อยากเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการร้องเรียนบริษัทประกันภัย
ผมเป็นผู้เสียหายเกี่ยวกับกับคดีอุบัติเหตุปลายปีที่แล้วที่เป็นข่าวดัง จากเหตุการณ์ที่มีรถสิบล้อพ่วงของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งพุ่งชนรถยนต์ จำนวนทั้งสิ้น 7 คัน ผู้เสียหายทุกรายรวมถึงผมได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามการประเมินสินทรัพย์และหลักฐานเรียบร้อยทุกรายครับ ยกเว้นแม่ผม!!
จากเหตุการณ์ดังกล่าวแม่ผมมีอาการหนักสุด เนื่องจากนั้งด้านหลัง กระเด็นออกและนอนสลบข้างตัวรถเมื่อรถหยุดนิ่งชนกับต้นไม้บริเวณเกาะกลางถนน
แม่ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ เป็นระยะเวลาประมาณ 13 วัน โดยมีอาการเลือดออกในสมอง กระดูกซี่โครงร้าว กระดูกแขนซ้ายหักสองท่อน ท่อนบนและท่อนล่าง ต้องผ่าตัดดามโลหะบริเวณใกล้กับหัวไหล่พร้อมเข้าเผือกบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง ตลอดการรักษาได้รับการดูแลจากนายแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของโรงพยาบาลเป็นอย่างดี (ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เบิกได้จากประกันภาคบังคับ ที่เราเรียกว่า พรบ. ของรถผม+พรบ.ของรถพ่วงสิบล้อ ในขั้นตอนนี้ผมต้องเดินทางไปยังบริษัทประกันภาคบังคับเพื่อขอขยายวงเงินค่ารักษาในส่วนแรก จาก 30,000 เป็น 80,000 บาท)
หลังจากออกจาก รพ. แม่ผมยังคงมีอาการเดิน ขยับแขนและขาซ้ายไม่ปกติ ระหว่างที่แม่รักษาตัวที่บ้าน ได้มีการนัดเจรจากันที่ สภอ. ท้องที่เกิดเหตุหลายครั้ง รวมแล้วเป็นจำนวน 4 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งมีตัวแทนบริษัทประกันภาคบังคับ ตัวแทนบริษัทประกันภาคสมัครใจ ตัวแทนบริษัทขนส่ง ผมซึ่งเป็นตัวแทนแม่เข้าร่วมในการเจรจาด้วยทุกครั้ง และได้รับการช่วยเหลือจากนายตำรวจเจ้าของคดีเป็นอย่างดี
มีการเปลี่ยนแปลงตัวแทนของบริษัทประกันภาคสมัครใจของรถสิบล้อพ่วง ในการเข้าร่วมเจรจาทุกครั้งที่ผ่านมา (ตรงนี้ผมก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ส่งคนเดิมมา) และตกลงกันไม่ได้เนื่องจากแม่ผมแจ้งว่าต้องรอดูอาการ โดยไม่แน่ใจว่าจะมีอาการแทรกซ้อนและจะสามารถใช้ชีวิต ใช้งานแขนซ้ายได้ตามปกติในอนาคตหรือไม่ ซึ่งแพทย์ผู้รักษายังคงนัดตรวจเพื่อติดตามการรักษาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับประเด็นการเรียกร้องเงินชดเชย ผมได้จัดทำรายงานอาการ และข้อสรุปในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตามรายละเอียดและหลักฐานที่มี อันได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เกิน ค่าขาดประโยชน์จากการเข้ารักษา (รายได้) ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าเสียโอกาสในการใช้แขนซ้าย พร้อมด้วยประวัติการรักษา จำนวน 60 หน้า เพื่อส่งให้กับตัวแทนประกันพิจารณา และเรียกร้องเงินเป็นจำนวนประมาณ 5 แสนบาท
ในระหว่างนี้ผมได้รับการติดต่อจากตัวแทนบริษัทประกันหลายครั้ง ขอประวัติเพิ่ม ขอเอกสารเพิ่มบ้าง โดยเอกสารบางรายการผมส่งให้ทางอีเมลก็อ้างว่าไม่ได้รับหรือเปิดไม่ได้บ้าง ขอหลักฐานจริงผมก็ต้องเสียเวลาเดินทางไปบริษัทประกันเพื่อส่งเอกสาร รวมถึงเดินทางไปพบแม่ผมที่บ้านเพื่อสอบถามอาการ
จนในที่สุด เมื่อวันที่ 27 กพ 2563 มีการนัดเจรจากันครั้งที่ 4 ที่ สภอ. หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ตัวแทนประกันได้โทรแจ้งผมว่า เงินที่ผมขอมากเกินไป คงได้เงินประมาณ 75,000 บาท ตามการกล่าวอ้าง เนื่องจากใบรับรองแพทย์ไม่ได้ระบุว่ารักษาตัวนานเท่าใด ตอนนั้นผมบอกตามตรงเลือดขึ้นหน้าครับ บทสนทนาระหว่างผมกับตัวแทนบริษัทประกันโดยสรุป
ผม "คุณได้อ่านประวัติการรักษาหรือไม่ ในส่วนท้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ ว่าแม่ผมมีอาการอะไรบ้าง"
ประกัน "แพทย์ไม่ได้ระบุในใบรับรองแพทย์ว่าต้องหยุดงานกี่วัน บอกเพียงรักษาตัวใน รพ กี่วัน"
ผมเลยตัดบทโดย "งั้นก็ให้ตำรวจของสำนวนส่งเรื่องไปอัยการแล้วเราค่อยไปตกลงที่ศาลก็แล้วกัน"
ประกัน "เอาตามที่ว่า ตามนั้นก็ได้ครับ........."
