.
ผักกาดขาว 3000 g
หัวไชเท้า 250 g
แครอท 250 g
ต้นหอมซอย 50 g
เกลือ 220 g
.
พริกเกาหลีแบบป่น 70 g
หอมใหญ่ 75 g
กระเทียม 4 g
ขิงแก่ 3 g
โชยุ 5 g
น้ำปลา 4 g
น้ำตาลทราย 40 g
แป้งข้าวเหนียว 10 g
น้ำเปล่า 300 ml
.
.
.
.
.
การหมักกิมจินี้ถ้าเป็นคนธรรมดาอย่างเราจะรู้สึกกลัวว่า มันปลอดภัยหรือป่าว หมักแล้วของจะเสีย มีเชื้อโรค เชื้อไวรัส เชื้อราหรือป่าว กินแล้วจะตายไหม!? นี่คือคำถามในใจของใครหลายๆคน แต่ถ้าเราได้มาดูวิธีทำ กิมจิกันจริงๆ เราจะถึงวัฒนธรรมการถนอมอาหารของคนเกาหลีอย่างแท้จริง การที่เอาเกลือมาพอกผักกาด เพื่อรีดน้ำจากผักออก เชื้อจะไม่สามารถโตได้ในภาวะน้ำน้อย และ เค็ม 
.
.
กิมจิ ๑.
ผ่าครึ่งผักกาดขาดตรงคั่ว แล้วใช้มือแหวกผักออกเป็น 2 ซีก แล้วผ่าครึ่งของแต่ละคั่วอีกครั้งเพื่อผักกาดจะได้ทาเกลือ และ ซอสกิมจิ ง่ายๆ
 
กิมจิ ๒.
นำผักกาดไปล้างน้ำเย็น แล้วพอกเกลือทุกก้าน ทุกใบของผักกาดแต่ละชั้น ทิ้งไว้แบบนี้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผักกาดจะคลายน้ำออกมา เราต้องหมั่นเชคทุกๆ ชั่วโมงเพื่อให้ผักกาดจมน้ำเค็มไว้
.
.
.
.
.
ส่วนซอสหมัก เราจะนำแป้งข้าว 
.
การที่เขาใส่กระเทียม และ พริกเข้าไปเพื่อ 2 ตัวนี้มีสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นพิษต่อร่างกาย และการนำแป้งมาผสมน้ำตาล เพื่อเป็นอาหารของเชื้อ Probiotics Probiotics นี้คือจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกายมนุษย์ และเมื่อในสภาวะนั้นมี Probiotics จุลินทรีย์ เชื้อรา และเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค จะไม่สามารถโตได้เลย
.
.
ดังนั้นการกินกิมจิ กินโยเกิร์ต กินเต้าเจี้ยว นั้นไม่ถือว่าเป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น แถมได้ประโยชน์จาก Probiotcs เพิ่มภูมต้านทานของร่างกาย แก้อาการท้องเสีย และเป็นประโยชน์กับสภาวะร่างกายของเพศหญิงมากๆ
.
.
.
กิมจิ ๓:
ระหว่างที่รอ เรามาทำซอสกิมจิกัน นำแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และน้ำผสมกัน คนให้ละลาย แล้วนำไปตั้งไฟให้เดือด แป้งจะเหนียวข้นขึ้น
 
กิมจิ ๔:
นำหอมใหญ่ กระเทียม ขิงแก่ และ น้ำแป้งที่กวนไฟแล้วไปปั่นกับเครื่องผสมอาหาร
 
กิมจิ ๕:
พอปั่นเละแล้ว น้ำพริกเกาหลี น้ำปลา โชยุมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
.
.
.
.
.
กิมจิสมัยก่อนนั้นจะหมักผักกาด แบบสีขาว เพราะไม่มีพริก กิมจิที่ได้จะเป็นสีขาว ใสๆ มีรสชาติเปรี้ยวแต่ไม่เผ็ด กิมจิสีแดงพึ่งมาโด่งดัง และ นิยมทั่วเกาหลีเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้วนี้เอง หนังสือเล่มแรกที่บันทึกเรื่องราวของพริกเกาหลี โคชูการู คือ Jubong Yuseol เมื่อปี 1614 ซึงเดิมทีพริกมาจากทวีปอเมริกา และ ถูกนำมาเผยแพร่ให้แถบประเทศ Asia โดยชาวโปรตุเกส
.
.
และเมื่อ ราวศตวรรษที่ 17-18 มีหนังสือเขียนเกี่ยวกับการใช้พริกใส่ลงไปในกิมจิเพื่อให้เป็นสีแดงเป็นเล่มแรกๆ และต่อจากนั้น ศตวรรษที่ 19th การนำเอาพริกเกาหลีใส่ลงไปในกิมจิเพื่อให้กลายเป็นสีแดงเป็นที่นิยมมาก และสูตรใกล้เคียงกับกิมจิที่เรากินอยู่ปัจจุบันนี้ และกิมจิสูตรใส่พริกนี้เป็นที่นิยมของคนเกาหลี และ กำลังนิยมไปทั่วโลก
.
.
.
กิมจิ ๖:
ผักกาดเมื่อครบ 2 ชั่วโมงแล้ว ให้นำไปล่างน้ำปล่าว 2 รอบเพื่อล้างความเค็มออก
 
กิมจิ ๗:
นำซอสกิมจิที่ได้พอกผักกาดแต่ละชั้นเหมือนเดิม
 
กิมจิ ๘:
จัดเก็บใน คอนเทนเนอร์แบบมีฝาปิด และทิ้งไว้ที่ อุณหภูมิห้อง 2 วัน
 
กิมจิ ๙:
หลังจากหมักเสร็จแล้ว ให้เก็บกิมจิไว้ในตู้เย็นเพื่อไม่ให้มันเปรี้ยวเกินไป
.
.
.
.
.
เกาหลีเป็นประเทศที่โดดเด่นเรื่อง ภาพยนตร์ และ ซีรีส์มาก และเพราะสื่อเขาโดดเด่น ภาพยนตร์ และ ซีรีส์โดดเด่น มันเป็นตัวกลางที่พาวัฒนธรรมเขาไปได้ไกล คนทั้งโลกเห็น และอยากมาลองชิมอาหารเกาหลีแท้ๆ หรือ เที่ยวในย่านดังๆ ตอนนี้แม้แต่ จาปากูรี ซุปเต้าหู้อ่อน หรือ หอยน้ำมันเบนซิน เราเห็นมาจากซีรีส์และภาพยนตร์ทั้งนั้น และมันทำให้เกิดการแพร่กระจายวัฒนธรรมได้มากจริงๆ
.
.
เราเป็นคนไทย และ อุดมสมบูรณ์มาก อาหานขึ้นชื่อโดดเด่น คนทั้งโลกนิยมชมชอบ และ สื่อต่างๆถ้าเราทำได้โดดเด่น ประเทศเราจะไปได้ไกลมาก เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ นำเอาจุดเด่นของตัวเองออกมา และพาประเทศไทยไปข้างหน้าพร้อมๆกัน
.
.
ที่มาของบทความ : readspoonful.co    /  กิมจิ
.
ติดตาม การบันทึกเรื่องราวอาหาร ของเราได้ที่  เฟซบุ๊ค - Spoon.co 
ขอบคุณทุกคนครับ
Spoon.co