ต่อเนื่องจากกระทู้ <Day 3: Part 1> เดินตลาด Sankaku ชิมอาหารทะเลสด ถูก อร่อย /เล่นกับชิปมังก์บนเขา Tenguyama สามารถรับชมได้ที่นี่ค่ะ >>>
https://ppantip.com/topic/39903217 ลงจากยอดเขา Tenguyama เราจะไปหม่ำมื้อเที่ยงกันที่ร้าน "Yabuhan Soba" เดินไม่ไกลจากสถานีรถบัสค่ะ
ร้านเปิด 2 รอบ รอบแรก: 11.00-16.00 และอีกรอบ: 17.00-20.30 ตอนเราไปถึงประมาณ 11 โมงกว่าๆ มีลูกค้ารอคิวอยู่พอสมควร
รอประมาณ 20 นาที ก็ได้คิวค่ะ ร้านนี้คนญี่ปุ่นมาทานกันเยอะมาก
จุดเด่นของร้านนี้คือมีเส้นโซบะให้เลือก 2 แบบ คือ "เส้น Jimonoko" เป็นเส้นที่ทำจากต้นโซบะที่ปลูกในฮอกไกโด ราคาจะสูงกว่า เพราะต้องทำวันต่อวัน และแบบที่ 2 "เส้น Namiko" เป็นเส้นผสมระหว่างเส้นแบบแรก (เส้นจากต้นโซบะฮอกไกโด) กับวัตถุดิบจากอเมริกา
เราสั่งเมนู "Ten Zaru Seiro" เลือกเส้นแบบ Jimonoko ราคา 1,500 เยน (ไม่รวมภาษี) มีเทมปุระซีฟู้ดและผักรวมอยู่ในเซ็ตค่ะ ทุกอย่างอร่อยมากกกก สมกับที่รอคอย
ส่วนอีกเมนูที่สั่งคือ "Seiro Soba" เลือกเส้นแบบ Namiko ราคา 550 เยน เทียบระหว่างเส้น 2 แบบ เส้น Jimonoko จะเหนียวหนุบและแน่นกว่าค่ะ
เมื่อทานโซบะเสร็จแล้ว พนักงานจะเอาป้ายนี้ พร้อมกับกาสีเหลี่ยมสีดำใบนี้มาวางที่โต๊ะค่ะ ตามธรรมเนียมญี่ปุ่น หลังจากทานโซบะเสร็จแล้ว คนญี่ปุ่นจะดื่มน้ำต้มเส้นโซบะ เพราะว่ากันว่าในน้ำต้มเส้นนี้เป็นแหล่งรวมของวิตามินชั้นเลิศนั่นเองค่ะ
ร้อนๆ ควันฉุยเลย
จริงๆ เค้าให้เอาน้ำนี้เทผสมในถ้วยซอสซารุที่เราทานเหลือ แต่เราอยากลองดื่มเพียวๆ รสชาติประมาณน้ำซาวข้าวเลยค่ะ
ค่าเสียหายมื้อนี้ 2,786 เยน (รวมภาษีแล้ว)
ได้เวลาเที่ยวต่อแล้ว แน่นอนว่ามาโอตารุทั้งที ต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคลองโอตารุสวยๆ เป็นที่ระลึกสักหน่อยค่ะ จากร้านโซบะระยะทาง 750 เมตร เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึงค่ะ
ถึงแล้ว "คลองโอตารุ" ในวันฟ้าใส แดดดี๊ดี
มีบริการล่องเรือชมคลองด้วย
ใครสนใจสามารถซื้อตั๋วได้ที่นี่
ตารางเวลาค่ะ
ราคาสำหรับผู้ใหญ่จะแตกต่างกันในช่วงกลางวัน-กลางคืนค่ะ โดยช่วงกลางวันจะอยู่ที่ 1,500 เยน ส่วนกลางคืน 1,800 เยน ส่วนเด็ก (อายุ 6-12 ปี) คิดราคาเดียวกันทั้งกลางวันและกลางคืนคือ 500 เยน เด็กเล็กฟรีค่ะ
