไปเที่ยวเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ประมาณปี 2514-15 เพราะพอจำได้ว่าไปกับเพื่อนร่วมเรียนวัดราชบพิธชุดเดิม คุณขวัญ(ชัย)กับนัษ(ฐา) นั่นเอง ตอนนั้น ทางรถยนต์มีถึง กม.31 เท่านั้น จุดนี้จึงเป็นที่ตั้งไซท์งานก่อสร้างทางช่วงต่อไปที่ไปถึงยอดดอยฯ ตอนขึ้นเราขออาศัยขึ้นไปกับรถดั้มพ์สร้างทางของบริษัท คริสเตียนนีแอนด์เนลสัน จำกัด แล้วยัง(หน้าหนา...)ขอนอนพักที่แค็มพ์กับพี่คนขับรถนั่นเอง (เป็นคนน่ารักนะคับ ใคร ๆ ก็อยากช่วย ขอบคุณมาก ๆ)......ที่ทำการอุทยานฯน่าจะยังไม่มี ถ้ามีคงที่น้ำตกแม่กลางเท่านั้น เพราะเป็นช่วงเริ่มจัดตั้งฯ
...........เนื่องจากรูปเที่ยวครั้งนี้หายหมด ขอนำภาพเพื่อน ขวัญชัย(ซ้าย) และนัษฐา(ขวา)จากการเทียวที่อื่นมาประกอบให้เห็นหน้าตากัน.....
วันรุ่งขึ้น เราขอติดไปกับรถดั้มพ์ที่พาคนงานไปส่ง ทางกำลังทำเละมาก หลายช่วงต้องมีรถบูลโดเซอร์ตีนตะขาบมาช่วยลากให้ เราลงที่ยอดดอย บริเวณสถูปเจ้าอินท์วิชยานนท์ ยังล้อมด้วยรั้วไม้ และมีซากฮอที่เคยตกแถวนั้นนำมาวางบริเวณนี้ด้วย.....
เราเริ่มเดินลงจากยอดดอยตามทางเดินของชาวเขา ช่วงแรกจะเป็นป่าดงดิบหนาทึบด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่มีมอสหนาหุ้มลำต้น แสงส่องผ่านลงมาได้น้อย จะเจอร่องน้ำเล็ก ๆ ตลอด อากาศหนาวเย็น จนมาถึงป่าโปร่ง ต้นไม้ใหญ่น้อยลง ทำให้ร้อนจากแสงแดด เห็นทิวเขาลดหลั่นกันไป บางช่วงเป็นหน้าผา การเดินช่วงนี้เราไม่พบใครเลย ทำให้ไม่สามารถสอบถามได้ว่าเดินถูกทางหรือไม่ ใช้เวลานานมากจนเลยเที่ยงและไม่ได้เตรียมอาหารมาทาน ยิ่งทำให้หิวและเหนื่อยหมดแรง
จนมาพบชาวม้งทำไร่อยู่ ชี้ทางกลับให้บอกอีก 2-3 กิโล.จนลงมาถึงกลุ่มบ้านของเค้า ใกล้น้ำตกสิริภูมิ น่าจะเกือบ 10 กิโล.(พวกเราเลยมาล้อกันว่ากิโลม้งนะ) ต้องแวะขอเค้ากินรองท้องกันก่อน พอมาถึงแค็มพ์ไซท์งาน กม. 31 อย่างแรกที่จำได้ คือ วิ่งไปที่ร้านค้า สั่งทำข้าวผัดคนละ 2 จานเลย แต่ ๆ....สรุป กินได้คนละนิดก็จุกทานไม่ลงครับ.......555
น้ำตกสิริภูมิ ถ่ายจากโครงการหลวงอินทนนท์ (เมื่อ 26/03/56)
..........ดูรูปประกอบสวย ๆ การเดินลงครั้งนี้ ด้านล่างจาก จนท.ของ อช.ดอยอินทนนท์ ตรงแนวกัน จากยอดดอยฯ-ป่าหนาว-ป่าโปร่ง-น้ำตกสิริภูมิ
ครั้งที่ 2 (มีนาคม 2519) ไปกับเพื่อนรวม 4 คน มี ตัน เนาและอ้อ เป็นเพื่อนที่จบปทุมคงคาแล้วมาต่อรามคำแหงด้วยกัน ครั้งนี้ เราเปลี่ยนเป็นเดินขึ้นจากน้ำตกแม่กลาง(ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยานฯ) เนื่องจากใกล้เย็นแล้วเดินไปได้ไม่มาก ต้องแวะทำที่พักนอนริมลำน้ำไม่ห่างจากถนนมากนัก............
