ตามกฏของรัฐ คนไทยต่างแดนที่จะกลับเข้าประเทศต้องมีใบfit to fly ในขณะที่การเข้าประเทศอื่นไม่มีข้อกำหนดนี้ มาลองวิเคราะห์กันค่ะว่าใครที่จะปลอดภัยจากมาตรการนี้
ความเห็นส่วนตัวของเรา ถ้าfit to fly จะช่วยได้คือ อาจจะลดโอกาสแพร่เชื้อบนเครื่องบิน แต่ปัญหาคือ บนเครื่องลำนั้นอาจจะไม่ได้มีแต่คนไทย มีคนชาตอื่นที่ไม่มีใบรับรองอยู่ด้วย ยกเว้นจะเป็นเครื่องบินตรงเข้าไทยที่คนต่างชาติต้องใช้ใบรับรองแพทย์ด้วย ทุกคนบนเครื่องมี fit to flyหมด ถึงจะช้วยลดความเสี่ยงบนเครื่องได้จริง
แต่ข้อด้อยของfit to flyคือการเอาคนไปเสี่ยงติดโรคโดยไม่จำเป็น
ตอนนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่สั่งให้คนอยู่บ้าน ห้ามไปสถานพยาบาลโดยไม่จำเป็นเพราะจะไปเสี่ยงติดโรค (ที่ไทยก็แนะนำให้เลี่ยงเหมือนกัน ขนาดรับยายังเริ่มส่งถึงบ้านเลย) คนที่ไปได้คือคนป่วยเท่านั้น ป่วยมากด้วย เพราะถ้าป่วยเล็กน้อย จะให้ทำvirtual call หมด แต่ใบfit to fly ต้องไปคลินิกเท่านั้นใช้วิธีonline ไม่ได้
ไปคลินิกที่มีแต่คนป่วยไป แถมอาจจะไม่ใช่ที่เดียวเพราะบางที่ก็ไม่รับออกใบรับรอง ต้องตะลอนไปทั่ว เสี่ยงรับเชื้อที่คลินิกและจากการเดินทาง ตอนขึ้นเครื่องอาจจะไม่เป็นไรเพราะอยู่ในระยะฟักตัว พอกลับถึงไทยก็ครบระยะ เริ่มมีอาการ เพิ่มจำนวนคนติดเชื้อที่เข้าไทย แล้วคนก็จะมารุมว่า เห็นไหม กลับมาจากต่างประเทศมา ต้องติดเชื้อมากแน่ๆ
ยังไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพของfit to fly ว่าคัดกรองได้จริงไหม สำหรับเรา การกักตัว 14 วันสำคัญกว่ามากถ้ากักตัวได้ถูกต้องตามวิธีควบคุมโรค มี social distance จริงๆ
ที่เขียนไปเป็นแค่ความเห็น เพราะกฏของรัฐออกมาแล้ว ยังไงก็ต้องปฏิบัติตาม ต่อให้รู้สึกว่า เพิ่มความเสี่ยงให้คนไทยที่จะกลับก็จากเดิมที่เสี่ยงอยู่แล้ว
คงมีคนบอกว่า อย่ากลับ ไปได้ก็อยู่ไป แต่เราเชื่อว่า ทุกคนที่ต้องเดินทางมีความจำเป็นค่ะ ใครจะอยากออกไปเสี่ยง ยังไงเก็บตัวยังไงก็ปลอดภัยกว่า
ปล.เลิกเอาเหตุการณ์หนีกักตัวตอนต้นเมษามาใช้เป็นตราบาปให้คนไทยต่างแดนทุกคนสักทีเถอะค่ะ คนประท้วงตอนนั้นทำผิดที่ต่อต้านกฏรัฐ แต่รัฐก็มีหน้าที่บังคับใช้กฏอย่างเคร่งครัด ความผิดในตอนนั้นเป็นทั้งของคนเดินทางและของรัฐ แต่คนที่ซวยสุดคือคนไทยต่างแดนที่ยังไม่ได้กลับ มันกลายเป็นตราบาปติดตัวไปว่า ถ้ามันกลับมา ต้องหนีกักตัวแน่ๆ ทั้งที่คนละคน คนละสถานการณ์กันค่ะ
บทเรียนจากอดีตใช้เพื่อสร้างมาตรการป้องกันได้ ใช้วางแผนอนาคตได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้ bully คนที่ยังไม่ได้ทำผิดค่ะ
Fit to fly ใครที่ปลอดภัย?