หลังวางสายผมนี่คิดในใจ อาการแม่ผมนี่มีค่า 75,000 บาท จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนบริษัทประกัน ไปยัง คปภ.ภาค 4 พร้อมสรุปเหตุการณ์อุบัติเหตุ อาการแม่ปัจจุบัน รายละเอียดการรักษา รายระเอียดประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน พร้อมแนบหลักฐาน ส่งทางไปรษณีย์ EMS
ผลปรากฏว่าหลังจากส่งเอกสารร้องเรียนเพียง 4 วัน ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ คปภ. ทางโทรศัพท์สอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดอุบัติเหตุ ความข้องกับผู้เสียหาย และขอหนังสือมอบอำนาจให้ผมเป็นตัวแทนดำเนินการร้องเรียนและเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
ก่อนวันนัดเจรจาที่ คปภ. สองวัน มีการติดต่อจากตัวแทน บริษัทประกัน (ตอนนี้เปลี่ยนตัวแทนคนใหม่แล้ว) และตกลงในเบื้องต้น โดยรับปากว่าจะคุยกับผู้บริหารให้ ซึ่งตัวแทนใหม่นี้ต่างจากตัวแทนคนแรกราวฟ้ากับนรก
ในวันเจรจา (14 พ.ค. 63) ที่ คปภ. ผมมีโอกาสได้พบ ผอ.รัชโยธิน มีพันลม ซึ่งได้รับความกรุณาจากท่านเป็นตัวแทนคนกลางในการเจรจา โดยมีท่าน ผอ.คปภ. ผมพร้อมด้วย พ่อ-แม่ และตัวแทนประกัน รวม 5 คน การเจรจาได้รับการแนะนำช่วยเหลือจากท่าน ผอ. เป็นอย่างดีจนในที่สุดเราก็สามารถหาข้อยุติเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายโดยเฉพาะแม่ผม (ผมมาทราบในภายหลังว่า ท่าน ผอ.ได้ให้การช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันแล้วหลายคดีและมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก)
ตอนนี้แม่ผมเดินได้แล้วครับแต่แขนซ้ายยังไม่สามารถยกเหนือศีรษะได้ครับ จากวันที่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ บอกเลยว่าไม่อยากมีเรื่องหรือคดีความเลยครับ เหนื่อยมากทั้งการหาหลักฐานประกอบ การทำสรุป การเดินเรื่อง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีขอเพียงท่านอย่าท้อครับ และถ้าหากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทน มีปัญหากับบริษัทประกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ช่วยท่านได้ครับ ก่อนที่จะไปต่อที่ศาลหากเจรจาไม่สำเร็จ
ขอบคุณพี่ ๆ กู้ภัย /เพื่อนฝูงที่ให้การแนะนำ ทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือ และ ขอขอบพระคุณ (ขออนุญาตเอ่ยนาม)
นายแพทย์ธิปไตย ชัยชมภู โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ที่ท่านดูแลแม่ผมเป็นอย่างดีจนอาการดีขึ้น
ผอ.รัชโยธิน มีพันลม ผอ.คปภ.จังหวัดอุดรธานี ที่กรุณาเป็นคนกลางในการเจรจา ส่งผลให้ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี
พ.ต.ท.จำเนียร ไชยวาส รอง ผกก. (สอบสวน) เจ้าของคดี ที่กรุณาติดตาม สอบถามด้วยความเป็นห่วง และให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีเป็นอย่างดี
ขอบพระคุณทั้งสามท่านมากเลยครับ
อยากเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการร้องเรียนบริษัทประกันภัย
ผมเป็นผู้เสียหายเกี่ยวกับกับคดีอุบัติเหตุปลายปีที่แล้วที่เป็นข่าวดัง จากเหตุการณ์ที่มีรถสิบล้อพ่วงของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งพุ่งชนรถยนต์ จำนวนทั้งสิ้น 7 คัน ผู้เสียหายทุกรายรวมถึงผมได้รับการชดเชยค่าเสียหายตามการประเมินสินทรัพย์และหลักฐานเรียบร้อยทุกรายครับ ยกเว้นแม่ผม!!
