"ทำแท้ง" ประสบการณ์ชีวิตที่ลบไม่ได้
เดิมที คือ เราอยู่กับสามีและลูกชายวัย 3 ขวบ 4 เดือน ชีวิตถือว่ามีความสุข เราทำงานบัญชีบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่ง เงินเดือน 18000 บาท และสามีรับงานฟรีแลนซ์ + ขับรถส่งของให้บริษัท เงินเดือน 13000-16000 บาท เช่าห้อง 3000 เลี้ยงลูกใช้ชีวิตแบบ พ่อ แม่ ลูก ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่
"ที่ดีที่สุด... เรากำลังจะมีน้อง ให้ลูกชายเรา เราท้องได้ 11 สัปดาห์"
และแล้ว ....โควิดมา น้ำตาก็เริ่มไหล สามีโดนหยุดงานไม่มีกำหนดทั้ง 2 ทาง ตอนแรกสิ่งที่เราคิดไว้คือ สามีหยุดงานไม่มีกำหนดเลย และตอนนี้สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะพิษของโรคระบาด มันสาหัสมากๆ แต่อย่างน้อยก็จะยังมีเราที่ทำงานประจำ ยังพอมีเงินใช้แน่นอนทุกๆ เดือน และก็สามีไปวิ่งส่งอาหารเป็นรายได้เข้ามาอีกทาง ยังพอช่วยกันให้ผ่านไปได้
แต่ชิวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้น
บริษัทเราเริ่มแย่ ออกไปถ่ายละครกันไม่ได้ รายได้เริ่มจม ทำให้ต้องทำวิธีของบริษัทที่หลายๆ บริษัททำไปแล้ว คือ "เลิกจ้างพนักงาน" ใช่คะ....เราคือ 1 ในนั้น
พฤ.ที่ 31 เมย. 63 เราได้รับข่าวร้ายเรื่องการปลดพนักงานออก เราช็อคมากถึงมากที่สุด ที่เราฝันไว้ ที่เราคิดไว้ มันพัง .... จนเราหูอื้อ ตัวชา น้ำตาไหล เรานึกถึง "ลูก" ที่เกิดมาแล้ว แล้วไอตัวเล็กที่อยู่ในท้อง ..... เราคิดมาก เครียด กลัว กังวล ปรึกษากับสามี ซึ่งมันเครียดมาก เข้าใจเลยว่า คนที่อยากตายมันเป็นยังไง เราและสามีตกงานทั้งคู่
และแล้วความคิดไม่ดีก็ขึ้นมา แต่ที่คิดแบบนั้น เราคิดถึงลูกมากๆ ว่าเราจะดูแลเค้ายังไงให้ดีที่สุด แล้วตัวน้อยที่อยู่ในท้อง เกิดมาจะเป็นยังไงต่อ แผนทางเดินมันพลิกกลับไปหมด ถ้าเราท้อง คือ เราหางานไม่ได้แน่ ซึ่งไม่ท้องมันก็ยากอยู่แล้วสำหรับตอนนี้ แล้วถ้าเค้าคลอดเราจะเอาเงินจากไหนคลอด และดูแลเค้า
สิ่งที่ผุดขึ้นมาคือ "การยุติการตั้งครรภ์"
เราร้องไห้ เครียด กังวลตั้งแต่วันที่รับรู้ว่าตัวเองต้องตกงาน และเริ่มค้นข้อมูลมาเรื่อยๆ เรื่องการยุติการตั้งครรภ์ โทรปรึกษา 1663 ซึ่งได้รับคำปรึกษาดีมาก และแนะนำเรื่องคลินิกให้บริการ