ส่วนเราขอเดินชมวิวไปเรื่อยๆ ดีกว่าค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินตรงไปที่ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) แต่สายตาเหลือบไปเห็นฝูงชนที่อยู่แถวท่าเรือ แบบนี้ต้องมีงานอะไรแน่ๆ เดินไปดูหน่อยดีกว่า
เข้ามาแล้ว บรรยากาศคล้ายๆ งานวัดบ้านเรา มีซุ้มเล่นเกม ขายของ และร้านอาหารเยอะแยะเลยค่ะ
เกมหมุนๆ เสี่ยงโชคแบบนี้ เราเคยเห็นในการ์ตูนโดราเอม่อน เวลาได้รางวัลใหญ่ๆ เค้าจะสั่นกระดิ่งดังๆ
หน้ากากและลูกโป่งสารพัดตัวการ์ตูนมีให้เลือกเพียบ
เดินไปเดินมา เห็นป้ายนี้ ก็ถึงบางอ้อ...มันคืองาน "เทศกาลดอกไม้ไฟของโอตารุ" นั่นเองค่ะ จัดตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาแล้ว และวันที่เรามานี้ (28 กรกฎา) เป็นวันสุดท้ายพอดีค่ะ เคยอ่านผ่านๆ มาเหมือนกันว่าช่วงหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นจะมีจัดเทศกาลดอกไม้ไฟตามเมืองต่าง ๆ โชคดีมากๆ ที่เราได้มาสัมผัสงานเทศกาลของคนญี่ปุ่นแบบนี้ค่ะ
จุดหมายต่อไป เราจะไปชิมขนมที่ร้าน Rokkatei กันค่ะ เดินเพลินๆ ถ่ายรูปริมคลองไปเรื่อยๆ
มาถึงแล้ว "ถนนซาไกมาจิ" (Sakaimachi Street) แหล่งรวบรวมร้านค้าของฝากของที่ระลึก คาเฟ่ และร้านขนมอร่อยๆ เอาไว้ที่นี่ค่ะ
ถึงแล้วร้าน "Rokkatei" เข้าไปชิมขนมกันดีกว่า
ที่นี่มีขนมให้เลือกเยอะมาก เหมาะสำหรับซื้อกลับไปเป็นของฝาก อันนี้ตัวเด่นของที่นี่ค่ะ "Marusei Butter Sandwich"
ไฮไลท์อีกอย่างของร้านนี้นั่นก็คือ...เมื่อเราซื้อเจ้าขนมครีมพัฟตัวนี้ (ชิ้นละ 100 เยน) เราจะได้สิทธิ์กินกาแฟฟรีที่ชั้น 2 ของร้านค่ะ
ขึ้นไปดูข้างบนกันค่ะ ข้างบนนี้มีตู้จำหน่ายขนมที่เป็นของขึ้นชื่อของร้านนี้ โดยจะแยกขายเดี่ยวเป็นชิ้นๆ ค่ะ เราสามารถชิมได้หลายๆ แบบเลย ไม่ต้องซื้อเป็นแพ็คใหญ่ ถูกใจชิ้นไหน ค่อยลงไปซื้อกลับบ้านที่ร้านค้าด้านล่างค่ะ ไอเดียดี
และอย่างที่บอก เค้ามี "กาแฟฟรี" ให้ดื่มค่ะ เป็นกาแฟดำทานคู่กับขนมแล้วเข้ากันดี๊ดี
มีทั้งที่ยืนและที่นั่งสำหรับรับประทาน
เราเลือกขนมมาลอง 4 ชิ้นตามนี้เลย ส่วนตัวชอบ Packaging ขนมญี่ปุ่นมากๆ เห็นแล้วอยากจะเก็บกลับบ้าน
หน้าตาขนมแต่ละชิ้นค่ะ (ซองสีเหลือง เราลืมจับถ่ายรูปค่ะ รู้ตัวอีกทีขนมก็เข้าปากไปแล้ว
) ชิ้นนี้ข้างในเป็นไส้ครีม ตัวบิสกิตกรุบกรอบ อร่อยมาก
