[CR] เที่ยวเชียงใหม่ 2019

กระทู้รีวิว
กลางปี 2019 มีโอกาสไปเที่ยวเมืองเชียงใหม่ พักที่ อีสทิน ตัน โฮเต็ล เชียงใหม่  ใกล้ห้าง MAYA

เชียงใหม่ (คำเมือง:   เจียงใหม่) เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีประชากรราว 1.76 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและชานเมืองราว 960,000 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่ทิศเหนือติดต่อกับรัฐชาน ประเทศพม่า จังหวัดเชียงใหม่มีเขตเมืองที่จัดเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองของประเทศไทยรองจากกรุงเทพมหานคร มีประชากรในเขตเมืองและชานเมือง 960,906 คน (พ.ศ. 2553) จังหวัดเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ โดยมีอำเภอเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2552 มีการจัดตั้งอำเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นอำเภอลำดับที่ 25 ของจังหวัด และลำดับที่ 878 ของประเทศ ซึ่งเป็นอำเภอล่าสุดของไทย จังหวัดเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาแต่โบราณ มี "คำเมือง" เป็นภาษาท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งด้านประเพณีวัฒนธรรม และมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเริ่มวางตัวเป็นนครสร้างสรรค์ และได้รับการประกาศเป็นเมืองสร้างสรรค์ของโลกทางด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2560 ปัจจุบันกำลังพิจารณาสมัครเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

บรรยากาศรอบข้างของโรงแรม มีถนนคนเดินเล็กๆ 


บรรยากาศตอนเช้า

บริเวณที่ทานเข้าเช้า พิ้นที่ของ Eastin tan hotel


หน้าห้างเมยาช่วงกลางคืน 
ปล.เดินระๆวัง แถวนั้นรถยนต์ 




วัน นิมมาน (One Nimman) แลนด์มาร์คใหม่ล่าสุด ที่ตั้งอยู่ในย่านนิมมานเหมินท์ ย่านที่ชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวรู้จักในฐานะแหล่งช้อปปิ้งสินค้าไลฟ์สไตล์และงานออกแบบ แหล่งรวมคาเฟ่และร้านอาหารดีไซน์เก๋ ด้วยโครงสร้างอาคารที่ก่อด้วยอิฐดินเผา มีซุ้มประตูโค้ง ได้กลิ่นอายล้านนาผสมสถาปัตยกรรมยุโรป


กับคุณเสี่ยเล้งและเสี่ยมะเหมี่ยว




รอบคูเมือง



วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร หรือ วัดโชติการาม เป็นสถานที่ประดิษฐานเจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่ของเชียงใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่ถนนพระปกเกล้า มีบริเวณกว้างขวาง ที่สำคัญเพราะวัดนี้เป็นวัดที่ชาวเชียงใหม่ศรัทธากันมากๆ และเป็นที่ตั้งศาลหลักเมืองของเชียงใหม่ หรือเรียกกันว่า หออินทขิล อยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ และมีความสำคัญต่อชาวเชียงใหม่เป็นอย่างมาก


คูเมืองเชียงใหม่
“คูเมืองเชียงใหม่” สร้างในรัชสมัยพระญามังราย เมื่อปีพ.ศ.1839 ตามคติความเชือของการสร้างความมั่นคง แห่งราชธานี แบบเดียวกับกรุงสุโขทัย และทำหน้าที่เป็นปราการปกป้องเมือง จากการรุกรานของอริราชศัตรู ประวัติศาตร์บันทึกไว้ว่า กว้าง 900 วา ยาว 1 พันวา เป็นสี่เหลี่ยมล้อมรอบเขตเมืองชั้นในด้านละประมาณ 1.8 กม.
ปัจจุบันมีความกว้างราวๆ 13 เมตร จากเดิม 25 เมตร ลึกโดยเฉลี่ย 3-4 เมตร ระหว่างคูเมืองแต่ละทิศ มี 5 ประตูทางเข้าเมือง เป็นทางขวางคูเมือง โดยมีท่อลอดเชื่อมระบบไหลเวียนของน้ำ ได้รับการบูรณะในรัชสมัยพญาเมืองแก้ว สมัยล้านนา และสมัยพระยากาวิละในสมัยรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบันมีการขุดลอก ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อยู่ในความดูแลของ ทน.เชียงใหม่ ในอดีตภาพของคูเมืองที่โดดเด่นคือ ทำหน้าที่ แหล่งเล่นน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเป็นพื้นที่แก้มลิงรับน้ำจากดอยสุเทพ ทางระบายน้ำที่ไหลมาจามทางราบลุ่ม ท่วมขังรอการระบายในแต่ละจุด จะมี คูเมืองช่วยรับลดปริมาณน้ำในช่วงฤดูฝน
 

หอศิลป์




เหนื่อยแล้ว



วัดพันอ้น เป็นวัดที่เก่าแก คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาช้านาน ตามประวัติแล้ว วัดพันอ้นสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2044 ใน รัชสมัยของพระเจ้าศิริธรรมจักรพรรดิราช (พญาแก้วหรือพระเมืองแก้ว) กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 13 ในสมัยที่ล้านนาไทยยังเป็นอิสระอยู่ในราชวงค์มังรายมหาราช 