ศ. ที่ 1 พค.63 เราเดินทางไปคลินิกแถวบางเขน เป็นคลินิกใหญ่ มี ผญ. เดินเข้า-ออก หลายคน เราเข้าไปเขียนรายละเอียด จากนั้นจ่ายเงินค่าอัลตร้าซาวน์ 300 บาท และรอเข้าไปอัลตร้าซาวน์และคุยกับคุณหมอ ถึงคิวเราเข้าไป เราขึ้นเตียงทำการอัลตร้าซาวน์ พอเราเห็นจอ เราทำใจไม่ได้ที่จะต้องทำกับลูกเราแบบนั้น เราเลยขอยุติและเดินออกมาหาสามีและลูกเราข้างนอกทั้งน้ำตา
ปล. ที่นี่ถ้าทำจะใช้การขูดมดลูกซึ่งทำสด
สามีพาขับรถกลับบ้าน เราถามว่าเอาไงดีเราทำไม่ได้ สามีเราร้องไห้บอกว่า เค้าเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างมืดมนไปหมดทุกด้าน ลูกออกมาก็ต้องอดอยาก เลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าที่ก่อนหน้าเราวางเเผนกันไว้ เราก็คิดแบบนั้น เพราะเราอยากมีมาก แต่ตอนนั้นคือช่วงเวลาที่เราไม่ได้ยากลำบาก หลังจากนั้นเราหาข้อมูลไปเรื่อยๆ
อ.ที่ 5 พค.63 เราตัดสินใจแล้ว ทบทวนแล้ว เราเดินทางไปคลินิกแถว สุขุมวิท 12 พอไปถึง คนเยอะมาก เราเดินเข้าไป ทำประวัติ อัลตร้าซาวน์ แต่ที่นี่จะไม่ให้เราดูจอ เราจ่ายเงิน 4500 บาท กลัวมาก สงสารลูกมาก แต่คิดว่านี่ดีที่สุดแล้วถ้าเค้าต้องออกมาเจอกับความลำบาก ไปนั่นที นี่ที
จากนั้น รอรอเรียก เจ้าหน้าที่จะเรียกคนไข้รอบละ 10 คน พาเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ที่นี่เราสอบถามพยาบาลแจ้งว่าใช้วิธีการดูดออกมาไม่ต้องขูดมดลูกและใช้เวลาไม่มี พอเดินขึ้นไปเข้าห้องแยก ห้องละ 1 คน เป็นห้องพักเล็กๆ เป็นห้องซอยมีที่นอนพัก ก่อนและหลังทำ เราเบอร์ 2 เสียงพยาบาลเรียกคนที่ 1 พบหมอได้เลยคะ เราใจเต้นแรงมาก และได้แต่บอกลูกในท้องว่าแม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษจริงๆ มาถึงตรงนี้แล้วแม่คงถอยไม่ได้ ไว้เรามีโอกาสแม่ขอให้ลูกมาเกิดกับแม่ใหม่นะลูก แม่สัญญาจะดูแลให้ดีที่สุด จากนั้นพยาบาลเรียก เบอร์ 2 พบคุณหมอได้คะ เราเดินไปขึ้นเตียงขาหยั่ง ไม่เกิน 1 นาทีหมอเดินมาจากอีกห้อง ใช้เวลากับการอยู่กับเราประมาณ 3 นาที แต่มันช่างเจ็บปวดที่สุดทั้งกาย ใจ จุกมากที่เราให้คนมาทำกับลูกเราแบบนี้ พอเสร็จพยาบาลเดินพยุงเราออกมาห้องพัก เรานอนไม่ได้เพราะปวดมากๆ ร้องไห้น้ำตาไหลสงสารลูก ความเจ็บปวดแม่ไม่เท่าลูกเลยเราได้แต่คิดอยู่แบบนั้น จิตตกมาก ไม่เกิน 5 นาทีเราเปลี่ยนใส่กางเกง มารับยา เดินลงไปหาสามีและลูก สามีมองหน้าเราน้ำตาไหล ซึ่งมันเจ็บปวดมาก เจ็บปวดที่สุดในชีวิตแล้ว