จุดแวะพักนอนคืนแรก ริมลำน้ำกลางก่อนถึงน้ำตกวชิรธาร สำเนา(กลาง)และสุรกิจ(ตัน) ขวา
วันรุ่งขึ้นเราเดินเข้าน้ำตกวชิรธาร แล้วเดินต่อไปถึงบ้านผาหมอน(กะเหรี่ยง) จะมีอาคารที่พักเรือนนอนยาว 1 หลังสำหรับนักเดินทาง(เป็นแค็มพ์ที่ลูกเสือทำไว้ ซึ่งคืนแรกเราควรมาพักนอนที่นี่) จากนี้จะมีทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ จนถึงปางสมเด็จ เป็นเนินใกล้หน้าผาเห็นทิวเขาสวยงาม จุดนี้จะเป็นจุดแวะพักนอนสุดท้ายก่อนจะเดินต่อไปยอดดอยฯ มีแค็มพ์(อาคาร) 1 หลังสร้างง่าย ๆ โดยลูกเสือ มีประตูทางเข้า ไม่มีหน้าต่าง หลังคาทำด้วยไม้แผ่น เพื่อใช้เป็นที่หลับนอน หลบฝน อากาศหนาวและสัตว์ป่าได้อย่างดี มีลำธารเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล..............
แวะน้ำตกวชิรธาร
แค็มพ์ที่พัก(จุดสุดท้าย) บริเวณปางสมเด็จ
ที่แค็มพ์ปางสมเด็จ จีรพงศ์(อ้อ) ซ้าย
ช่วงสุดท้าย จากนี้ไปจะเป็นเดินเข้าป่าดงดิบที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีมอสไลเคนห่อหุ้มลำต้น แสงส่งผ่านได้น้อย ทำให้ร่มคลึ้ม ๆ หนาวเย็นมีบางช่วงที่ชัน จนทะลุบริเวณสถูปฯที่ยอดดอยฯ เราหารถลงมากางเต็นท์นอนที่ กม.31 จำได้ว่าด้านหลังที่มีลำธาร กรมประมงเริ่มนำปลาเทราท์มาทดลองเลี้ยงด้วย................
ครั้งที่ 3 (มีนาคม 2520) รวมเพื่อน ๆ ได้ 6 คน ใช้เส้นเดินขึ้นจากน้ำตกแม่กลางเหมือนเดิม มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นตอนเดินเลยน้ำตกแม่กลางสักพัก เราเดินวนมาออกที่เดิมอยู่หลายครั้ง หลงป่าคับ ต้องไหว้ขอเจ้าป่าเจ้าเขาเลย จึงได้ยินเสียงรถวิ่งและแนวถนนช่วงตัดสันเขาสะท้อนแดดให้เห็นอยู่ไกล ๆ ชัดเจน...เราเดินต่อถึงน้ำตกวชิรธาร แล้วเดินต่อไปพักนอนที่แค็มพ์บ้านผาหมอน ในคืนนี้
แวะน้ำตกวชิรธาร แถวยืน จรรยา (ซ้าย) จีรพงศ์ (กลาง) สุรกิจ (ขวา) แถวนั่ง วิทยา (ซ้าย) จขกท.(ขวา)
แค็มพ์ที่พัก คืนแรก ที่ บ้านผาหมอน ทำอาหารเย็น มี สมเกียรติ(แอ็ด) ซ้าย
เช้าวันที่ 2 หน้าที่พักบ้านผาหมอน .............ก่อนออกเดินทางต่อ
วันต่อมาเดินไปพักนอนที่แค็มพ์ปางสมเด็จ แต่ปรากฎว่าบ้านพักได้ถูกไฟไหม้เสียหายหมด ต้องไปขึงผ้าพลาสติกกันน้ำค้างนอนริมหน้าผากัน....ตกดึกมืดเรานอนเบียดติดกันทั้งหกคน ช่วงหนึ่งมีเสียงฝีเท้าสัตว์วิ่งมาหยุดที่หัวนอน(น่าจะได้กลิ่นมนุษย์) ผมเองคิดว่าเพื่อนทุกคนหลับอยู่ จึงไม่กล้าลุกลืมตาดูว่าตัวอะไร จนสักครู่มันก็วิ่งไปต่อ...ปรากฎว่าทุกคนขยับตัวจึงรู้ว่าไม่มีใครหลับ แต่กลัวไม่กล้าลุกส่องไฟดูเหมือนกัน.........555
รุ่งเช้าวันที่ 3 บริเวณที่พัก ปางสมเด็จ (แค็มพ์ที่พักถูกไฟไหม้หมด ต้องขึงผ้าพลาสติกกันน้ำค้างเป็นที่นอน)
ลำธารวิว 200 องศา ใกล้ ๆ ปางสมเด็จ (เอากาแฟร้อนใส่หม้อห้อยแขวน แช่น้ำให้เป็นกาแฟเย็น.....555....)
