JJNY : 4in1 รำลึก‘จิตร ภูมิศักดิ์’ออนไลน์/ช่อยันไลฟ์เรี่ยไรไม่ต้องขออนุญาต/นักวิชาการมองGDP 63ลด-8%/ส.อ.ท.ห่วงเอสเอ็มอี

เริ่มแล้ว! รำลึก ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ ออนไลน์ ไลฟ์หน้าอนุสาวรีย์ งดรวมตัว
https://www.matichon.co.th/local/news_2171959

เริ่มแล้ว! รำลึก ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ ออนไลน์ ไลฟ์หน้าอนุสาวรีย์ งดรวมตัว
 
จิตร ภูมิศักดิ์ – เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม ที่อนุสรณ์สถาน จิตร ภูมิศักดิ์ บ้านหนองกุง อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีการถ่ายทอดสดการรำลึกการเสียชีวิตของ จิตร ภูมิศักดิ์ นักเขียนคนสำคัญของไทย ผ่านเฟซบุ๊ก Kriengkrai Srinonrueng โดยมีการแสดงดนตรีหน้าอนุสาวรีย์ รวมถึงนำภาพวาดจิตร ภูมิศักดิ์ ติดตั้งเป็นฉากหลัง บทเพลงส่วนใหญ่มีเนื้อหาบอกเล่าชีวิตและวีรกรรมของจิตร รวมถึงเพลงวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในช่วงเวลาต่างๆ โดยมีบุคคลในแวดวงประวัติศาสตร์และศิลปะร่วมสมัยร่วมรับชมหลายราย อาทิ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์ ม.รังสิต และถนอม ชาภักดี ศิลปินและนักวิจารณ์ศิลปะชื่อดัง เป็นต้น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกัน ยังมีการร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่วัดประสิทธิ์สังวรณ์ หรือวัดหนองกุง อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เนื่องในวันครบรอบการเสียชีวิตครบ 54 ปี จากการถูกยิงบริเวณชายป่าบ้านหนองกุง โดยมีการถวายสังฆทานแด่ภิกษุ 5 รูป ผู้เข้าร่วม อาทิ นายวิชาญ ฤทธิธรรม อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้จัดงานรำลึกจิตร ภูมิศักดิ์ ณ อนุสรณ์สถาน จิตร ภูมิศักดิ์เป็นประจำทุกปี แต่ในปีนี้เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงงดจัดงานรวมตัวโดยขอให้ร่วมกันรำลึกผ่านช่องทางออนไลน์
 
ทั้งนี้ จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิด นักเขียนคนสำคัญของไทย เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ชายป่าบริเวณบ้านหนองกุง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2509 ต่อมามีการก่อสร้างอนุสาวรีย์บริเวณใกล้จุดเกิดเหตุ โดยมีการจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี พร้อมกิจกรรมต่างๆ อาทิ มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนในท้องถิ่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้จิตร และผู้ร่วมอุดมการณ์ที่ล่วงลับ เป็นต้น
 

 
‘ช่อ’ ยัน ไลฟ์เรี่ยไรบริจาค ไม่ต้องขออนุญาต ลุยเดินหน้าต่อ รับ เสียใจช่วยคนจนไม่ได้หมด
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2171693
 
‘ช่อ’ ยัน ไลฟ์เฟซบุ๊กเรี่ยไรบริจาค ไม่ต้องขออนุญาต เดินหน้าเปิด ‘เฟส 2’ ช่วยประชาชนเดือดร้อนจากโควิด
 
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายศรีสุรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนกรมการปกครองตรวจสอบให้ตรวจสอบการระดมทุนรับบริจาคเมื่อครั้งที่ผ่านมา ว่า ก่อนที่จะเปิดระดมทุนเราได้ตรวจสอบ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 แล้วว่า การเรี่ยรายไม่จำเป็นต้องของอนุญาตทุกกรณี กรณีที่ต้องขออนุญาตคือ การเรี่ยรายบนถนนหลวง หรือการเรี่ยรายโดยวิทยุกระจายเสียง หรือเครื่องเปล่งเสียง ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ เฟซบุ๊กไลฟ์ไม่ได้ถือเป็นวิทยุกระจายเสียง ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต นอกจากนี้วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่เป็นการเรี่ยรายก็ไม่ได้นำเงินไปทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียศีลธรรม หรือเป็นภัยต่อความั่นคงของประเทศ จึงไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร แน่นอน
 