"ทำแท้ง" ประสบการณ์ชีวิตที่ลบไม่ได้
เดิมที คือ เราอยู่กับสามีและลูกชายวัย 3 ขวบ 4 เดือน ชีวิตถือว่ามีความสุข เราทำงานบัญชีบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่ง เงินเดือน 18000 บาท และสามีรับงานฟรีแลนซ์ + ขับรถส่งของให้บริษัท เงินเดือน 13000-16000 บาท เช่าห้อง 3000 เลี้ยงลูกใช้ชีวิตแบบ พ่อ แม่ ลูก ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่
"ที่ดีที่สุด... เรากำลังจะมีน้อง ให้ลูกชายเรา เราท้องได้ 11 สัปดาห์"
และแล้ว ....โควิดมา น้ำตาก็เริ่มไหล สามีโดนหยุดงานไม่มีกำหนดทั้ง 2 ทาง ตอนแรกสิ่งที่เราคิดไว้คือ สามีหยุดงานไม่มีกำหนดเลย และตอนนี้สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะพิษของโรคระบาด มันสาหัสมากๆ แต่อย่างน้อยก็จะยังมีเราที่ทำงานประจำ ยังพอมีเงินใช้แน่นอนทุกๆ เดือน และก็สามีไปวิ่งส่งอาหารเป็นรายได้เข้ามาอีกทาง ยังพอช่วยกันให้ผ่านไปได้
แต่ชิวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้น
บริษัทเราเริ่มแย่ ออกไปถ่ายละครกันไม่ได้ รายได้เริ่มจม ทำให้ต้องทำวิธีของบริษัทที่หลายๆ บริษัททำไปแล้ว คือ "เลิกจ้างพนักงาน" ใช่คะ....เราคือ 1 ในนั้น
พฤ.ที่ 31 เมย. 63 เราได้รับข่าวร้ายเรื่องการปลดพนักงานออก เราช็อคมากถึงมากที่สุด ที่เราฝันไว้ ที่เราคิดไว้ มันพัง .... จนเราหูอื้อ ตัวชา น้ำตาไหล เรานึกถึง "ลูก" ที่เกิดมาแล้ว แล้วไอตัวเล็กที่อยู่ในท้อง ..... เราคิดมาก เครียด กลัว กังวล ปรึกษากับสามี ซึ่งมันเครียดมาก เข้าใจเลยว่า คนที่อยากตายมันเป็นยังไง เราและสามีตกงานทั้งคู่
และแล้วความคิดไม่ดีก็ขึ้นมา แต่ที่คิดแบบนั้น เราคิดถึงลูกมากๆ ว่าเราจะดูแลเค้ายังไงให้ดีที่สุด แล้วตัวน้อยที่อยู่ในท้อง เกิดมาจะเป็นยังไงต่อ แผนทางเดินมันพลิกกลับไปหมด ถ้าเราท้อง คือ เราหางานไม่ได้แน่ ซึ่งไม่ท้องมันก็ยากอยู่แล้วสำหรับตอนนี้ แล้วถ้าเค้าคลอดเราจะเอาเงินจากไหนคลอด และดูแลเค้า
สิ่งที่ผุดขึ้นมาคือ "การยุติการตั้งครรภ์"
เราร้องไห้ เครียด กังวลตั้งแต่วันที่รับรู้ว่าตัวเองต้องตกงาน และเริ่มค้นข้อมูลมาเรื่อยๆ เรื่องการยุติการตั้งครรภ์ โทรปรึกษา 1663 ซึ่งได้รับคำปรึกษาดีมาก และแนะนำเรื่องคลินิกให้บริการ