จากเหตุการณ์ดังกล่าวแม่ผมมีอาการหนักสุด เนื่องจากนั้งด้านหลัง กระเด็นออกและนอนสลบข้างตัวรถเมื่อรถหยุดนิ่งชนกับต้นไม้บริเวณเกาะกลางถนน
แม่ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ เป็นระยะเวลาประมาณ 13 วัน โดยมีอาการเลือดออกในสมอง กระดูกซี่โครงร้าว กระดูกแขนซ้ายหักสองท่อน ท่อนบนและท่อนล่าง ต้องผ่าตัดดามโลหะบริเวณใกล้กับหัวไหล่พร้อมเข้าเผือกบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง ตลอดการรักษาได้รับการดูแลจากนายแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายของโรงพยาบาลเป็นอย่างดี (ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เบิกได้จากประกันภาคบังคับ ที่เราเรียกว่า พรบ. ของรถผม+พรบ.ของรถพ่วงสิบล้อ ในขั้นตอนนี้ผมต้องเดินทางไปยังบริษัทประกันภาคบังคับเพื่อขอขยายวงเงินค่ารักษาในส่วนแรก จาก 30,000 เป็น 80,000 บาท)
หลังจากออกจาก รพ. แม่ผมยังคงมีอาการเดิน ขยับแขนและขาซ้ายไม่ปกติ ระหว่างที่แม่รักษาตัวที่บ้าน ได้มีการนัดเจรจากันที่ สภอ. ท้องที่เกิดเหตุหลายครั้ง รวมแล้วเป็นจำนวน 4 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งมีตัวแทนบริษัทประกันภาคบังคับ ตัวแทนบริษัทประกันภาคสมัครใจ ตัวแทนบริษัทขนส่ง ผมซึ่งเป็นตัวแทนแม่เข้าร่วมในการเจรจาด้วยทุกครั้ง และได้รับการช่วยเหลือจากนายตำรวจเจ้าของคดีเป็นอย่างดี
มีการเปลี่ยนแปลงตัวแทนของบริษัทประกันภาคสมัครใจของรถสิบล้อพ่วง ในการเข้าร่วมเจรจาทุกครั้งที่ผ่านมา (ตรงนี้ผมก็ไม่เข้าใจทำไมไม่ส่งคนเดิมมา) และตกลงกันไม่ได้เนื่องจากแม่ผมแจ้งว่าต้องรอดูอาการ โดยไม่แน่ใจว่าจะมีอาการแทรกซ้อนและจะสามารถใช้ชีวิต ใช้งานแขนซ้ายได้ตามปกติในอนาคตหรือไม่ ซึ่งแพทย์ผู้รักษายังคงนัดตรวจเพื่อติดตามการรักษาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับประเด็นการเรียกร้องเงินชดเชย ผมได้จัดทำรายงานอาการ และข้อสรุปในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตามรายละเอียดและหลักฐานที่มี อันได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เกิน ค่าขาดประโยชน์จากการเข้ารักษา (รายได้) ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าเสียโอกาสในการใช้แขนซ้าย พร้อมด้วยประวัติการรักษา จำนวน 60 หน้า เพื่อส่งให้กับตัวแทนประกันพิจารณา และเรียกร้องเงินเป็นจำนวนประมาณ 5 แสนบาท
ในระหว่างนี้ผมได้รับการติดต่อจากตัวแทนบริษัทประกันหลายครั้ง ขอประวัติเพิ่ม ขอเอกสารเพิ่มบ้าง โดยเอกสารบางรายการผมส่งให้ทางอีเมลก็อ้างว่าไม่ได้รับหรือเปิดไม่ได้บ้าง ขอหลักฐานจริงผมก็ต้องเสียเวลาเดินทางไปบริษัทประกันเพื่อส่งเอกสาร รวมถึงเดินทางไปพบแม่ผมที่บ้านเพื่อสอบถามอาการ
จนในที่สุด เมื่อวันที่ 27 กพ 2563 มีการนัดเจรจากันครั้งที่ 4 ที่ สภอ. หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ตัวแทนประกันได้โทรแจ้งผมว่า เงินที่ผมขอมากเกินไป คงได้เงินประมาณ 75,000 บาท ตามการกล่าวอ้าง เนื่องจากใบรับรองแพทย์ไม่ได้ระบุว่ารักษาตัวนานเท่าใด ตอนนั้นผมบอกตามตรงเลือดขึ้นหน้าครับ บทสนทนาระหว่างผมกับตัวแทนบริษัทประกันโดยสรุป
ผม "คุณได้อ่านประวัติการรักษาหรือไม่ ในส่วนท้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ ว่าแม่ผมมีอาการอะไรบ้าง"
ประกัน "แพทย์ไม่ได้ระบุในใบรับรองแพทย์ว่าต้องหยุดงานกี่วัน บอกเพียงรักษาตัวใน รพ กี่วัน"
ผมเลยตัดบทโดย "งั้นก็ให้ตำรวจของสำนวนส่งเรื่องไปอัยการแล้วเราค่อยไปตกลงที่ศาลก็แล้วกัน"
ประกัน "เอาตามที่ว่า ตามนั้นก็ได้ครับ........."