นี่คือเจ้าครีมพัฟที่ทำให้เราได้ดื่มกาแฟฟรีค่ะ ไส้ครีมคือดีงามมมมมม ตัวแป้งก็นุ่มมากกกกกก อร่อยอีกแล้ว
ส่วนชิ้นนี้เป็นไส้ลูกเกดค่ะ ตัวแป้งกรอบนอกนุ่มใน อร่อยอีกเช่นกัน
ไปต่อกันที่ย่านจัตุรัส Marchen Square จะพาไปชมพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Music Box Museum) กันค่ะ
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี มีนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่ โดยจะพ่นไอน้ำประกอบเสียงดนตรีทุกๆ 15 นาที
เข้ามาชมด้านในกันค่ะ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ ข้างในเป็นเหมือนร้านค้าจำหน่ายนาฬิกาไขลานหลากหลายรูปแบบ เยอะมากจริงๆ ค่ะ
ต่อไปเราจะไปชิมเค้กอร่อยๆ กันที่ร้าน LeTAO จริงๆ เราเดินผ่านร้านนี้มาแล้ว ร้านอยู่ตรงหอคอยนี้ค่ะ
ชั้นล่างจะเป็นร้านจำหน่ายขนมของฝากค่ะ
แต่เราจะขึ้นไปที่ "Tea Salon" ซึ่งเป็นโซนรับประทานในร้าน ตั้งอยู่บนชั้น 2
ขึ้นมาแล้วจะเจอพนักงานต้อนรับ พร้อมป้ายบอกวิธีการเข้าใช้บริการเป็นภาษาต่างๆ
แน่นอนว่าต้องมีภาษาไทย เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทยเยอะจริงๆ ค่ะ พนักงานจะให้เราเขียนชื่อพร้อมระบุจำนวนคน จากนั้นรอเรียกตามคิวค่ะ
รอไม่นานก็ได้คิว ที่นั่งมีเยอะพอสมควร พนักงานจะพาเราไปที่โต๊ะ เลือกเมนู แล้วก็รอมาเสิร์ฟค่ะ มาถึง LeTAO ทั้งทีต้องไม่พลาดที่จะลองเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน "Double Fromage Cheesecake" (432 เยน) เป็นชีสเค้กแบบ 2 in 1 ด้านล่างเป็นชีสเค้กแบบอบ ส่วนด้านบนเป็นชีสเค้กสด ทานด้วยกันแล้วนุ่มละมุนลงตัวมาก
ส่วนชิ้นนี้เป็น "Strawberry Shortcake" (432 เยน) เค้กยอดนิยมอันดับ 2 ของทางร้าน จัดมาลองเช่นกันค่ะ เนื้อเค้กฟู นุ่ม และเบามากกกก ตัวครีมก็ละมุนๆ เบาๆ สตรอเบอร์รี่อมเปรี้ยวอมหวาน สุโก้ยยยยยย โออิชิเดสก๊ะ
มื้อเย็นเราจะฝากท้องกันที่โอตารุเช่นเดียวกันค่ะ ที่ร้านซูชิหมุนชื่อดัง "Kantaro Sushi" ราคาเริ่มต้นที่ 216 เยน
ออกจากร้านซูชิ ได้ยินเสียงพลุแว่วๆ เค้าเริ่มจุดกันแล้วค่ะ
ยืนดูสักพักก็คิดว่ารีบกลับดีกว่า เพราะเดี๋ยวรถไฟคนจะเยอะ...แล้วก็เยอะจริงๆ ด้วยค่ะ ^^"
ลากันไปด้วยภาพ "คลองโอตารุ" ยามค่ำคืน...บ๊ายบาย Otaru...