วันรุ่งขึ้นเราเดินถึงยอดดอยฯ มีรั้วปูนมาแทนรั้วไม้ของเดิมแล้ว....
เนินป่าโปร่งสุดท้าย ก่อนเข้าเขตป่า(หนาว)ดงดิบ มีต้นลูกกอป่าแต่ลูกเล็กมาก ๆ ..เหนื่อยมากๆจนเซ็งเป็ด...โดยเฉพาะ จขกท.มากที่สุด
ทีมวัยรุ่นถ่ายรูปบนยอดดอยอินทนนท์ ก่อนหารถลงไป อ.จอมทอง
เราลงกับรถถึงจอมทองหารถต่อเข้าไปนอนที่น้ำตกแม่ยะกันต่อเลย และทันรถเที่ยวสุดท้าย ต้องอัดแน่นกันไปทั้งนั่งหลังคารวมแล้วเกือบ 30 คน (ถ้าบริษัทรถญี่ปุ่นมาเห็นคงไม่เชื่อว่าจะบรรทุกได้มากขนาดนี้แน่นอน) จากหมู่บ้านเดินไปน้ำตกปรากฎว่ามีไฟไหมป่าข้างทางไปเกือบตลอด เค้าใจเลยว่าตกนรกเป็นอย่างนี่เอง....555
น้ำตกแม่ยะ ที่พักนอนคืนที่ 3 ของทริปนี้
......ผมไม่ทราบว่าต่อมา ทำไมจึงไม่มีใครเดินขึ้นกันเลย หรือทางอุทยานฯ ห้าม หรือเพราะมีถนนถึงยอดแล้ว......ในการเดินของพวกผมทุกครั้งในตอนนั้น รวมทั้งอ่างขางด้วย เป็นการเดินด้วยความอยาก ความสนุกขอวัยแท้ ๆ ไม่มีแผนที่ คนนำทาง จีพีเอสหรือมือถือแต่อย่างใด.......
หารูปไม่ได้ เขียนร่างแบบ ประกอบเรื่องนะคับ......
มีครั้งหนึ่ง โดยสารรถไฟกลับจากเชียงใหม่ คงเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ คนแน่นมาก ๆ ทั้งทางเดิน หน้าห้องน้ำหรือช่องทางขึ้น จนมีบางส่วนต้องปีนไปนั่งนอนบนหลังคาโบกี้โดยสารกัน เอากระเป๋าเสื้อผ้าผูกไว้กับช่องระบายอากาศที่อยู่แนวกลางเป็นช่วง ๆ ตอนนอนเอาหัวและเท้าลงตามแนวโค้งหลังคาที่ลาดลง ไม่ต้องกลัวตก ยามพลิกซ้ายขวาจะติดช่องระบายอากาศกั้นเอาไว้ ถ้าปวดฉี่....ต้องคอยตอนรถจอดที่สถานีจะมีหลังคาชานชลายื่นมาบังทั้งสายตาคนข้างล่างและรับฉี่ไปด้วย........555....(อันตราย...ไม่ควรทำอย่างยิ่ง...)
..........................
................นี่ละคับ.....ดอยอินทนนท์...ในความทรงจำของผม.....
ปล. รูปเส้นทางเดินในแผนที่ทั้งหมด เป็นแนวที่คาดว่าเป็นเส้นทางเดินในช่วงนั้น ๆ (อาจไม่ถูกต้องได้)
ขอเพิ่มเติมข้อมูลและรูปภาพปัจจุบัน จากที่ จขกท.ได้สอบถามจากเพจ อช.ดอยอินทนนท์ ดังนี้....
ที่มาของชื่อ ปางสมเด็จ/ปางเสด็จ :
ปี 2505 สมเด็จย่า เสด็จ(เดิน)จากบ้านผาหมอน > ปางพัก (ปางสมเด็จ) >ยอดดอย
ใช้เวลา หนึ่งวันครับ
ห่างจากขุนกลางไป 5 km. ครับ
ตอนนี้ยังมีทางเดิน ไม่มีทางรถครับ
ชาวบ้านแต่ก่อนจะเดิน จากหมู่บ้านถึงหมู่บ้านครับ
ตอนนี้เส้นทางปางเสด็จ เป็นเส้นทางลาดตะเวนป่าครับ
ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินแล้วครับ
แต่เส้นทางยังมีอยู่ครับ
รูปภาพเส้นทางลาดตระเวนป่าของเจ้าหน้าที่
เส้นทาง : ปางเสด็จ>น้ำตกสิริภูมิ>ยอดดอยครับ
ขอขอบคุณทาง อช.ดอยอินทนนท์ เป็นอย่างยิ่ง.......
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้