เมื่อถามว่า หากมีการดำเนินทางคดีจะทำอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตรวจสอบเรื่อง ทางเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยินดีด้วยซ้ำที่มีผู้มาตรวจสอบ เพราะการทำโครงการระดมทุนเช่นนี้ต้องมีความโปร่งใส และเรายืนยันว่าทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใสและยินดีให้ตรวสอบ เมื่อโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์เรียบร้อย เราก็จะเปิดเผยรายชื่อของผู้ที่ได้รับการโอนเงินทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับเงินคือผู้ที่ขอรับสิทธิ์เข้ามาจริงๆ ไม่ได้เป็นการมุบมิบเงินของประชาชนที่บริจาคเข้ามา
 
น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยต่อข้อถามกรณีที่ระบบการลงทะเบียนล่ม จนประชาชนต้องนำข้อมูลส่วนตัวมาโพสต์แบบสาธารณะ ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในอนาคต ว่า แน่นอนอยูแล้วว่าเรื่องนี้เรากังวล เป็นเหตุให้เราต้องไปลบโพสต์ที่มีข้อมูลในส่วนนั้นออกไปในภายหลัง เรากังวลตั้งแต่ที่ประชาชนเริ่มโพสต์ในช่วงแรกแล้ว แต่ไม่สามารถจัดการหรือลบออกในตอนนั้นได้ เนื่องจากหากเราลบในตอนนั้น 
1.จำนวนมากเป็นล้านคอมเมนต์เราจัดการไม่ได้ 
2.หากตัดโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวออกไป ก็อาจจะเกิดข้อครหาว่าเราตัดสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ 

ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องปล่อยให้โพสต์เหล่านั้นอยู่ค้างไว้ก่อน เรายืนยันว่า เรื่องข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ และเราจะต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ขอรับสิทธิ์ ทั้งนี้เราทราบอยู่แล้วว่า หากเปิดระดมทุนแบบนี้ ความต้องการจะต้องมีจำนวนเยอะมาก และจำนวน 3 ล้านคอมเมนต์ก็เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และสะท้อนว่า คนที่ลำบากต้องการความช่วยเหลือ หรือคนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ มีมากมายมหาศาลขนาดไหน ซึ่งเราก็เสียใจที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ทั้งหมด เพราะเราไม่ใช่รัฐบาล ที่บริหารภาษีจำนวนเป็นล้านล้านบาทต่อปี เราก็ทำเท่าที่ทำได้ ถึงแม้ว่า จะถูกวิจารณ์หรือถูกโจมตีทางการเมือง ถ้าเทียบดีกับการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย กับการออกมาทำแบบนี้แล้วโดนว่า แต่สามารถช่วยประชาชนได้ 2,427 ครัวเรือน เราก็ถือว่าคุ้มค่า
 
ส่วนจะมีโครงการช่วยเหลือประชาชนต่อจากนี้อีกหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยว่า เราจำเป็นต้องมีโครงการที่สอง เพราะยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ เนื่องจากยังโอนเงินให้ประชาชนไม่เสร็จ จึงตั้งใจว่าจะใช้บัญชีนี้โอนให้หมดทีเดียว ไม่อยากย้ายไปหลายบัญชี เกรงว่าจะเกิดข้อครหาเรื่องความโปร่งใส ขณะนี้จึงยังมีเงินบริจาคไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เราจำเป็นต้องปิดยอดการการบริจาคเงิน 3,000 บาท ในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ตัวเลขผู้รับสิทธิ์ที่แน่นอน ดังนั้นจำนวนที่เกินจากวันที่ 3 พฤษภาคม เราจะยกยอดนำไปทำโครงการช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดอย่างชัดเจน
 
น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยถึงกลุ่มผู้ร่วมบริจาคเงิน ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่เราได้เห็นว่า มากกว่า 95% ของคนที่บริจาคเงินในครั้งนี้มาจากคนทั่วไป มียอดบริจาคตั้งแต่ 10-500 บาทต่อครั้ง ส่วนยอดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปจนถึงหลักหมื่น หรือภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถือว่าน้อยมาก คือ มีไม่เกิน 20 ครั้ง สะท้อนว่า เป็นการช่วยเหลือกันของประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีรายได้สูง ที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อร่วมชาติ และคิดว่าอาจจะเดือดร้อนกว่าตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่