---- รับชมทริป Day 4: เที่ยว 1 วันใน Hakodate และชิมเบอร์เกอร์แสนอร่อย Lucky Pierrot >>>
https://ppantip.com/topic/39914667 ----
[CR] รีวิวเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน ก.ค.<Day 3: Part 2> เดินเล่นริมคลองโอตารุ, Sakaimachi, พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี, ชิมเค้ก LeTAO
ต่อเนื่องจากกระทู้ <Day 3: Part 1> เดินตลาด Sankaku ชิมอาหารทะเลสด ถูก อร่อย /เล่นกับชิปมังก์บนเขา Tenguyama สามารถรับชมได้ที่นี่ค่ะ >>> https://ppantip.com/topic/39903217 ลงจากยอดเขา Tenguyama เราจะไปหม่ำมื้อเที่ยงกันที่ร้าน "Yabuhan Soba" เดินไม่ไกลจากสถานีรถบัสค่ะ
ร้านเปิด 2 รอบ รอบแรก: 11.00-16.00 และอีกรอบ: 17.00-20.30 ตอนเราไปถึงประมาณ 11 โมงกว่าๆ มีลูกค้ารอคิวอยู่พอสมควร
รอประมาณ 20 นาที ก็ได้คิวค่ะ ร้านนี้คนญี่ปุ่นมาทานกันเยอะมาก
จุดเด่นของร้านนี้คือมีเส้นโซบะให้เลือก 2 แบบ คือ "เส้น Jimonoko" เป็นเส้นที่ทำจากต้นโซบะที่ปลูกในฮอกไกโด ราคาจะสูงกว่า เพราะต้องทำวันต่อวัน และแบบที่ 2 "เส้น Namiko" เป็นเส้นผสมระหว่างเส้นแบบแรก (เส้นจากต้นโซบะฮอกไกโด) กับวัตถุดิบจากอเมริกา
เราสั่งเมนู "Ten Zaru Seiro" เลือกเส้นแบบ Jimonoko ราคา 1,500 เยน (ไม่รวมภาษี) มีเทมปุระซีฟู้ดและผักรวมอยู่ในเซ็ตค่ะ ทุกอย่างอร่อยมากกกก สมกับที่รอคอย
ส่วนอีกเมนูที่สั่งคือ "Seiro Soba" เลือกเส้นแบบ Namiko ราคา 550 เยน เทียบระหว่างเส้น 2 แบบ เส้น Jimonoko จะเหนียวหนุบและแน่นกว่าค่ะ
เมื่อทานโซบะเสร็จแล้ว พนักงานจะเอาป้ายนี้ พร้อมกับกาสีเหลี่ยมสีดำใบนี้มาวางที่โต๊ะค่ะ ตามธรรมเนียมญี่ปุ่น หลังจากทานโซบะเสร็จแล้ว คนญี่ปุ่นจะดื่มน้ำต้มเส้นโซบะ เพราะว่ากันว่าในน้ำต้มเส้นนี้เป็นแหล่งรวมของวิตามินชั้นเลิศนั่นเองค่ะ
ร้อนๆ ควันฉุยเลย
จริงๆ เค้าให้เอาน้ำนี้เทผสมในถ้วยซอสซารุที่เราทานเหลือ แต่เราอยากลองดื่มเพียวๆ รสชาติประมาณน้ำซาวข้าวเลยค่ะ
ค่าเสียหายมื้อนี้ 2,786 เยน (รวมภาษีแล้ว)
ได้เวลาเที่ยวต่อแล้ว แน่นอนว่ามาโอตารุทั้งที ต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคลองโอตารุสวยๆ เป็นที่ระลึกสักหน่อยค่ะ จากร้านโซบะระยะทาง 750 เมตร เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึงค่ะ
ถึงแล้ว "คลองโอตารุ" ในวันฟ้าใส แดดดี๊ดี
มีบริการล่องเรือชมคลองด้วย
ใครสนใจสามารถซื้อตั๋วได้ที่นี่
ตารางเวลาค่ะ