ศ. ที่ 1 พค.63 เราเดินทางไปคลินิกแถวบางเขน เป็นคลินิกใหญ่ มี ผญ. เดินเข้า-ออก หลายคน เราเข้าไปเขียนรายละเอียด จากนั้นจ่ายเงินค่าอัลตร้าซาวน์ 300 บาท และรอเข้าไปอัลตร้าซาวน์และคุยกับคุณหมอ ถึงคิวเราเข้าไป เราขึ้นเตียงทำการอัลตร้าซาวน์ พอเราเห็นจอ เราทำใจไม่ได้ที่จะต้องทำกับลูกเราแบบนั้น เราเลยขอยุติและเดินออกมาหาสามีและลูกเราข้างนอกทั้งน้ำตา
ปล. ที่นี่ถ้าทำจะใช้การขูดมดลูกซึ่งทำสด
สามีพาขับรถกลับบ้าน เราถามว่าเอาไงดีเราทำไม่ได้ สามีเราร้องไห้บอกว่า เค้าเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างมืดมนไปหมดทุกด้าน ลูกออกมาก็ต้องอดอยาก เลี้ยงลูกได้ไม่ดีเท่าที่ก่อนหน้าเราวางเเผนกันไว้ เราก็คิดแบบนั้น เพราะเราอยากมีมาก แต่ตอนนั้นคือช่วงเวลาที่เราไม่ได้ยากลำบาก หลังจากนั้นเราหาข้อมูลไปเรื่อยๆ
อ.ที่ 5 พค.63 เราตัดสินใจแล้ว ทบทวนแล้ว เราเดินทางไปคลินิกแถว สุขุมวิท 12 พอไปถึง คนเยอะมาก เราเดินเข้าไป ทำประวัติ อัลตร้าซาวน์ แต่ที่นี่จะไม่ให้เราดูจอ เราจ่ายเงิน 4500 บาท กลัวมาก สงสารลูกมาก แต่คิดว่านี่ดีที่สุดแล้วถ้าเค้าต้องออกมาเจอกับความลำบาก ไปนั่นที นี่ที
จากนั้น รอรอเรียก เจ้าหน้าที่จะเรียกคนไข้รอบละ 10 คน พาเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ที่นี่เราสอบถามพยาบาลแจ้งว่าใช้วิธีการดูดออกมาไม่ต้องขูดมดลูกและใช้เวลาไม่มี พอเดินขึ้นไปเข้าห้องแยก ห้องละ 1 คน เป็นห้องพักเล็กๆ เป็นห้องซอยมีที่นอนพัก ก่อนและหลังทำ เราเบอร์ 2 เสียงพยาบาลเรียกคนที่ 1 พบหมอได้เลยคะ เราใจเต้นแรงมาก และได้แต่บอกลูกในท้องว่าแม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษจริงๆ มาถึงตรงนี้แล้วแม่คงถอยไม่ได้ ไว้เรามีโอกาสแม่ขอให้ลูกมาเกิดกับแม่ใหม่นะลูก แม่สัญญาจะดูแลให้ดีที่สุด จากนั้นพยาบาลเรียก เบอร์ 2 พบคุณหมอได้คะ เราเดินไปขึ้นเตียงขาหยั่ง ไม่เกิน 1 นาทีหมอเดินมาจากอีกห้อง ใช้เวลากับการอยู่กับเราประมาณ 3 นาที แต่มันช่างเจ็บปวดที่สุดทั้งกาย ใจ จุกมากที่เราให้คนมาทำกับลูกเราแบบนี้ พอเสร็จพยาบาลเดินพยุงเราออกมาห้องพัก เรานอนไม่ได้เพราะปวดมากๆ ร้องไห้น้ำตาไหลสงสารลูก ความเจ็บปวดแม่ไม่เท่าลูกเลยเราได้แต่คิดอยู่แบบนั้น จิตตกมาก ไม่เกิน 5 นาทีเราเปลี่ยนใส่กางเกง มารับยา เดินลงไปหาสามีและลูก สามีมองหน้าเราน้ำตาไหล ซึ่งมันเจ็บปวดมาก เจ็บปวดที่สุดในชีวิตแล้ว