“พันอ้น” สันนิษฐานได้ว่าเป็นชื่อผู้สร้างวัดที่ถวายไว้กับพระพุทธศาสนาผู้สร้างเป็น ทหารหรือขุนนางที่มีบรรศักดิ์เป็น “พัน” เพราะคนในสมัยนั้นเมื่อตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตมักจะสร้างวัดไว้เป็น อนุสรณ์ และนำชื่อของตนเองเป็นชื่อวัดที่ตนเองสร้างขึ้นด้วย และท่านคงมีนามว่า “อ้น” เมื่อสร้างวัดแห่งนี้เสร็จจึงให้นามว่า “วัดพันอ้น” ตามบรรดาศักดิ์และชื่อของท่าน ซึ่งปรากฏมีวัดจำนวนมากในตัวเมืองเชียงใหม่ที่นิยมใช้ชื่อผู้สร้างวัดเป็น ชื่อของวัดอยู่ด้วย


ประตูท่าแพ
หรือชื่อเดิม ประตูเชียงเรือก เป็นประตูทางทิศตะวันออก และเป็น 1 ใน 5 ประตูเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นประตูเมืองเพียงแห่งเดียวที่มีบานประตู ประตูท่าแพซึ่งตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ เทศบาลนครเชียงใหม่และกรมศิลปากรได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ประกอบกับภาพถ่ายประตูเมืองเชียงใหม่ประตูหนึ่ง ซึ่งถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2422
ประตูท่าแพที่ถูกเรียกกันในปัจจุบันนั้น แท้จริงมีนามว่า "ประตูเชียงเรือก" เพราะอยู่ใกล้หมู่บ้านเชียงเรือก สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพญามังราย เมื่อแรกตั้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 ส่วนประตูท่าแพของจริงนั้นเดิมเคยตั้งอยู่บริเวณสี่แยกวัดแสนฝาง ซึ่งเป็นประตูของแนวกำแพงเมืองชั้นนอก ต่อมาเมื่อมีการรื้อแนวกำแพงชั้นนอกออกจึงเหลือแต่ประตูเชียงเรือกที่เป็นประตูชั้นใน ชาวบ้านจึงเรียกประตูเชียงเรือกนี้ว่าประตูท่าแพแทน



วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร (คำเมือง:  ) พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร[1] ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง"



อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าศาลากลางหลังเก่า ถนนพระปกเกล้า และเป็นสถานที่ที่ชาวเชียงใหม่หรือนักท่องเที่ยวต่างมาสักการะบูชา อนุสาวรีย์สามกษัตริย์แห่งนี้ หากเราหันหน้าเข้าหาอนุสาวรีย์จะพบว่า องค์กลาง คือ พญามังราย องค์ขวาคือ พญาร่วง ส่วนองค์ซ้ายคือ พญางำเมือง กษัตริย์ทั้งสามพระองค์นี้ถือได้ว่าเป็นผู้สร้างอาณาจักรล้านนา และนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ให้มีความเจริญรุ่งเรืองมากว่า 700 ปี นับว่าเป็นองค์อนุสาวรีย์ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ ด้านหลังอนุสาวรีย์ ตอนนี้เป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่



วัดอินทขิลสะดือเมือง หรือ วัดสะดือเมือง เป็นวัดโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้กับ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ (ศาลากลางหลังเก่า) และอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ แต่เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง และเคยเป็นที่ตั้งของเสาอินทขิล(เสาหลักเมือง) ของเมืองเชียงใหม่ ดังนั้นทางวัดจึงตั้งชื่อว่า วัดอินทขิลสะดือเมือง แต่ปัจจุบัน ภายในวัดอินทขิลไม่มีเสาอินทขิลดั้งเดิมแล้ว เพราะได้ย้ายไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวงแทน



ข้ามไปลำพูน
วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร เดิมทีเป็นพระราชวังของพระเจ้าอทิตยราชกษัตริย์ผู้ครอง 
นครหริภุญชัย องค์ที่ ๓๓ ต่อจาก พระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตริย์ของเมืองหริภุญชัย บริเวณกำแพงพระราชวังของพระเจ้าอาทิตยราชได้แบ่งออกเป็น ๒ ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นใน ในกาลต่อมาภายหลังพระเจ้าอาทิตยราช ได้ถวายราชวังของพระองค์ให้เป็นสังฆารามไว้กับทางพระพุทธศาสนาเมื่อถวายเป็นสังฆารามแล้ว ได้รื้อกำแพงชั้นนอกออกแล้วปั้นสิงห์คู่หนึ่งไว้ที่ซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก เป็นสิงห์ขนาดใหญ่ประดับเครื่องทรงยืนอ้าปากประดิษฐานไว้แทน ตามคติโบราณทางเหนือซึ่งนิยมสร้างสิงห์เฝ้าวัด วัดพระธาตุหริภุญชัย จึงมีกำแพงสองชั้นตามรูปลักษณ์ของพระราชวังเดิมของพระเจ้าอาทิตยราช คือ รอบบริเวณวัดชั้นนอกชั้นหนึ่ง และก่อกำแพงเป็นศาลาบาตรรอบองค์พระธาตุหริภุญชัยเป็นกำแพงชั้นในอีกชั้นหนึ่ง
 

( เคยได้ยินตอนเรียน ไม่คิดว่าจะมีโอกสสได้มา )


เดี๋ยวมาต่อ
ชื่อสินค้า:   เที่ยวเชียงใหม่ 2019
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่