ราคาสำหรับผู้ใหญ่จะแตกต่างกันในช่วงกลางวัน-กลางคืนค่ะ โดยช่วงกลางวันจะอยู่ที่ 1,500 เยน ส่วนกลางคืน 1,800 เยน ส่วนเด็ก (อายุ 6-12 ปี) คิดราคาเดียวกันทั้งกลางวันและกลางคืนคือ 500 เยน เด็กเล็กฟรีค่ะ
ส่วนเราขอเดินชมวิวไปเรื่อยๆ ดีกว่าค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเดินตรงไปที่ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) แต่สายตาเหลือบไปเห็นฝูงชนที่อยู่แถวท่าเรือ แบบนี้ต้องมีงานอะไรแน่ๆ เดินไปดูหน่อยดีกว่า
เข้ามาแล้ว บรรยากาศคล้ายๆ งานวัดบ้านเรา มีซุ้มเล่นเกม ขายของ และร้านอาหารเยอะแยะเลยค่ะ
เกมหมุนๆ เสี่ยงโชคแบบนี้ เราเคยเห็นในการ์ตูนโดราเอม่อน เวลาได้รางวัลใหญ่ๆ เค้าจะสั่นกระดิ่งดังๆ
หน้ากากและลูกโป่งสารพัดตัวการ์ตูนมีให้เลือกเพียบ
เดินไปเดินมา เห็นป้ายนี้ ก็ถึงบางอ้อ...มันคืองาน "เทศกาลดอกไม้ไฟของโอตารุ" นั่นเองค่ะ จัดตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาแล้ว และวันที่เรามานี้ (28 กรกฎา) เป็นวันสุดท้ายพอดีค่ะ เคยอ่านผ่านๆ มาเหมือนกันว่าช่วงหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นจะมีจัดเทศกาลดอกไม้ไฟตามเมืองต่าง ๆ โชคดีมากๆ ที่เราได้มาสัมผัสงานเทศกาลของคนญี่ปุ่นแบบนี้ค่ะ
จุดหมายต่อไป เราจะไปชิมขนมที่ร้าน Rokkatei กันค่ะ เดินเพลินๆ ถ่ายรูปริมคลองไปเรื่อยๆ
มาถึงแล้ว "ถนนซาไกมาจิ" (Sakaimachi Street) แหล่งรวบรวมร้านค้าของฝากของที่ระลึก คาเฟ่ และร้านขนมอร่อยๆ เอาไว้ที่นี่ค่ะ
ถึงแล้วร้าน "Rokkatei" เข้าไปชิมขนมกันดีกว่า
ที่นี่มีขนมให้เลือกเยอะมาก เหมาะสำหรับซื้อกลับไปเป็นของฝาก อันนี้ตัวเด่นของที่นี่ค่ะ "Marusei Butter Sandwich"
ไฮไลท์อีกอย่างของร้านนี้นั่นก็คือ...เมื่อเราซื้อเจ้าขนมครีมพัฟตัวนี้ (ชิ้นละ 100 เยน) เราจะได้สิทธิ์กินกาแฟฟรีที่ชั้น 2 ของร้านค่ะ
ขึ้นไปดูข้างบนกันค่ะ ข้างบนนี้มีตู้จำหน่ายขนมที่เป็นของขึ้นชื่อของร้านนี้ โดยจะแยกขายเดี่ยวเป็นชิ้นๆ ค่ะ เราสามารถชิมได้หลายๆ แบบเลย ไม่ต้องซื้อเป็นแพ็คใหญ่ ถูกใจชิ้นไหน ค่อยลงไปซื้อกลับบ้านที่ร้านค้าด้านล่างค่ะ ไอเดียดี
และอย่างที่บอก เค้ามี "กาแฟฟรี" ให้ดื่มค่ะ เป็นกาแฟดำทานคู่กับขนมแล้วเข้ากันดี๊ดี
มีทั้งที่ยืนและที่นั่งสำหรับรับประทาน
เราเลือกขนมมาลอง 4 ชิ้นตามนี้เลย ส่วนตัวชอบ Packaging ขนมญี่ปุ่นมากๆ เห็นแล้วอยากจะเก็บกลับบ้าน
หน้าตาขนมแต่ละชิ้นค่ะ (ซองสีเหลือง เราลืมจับถ่ายรูปค่ะ รู้ตัวอีกทีขนมก็เข้าปากไปแล้ว ) ชิ้นนี้ข้างในเป็นไส้ครีม ตัวบิสกิตกรุบกรอบ อร่อยมาก
