'
ปชป.'งัดหลักฐานแจงยิบ'อภิสิทธิ์'ไม่ได้สั่งฆ่าปชช.เหตุสลายชุมนุมปี 53
17 พ.ค.63- นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีมีการกล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เรื่องการสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตว่า บุคคลกลุ่มที่ออกมากล่าวหาใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการสร้างวาทะกรรมเพื่อทำลายนายอภิสิทธิ์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์จากกระบวนการยุติธรรมจนสิ้นกระแสความว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา
ทั้งนี้ หลักฐานจากรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยืนยันชัดเจนในเรื่องการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน และในบริเวณการชุมนุมดังกล่าวก็มีกลุ่มชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธสงคราม รายงานของ คอป. มีรายละเอียดเป็นจำนวนมากที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ
แต่ที่อยากจะชี้แจงให้เห็นคือมีข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งที่สำคัญคือการพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญาในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม ได้ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่างๆ เข้าปฏิบัติการผลักดันผู้ชุมนุม สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เป็นข้อหาที่หนักหนาเอาการ
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ความหมายคือยกฟ้องตามศาลชั้นต้น คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
อย่างไรก็ตราม คดีนี้ยังไม่จบเหตุเพราะเมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา อำนาจการพิจารณาคดีก็ตกไปอยู่กับ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจโดยตรง มีการยื่นคำร้องให้เอาผิด
ทั้งหมด 3 คน คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
2.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
3.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
นายราเมศ กล่าวว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับฟังเป็นยุติว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลไว้น่าสนใจคือ “อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมนปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองโดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553”
สำหรับ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพพล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา และศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีเลขที่1699/2560 “ว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” ก็เป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องต้องกัน
“เรื่องดังกล่าวนี้ควรจะยุติ เพราะได้ผ่านการค้นหาความจริงด้วยกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรที่จะมาใช้วาทะกรรมในการปลุกปั่นให้ประชาชนเข้าใจผิดในข้อมูล”
โฆษกพรรค ปชป. ระบุว่า ข้อเท็จจริงปรากฏผ่านกระบวนการยุติธรรมในหลายคดีเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2560 คดีอาญาที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ “หน้าที่ 9 บรรทัดที่ 1-4 ระบุไว้ชัดตอนหนึ่งว่า “ในตอนค่ำมีชายชุดดำใช้อาวุธปะปนอยู่ในกลุ่ม นปช. และซุ่มอยู่บนอาคารในบริเวณดังกล่าวด้วย มีการยิงกันด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด M79 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก” นี่คือผลการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ชัดเจนตามคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 6646-6674/2561 คดีแพ่งที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมเผาอาคารพาณิชย์ของประชาชน ศาลพิพากษาให้แกนนำชดใช้ค่าเสียหาย 19,347,000 บาท โดยให้เหตุผลในหน้าที่54 บรรทัดที่ 6-10 ระบุเหตุผลไว้ชัดว่า “ผลแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 4 ที่ถูกบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. วางเพลิงเผาทำลายนั้น เป็นผลที่เกิดจากคำปราศรัยของจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 8 โดยเข้าลักษณะเป็นผู้ยุยงส่งเสริมในการละเมิดของบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. ที่ร่วมกันเผาอาคาร
https://www.thaipost.net/main/detail/66157
ปชป.งัดหลักฐานแจงสลายชุมนุม’53 ฮึ่ม!ใครใส่ร้าย‘อภิสิทธิ์’สั่งฆ่าปชช.เตรียมแจ้งดำเนินคดี
วันอาทิตย์ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563, 13.19 น.
17 พฤษภาคม 2563 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เรื่องการสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิต ว่า บุคคลกลุ่มที่ออกมากล่าวหาใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการสร้างวาทะกรรมเพื่อทำลายนายอภิสิทธิ์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์จากกระบวนการยุติธรรมจนสิ้นกระแสความว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา
หลักฐานจากรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยืนยันชัดเจนในเรื่องการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน และในบริเวณการชุมนุมดังกล่าวก็มีกลุ่มชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธสงคราม รายงานของ คอป. มีรายละเอียดเป็นจำนวนมากที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ
แต่ที่อยากจะชี้แจงให้เห็นคือมีข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งที่สำคัญคือการพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญาในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม ได้ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่างๆ เข้าปฏิบัติการผลักดันผู้ชุมนุม สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เป็นข้อหาที่หนักหนาเอาการ คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ความหมายคือยกฟ้องตามศาลชั้นต้น คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
https://www.naewna.com/local/493364
ตามหาความจริงต้องตามหากันด้วยหลักฐานทางกฎหมาย
ในเมื่อคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้สั่งอะไร ศาลยกฟ้องการสลายชุมนุมปี 53
ความจริงก็ปรากฎแล้ว...ตามที่ปชป.แถลง
ดิฉันว่า....เรื่องนี้ นปช.ที่เสียหายเพราะความจริงที่แกนนำยุยงจนประชาชน มีคดีความ แกนนำก็มีคดีความติดคุกกันไปจริง
ความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ประชาชน
ทำไมไม่ทำ....แต่พวกทักษิณยอมทำร้ายประชาชนด้วยการเอานิรโทษกรรมให้ทักษิณด้วย จนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมต้องยกเลิกไปเพราะไม่มีใครยอมใก้ทำเช่นนั้น
สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยประชาชน...🙁
ประชาชนควรโห่ฮา ให้พวกตามหาความจริงที่ทำไมยังไม่รู้เดียงสากับเรื่องราวเช่นนี้
⚀⚀มาลาริน/ปชป.แจงความจริงคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้สั่งฆ่-า ใครใส่ร้ายเตรียมดำเนินคดี..นี่ถ้าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทำเพื่อปชช.ก็จบ