หลังวางสายผมนี่คิดในใจ อาการแม่ผมนี่มีค่า 75,000 บาท จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนบริษัทประกัน ไปยัง คปภ.ภาค 4 พร้อมสรุปเหตุการณ์อุบัติเหตุ อาการแม่ปัจจุบัน รายละเอียดการรักษา รายระเอียดประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน พร้อมแนบหลักฐาน ส่งทางไปรษณีย์ EMS
ผลปรากฏว่าหลังจากส่งเอกสารร้องเรียนเพียง 4 วัน ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ คปภ. ทางโทรศัพท์สอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดอุบัติเหตุ ความข้องกับผู้เสียหาย และขอหนังสือมอบอำนาจให้ผมเป็นตัวแทนดำเนินการร้องเรียนและเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
ก่อนวันนัดเจรจาที่ คปภ. สองวัน มีการติดต่อจากตัวแทน บริษัทประกัน (ตอนนี้เปลี่ยนตัวแทนคนใหม่แล้ว) และตกลงในเบื้องต้น โดยรับปากว่าจะคุยกับผู้บริหารให้ ซึ่งตัวแทนใหม่นี้ต่างจากตัวแทนคนแรกราวฟ้ากับนรก
ในวันเจรจา (14 พ.ค. 63) ที่ คปภ. ผมมีโอกาสได้พบ ผอ.รัชโยธิน มีพันลม ซึ่งได้รับความกรุณาจากท่านเป็นตัวแทนคนกลางในการเจรจา โดยมีท่าน ผอ.คปภ. ผมพร้อมด้วย พ่อ-แม่ และตัวแทนประกัน รวม 5 คน การเจรจาได้รับการแนะนำช่วยเหลือจากท่าน ผอ. เป็นอย่างดีจนในที่สุดเราก็สามารถหาข้อยุติเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายโดยเฉพาะแม่ผม (ผมมาทราบในภายหลังว่า ท่าน ผอ.ได้ให้การช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันแล้วหลายคดีและมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก)
ตอนนี้แม่ผมเดินได้แล้วครับแต่แขนซ้ายยังไม่สามารถยกเหนือศีรษะได้ครับ จากวันที่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ บอกเลยว่าไม่อยากมีเรื่องหรือคดีความเลยครับ เหนื่อยมากทั้งการหาหลักฐานประกอบ การทำสรุป การเดินเรื่อง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีขอเพียงท่านอย่าท้อครับ และถ้าหากท่านมีปัญหาเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทน มีปัญหากับบริษัทประกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ช่วยท่านได้ครับ ก่อนที่จะไปต่อที่ศาลหากเจรจาไม่สำเร็จ
ขอบคุณพี่ ๆ กู้ภัย /เพื่อนฝูงที่ให้การแนะนำ ทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือ และ ขอขอบพระคุณ (ขออนุญาตเอ่ยนาม)
นายแพทย์ธิปไตย ชัยชมภู โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ที่ท่านดูแลแม่ผมเป็นอย่างดีจนอาการดีขึ้น
ผอ.รัชโยธิน มีพันลม ผอ.คปภ.จังหวัดอุดรธานี ที่กรุณาเป็นคนกลางในการเจรจา ส่งผลให้ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี
พ.ต.ท.จำเนียร ไชยวาส รอง ผกก. (สอบสวน) เจ้าของคดี ที่กรุณาติดตาม สอบถามด้วยความเป็นห่วง และให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเกี่ยวกับคดีเป็นอย่างดี
ขอบพระคุณทั้งสามท่านมากเลยครับ