นี่คือเจ้าครีมพัฟที่ทำให้เราได้ดื่มกาแฟฟรีค่ะ ไส้ครีมคือดีงามมมมมม ตัวแป้งก็นุ่มมากกกกกก อร่อยอีกแล้ว
ส่วนชิ้นนี้เป็นไส้ลูกเกดค่ะ ตัวแป้งกรอบนอกนุ่มใน อร่อยอีกเช่นกัน
ไปต่อกันที่ย่านจัตุรัส Marchen Square จะพาไปชมพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Music Box Museum) กันค่ะ
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี มีนาฬิกาไอน้ำตั้งอยู่ โดยจะพ่นไอน้ำประกอบเสียงดนตรีทุกๆ 15 นาที
เข้ามาชมด้านในกันค่ะ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ ข้างในเป็นเหมือนร้านค้าจำหน่ายนาฬิกาไขลานหลากหลายรูปแบบ เยอะมากจริงๆ ค่ะ
ต่อไปเราจะไปชิมเค้กอร่อยๆ กันที่ร้าน LeTAO จริงๆ เราเดินผ่านร้านนี้มาแล้ว ร้านอยู่ตรงหอคอยนี้ค่ะ
ชั้นล่างจะเป็นร้านจำหน่ายขนมของฝากค่ะ
แต่เราจะขึ้นไปที่ "Tea Salon" ซึ่งเป็นโซนรับประทานในร้าน ตั้งอยู่บนชั้น 2
ขึ้นมาแล้วจะเจอพนักงานต้อนรับ พร้อมป้ายบอกวิธีการเข้าใช้บริการเป็นภาษาต่างๆ
แน่นอนว่าต้องมีภาษาไทย เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทยเยอะจริงๆ ค่ะ พนักงานจะให้เราเขียนชื่อพร้อมระบุจำนวนคน จากนั้นรอเรียกตามคิวค่ะ
รอไม่นานก็ได้คิว ที่นั่งมีเยอะพอสมควร พนักงานจะพาเราไปที่โต๊ะ เลือกเมนู แล้วก็รอมาเสิร์ฟค่ะ มาถึง LeTAO ทั้งทีต้องไม่พลาดที่จะลองเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน "Double Fromage Cheesecake" (432 เยน) เป็นชีสเค้กแบบ 2 in 1 ด้านล่างเป็นชีสเค้กแบบอบ ส่วนด้านบนเป็นชีสเค้กสด ทานด้วยกันแล้วนุ่มละมุนลงตัวมาก
ส่วนชิ้นนี้เป็น "Strawberry Shortcake" (432 เยน) เค้กยอดนิยมอันดับ 2 ของทางร้าน จัดมาลองเช่นกันค่ะ เนื้อเค้กฟู นุ่ม และเบามากกกก ตัวครีมก็ละมุนๆ เบาๆ สตรอเบอร์รี่อมเปรี้ยวอมหวาน สุโก้ยยยยยย โออิชิเดสก๊ะ
มื้อเย็นเราจะฝากท้องกันที่โอตารุเช่นเดียวกันค่ะ ที่ร้านซูชิหมุนชื่อดัง "Kantaro Sushi" ราคาเริ่มต้นที่ 216 เยน
ออกจากร้านซูชิ ได้ยินเสียงพลุแว่วๆ เค้าเริ่มจุดกันแล้วค่ะ
ยืนดูสักพักก็คิดว่ารีบกลับดีกว่า เพราะเดี๋ยวรถไฟคนจะเยอะ...แล้วก็เยอะจริงๆ ด้วยค่ะ ^^"
ลากันไปด้วยภาพ "คลองโอตารุ" ยามค่ำคืน...บ๊ายบาย Otaru...
---- รับชมทริป Day 4: เที่ยว 1 วันใน Hakodate และชิมเบอร์เกอร์แสนอร่อย Lucky Pierrot >>> https://ppantip.com/topic/39914667 ----
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้