17 พ.ค.63- นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีมีการกล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เรื่องการสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตว่า บุคคลกลุ่มที่ออกมากล่าวหาใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการสร้างวาทะกรรมเพื่อทำลายนายอภิสิทธิ์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์จากกระบวนการยุติธรรมจนสิ้นกระแสความว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา
ทั้งนี้ หลักฐานจากรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยืนยันชัดเจนในเรื่องการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน และในบริเวณการชุมนุมดังกล่าวก็มีกลุ่มชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธสงคราม รายงานของ คอป. มีรายละเอียดเป็นจำนวนมากที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ
แต่ที่อยากจะชี้แจงให้เห็นคือมีข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งที่สำคัญคือการพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญาในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม ได้ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่างๆ เข้าปฏิบัติการผลักดันผู้ชุมนุม สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เป็นข้อหาที่หนักหนาเอาการ
คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ความหมายคือยกฟ้องตามศาลชั้นต้น คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
อย่างไรก็ตราม คดีนี้ยังไม่จบเหตุเพราะเมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา อำนาจการพิจารณาคดีก็ตกไปอยู่กับ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีอำนาจโดยตรง มีการยื่นคำร้องให้เอาผิด
ทั้งหมด 3 คน คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
2.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
3.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
นายราเมศ กล่าวว่า ผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับฟังเป็นยุติว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เหตุผลไว้น่าสนใจคือ “อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมนปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองโดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553”
สำหรับ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพพล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา และศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ในคดีเลขที่1699/2560 “ว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง” ก็เป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องต้องกัน
“เรื่องดังกล่าวนี้ควรจะยุติ เพราะได้ผ่านการค้นหาความจริงด้วยกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรที่จะมาใช้วาทะกรรมในการปลุกปั่นให้ประชาชนเข้าใจผิดในข้อมูล”
โฆษกพรรค ปชป. ระบุว่า ข้อเท็จจริงปรากฏผ่านกระบวนการยุติธรรมในหลายคดีเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2560 คดีอาญาที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ “หน้าที่ 9 บรรทัดที่ 1-4 ระบุไว้ชัดตอนหนึ่งว่า “ในตอนค่ำมีชายชุดดำใช้อาวุธปะปนอยู่ในกลุ่ม นปช. และซุ่มอยู่บนอาคารในบริเวณดังกล่าวด้วย มีการยิงกันด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด M79 จากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก” นี่คือผลการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ชัดเจนตามคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 6646-6674/2561 คดีแพ่งที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมเผาอาคารพาณิชย์ของประชาชน ศาลพิพากษาให้แกนนำชดใช้ค่าเสียหาย 19,347,000 บาท โดยให้เหตุผลในหน้าที่54 บรรทัดที่ 6-10 ระบุเหตุผลไว้ชัดว่า “ผลแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่อาคารและทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 4 ที่ถูกบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. วางเพลิงเผาทำลายนั้น เป็นผลที่เกิดจากคำปราศรัยของจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 8 โดยเข้าลักษณะเป็นผู้ยุยงส่งเสริมในการละเมิดของบุคคลผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปช. ที่ร่วมกันเผาอาคาร
https://www.thaipost.net/main/detail/66157
ปชป.งัดหลักฐานแจงสลายชุมนุม’53 ฮึ่ม!ใครใส่ร้าย‘อภิสิทธิ์’สั่งฆ่าปชช.เตรียมแจ้งดำเนินคดี
วันอาทิตย์ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563, 13.19 น.
17 พฤษภาคม 2563 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เรื่องการสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิต ว่า บุคคลกลุ่มที่ออกมากล่าวหาใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการสร้างวาทะกรรมเพื่อทำลายนายอภิสิทธิ์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งๆที่เรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์จากกระบวนการยุติธรรมจนสิ้นกระแสความว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิดตามที่กล่าวหา
หลักฐานจากรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ยืนยันชัดเจนในเรื่องการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 การชุมนุมครั้งนั้นเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน และในบริเวณการชุมนุมดังกล่าวก็มีกลุ่มชายชุดดำแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธสงคราม รายงานของ คอป. มีรายละเอียดเป็นจำนวนมากที่ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ
แต่ที่อยากจะชี้แจงให้เห็นคือมีข้อเท็จจริงอีกมุมหนึ่งที่สำคัญคือการพิสูจน์ความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มีการยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ ต่อศาลอาญาในข้อหาเจตนาฆ่าผู้ชุมนุม ได้ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยต่างๆ เข้าปฏิบัติการผลักดันผู้ชุมนุม สลายการชุมชุม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เป็นข้อหาที่หนักหนาเอาการ คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ความหมายคือยกฟ้องตามศาลชั้นต้น คดีขึ้นสู่ศาลฎีกาศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
https://www.naewna.com/local/493364
ตามหาความจริงต้องตามหากันด้วยหลักฐานทางกฎหมาย
ในเมื่อคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้สั่งอะไร ศาลยกฟ้องการสลายชุมนุมปี 53
ความจริงก็ปรากฎแล้ว...ตามที่ปชป.แถลง
ดิฉันว่า....เรื่องนี้ นปช.ที่เสียหายเพราะความจริงที่แกนนำยุยงจนประชาชน มีคดีความ แกนนำก็มีคดีความติดคุกกันไปจริง
ความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ประชาชน
ทำไมไม่ทำ....แต่พวกทักษิณยอมทำร้ายประชาชนด้วยการเอานิรโทษกรรมให้ทักษิณด้วย จนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมต้องยกเลิกไปเพราะไม่มีใครยอมใก้ทำเช่นนั้น
สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยประชาชน...🙁
ประชาชนควรโห่ฮา ให้พวกตามหาความจริงที่ทำไมยังไม่รู้เดียงสากับเรื่องราวเช่นนี้