ความเห็นส่วนตัวของเรา ถ้าfit to fly จะช่วยได้คือ อาจจะลดโอกาสแพร่เชื้อบนเครื่องบิน แต่ปัญหาคือ บนเครื่องลำนั้นอาจจะไม่ได้มีแต่คนไทย มีคนชาตอื่นที่ไม่มีใบรับรองอยู่ด้วย ยกเว้นจะเป็นเครื่องบินตรงเข้าไทยที่คนต่างชาติต้องใช้ใบรับรองแพทย์ด้วย ทุกคนบนเครื่องมี fit to flyหมด ถึงจะช้วยลดความเสี่ยงบนเครื่องได้จริง
แต่ข้อด้อยของfit to flyคือการเอาคนไปเสี่ยงติดโรคโดยไม่จำเป็น
ตอนนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่สั่งให้คนอยู่บ้าน ห้ามไปสถานพยาบาลโดยไม่จำเป็นเพราะจะไปเสี่ยงติดโรค (ที่ไทยก็แนะนำให้เลี่ยงเหมือนกัน ขนาดรับยายังเริ่มส่งถึงบ้านเลย) คนที่ไปได้คือคนป่วยเท่านั้น ป่วยมากด้วย เพราะถ้าป่วยเล็กน้อย จะให้ทำvirtual call หมด แต่ใบfit to fly ต้องไปคลินิกเท่านั้นใช้วิธีonline ไม่ได้
ไปคลินิกที่มีแต่คนป่วยไป แถมอาจจะไม่ใช่ที่เดียวเพราะบางที่ก็ไม่รับออกใบรับรอง ต้องตะลอนไปทั่ว เสี่ยงรับเชื้อที่คลินิกและจากการเดินทาง ตอนขึ้นเครื่องอาจจะไม่เป็นไรเพราะอยู่ในระยะฟักตัว พอกลับถึงไทยก็ครบระยะ เริ่มมีอาการ เพิ่มจำนวนคนติดเชื้อที่เข้าไทย แล้วคนก็จะมารุมว่า เห็นไหม กลับมาจากต่างประเทศมา ต้องติดเชื้อมากแน่ๆ
ยังไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพของfit to fly ว่าคัดกรองได้จริงไหม สำหรับเรา การกักตัว 14 วันสำคัญกว่ามากถ้ากักตัวได้ถูกต้องตามวิธีควบคุมโรค มี social distance จริงๆ
ที่เขียนไปเป็นแค่ความเห็น เพราะกฏของรัฐออกมาแล้ว ยังไงก็ต้องปฏิบัติตาม ต่อให้รู้สึกว่า เพิ่มความเสี่ยงให้คนไทยที่จะกลับก็จากเดิมที่เสี่ยงอยู่แล้ว
คงมีคนบอกว่า อย่ากลับ ไปได้ก็อยู่ไป แต่เราเชื่อว่า ทุกคนที่ต้องเดินทางมีความจำเป็นค่ะ ใครจะอยากออกไปเสี่ยง ยังไงเก็บตัวยังไงก็ปลอดภัยกว่า
ปล.เลิกเอาเหตุการณ์หนีกักตัวตอนต้นเมษามาใช้เป็นตราบาปให้คนไทยต่างแดนทุกคนสักทีเถอะค่ะ คนประท้วงตอนนั้นทำผิดที่ต่อต้านกฏรัฐ แต่รัฐก็มีหน้าที่บังคับใช้กฏอย่างเคร่งครัด ความผิดในตอนนั้นเป็นทั้งของคนเดินทางและของรัฐ แต่คนที่ซวยสุดคือคนไทยต่างแดนที่ยังไม่ได้กลับ มันกลายเป็นตราบาปติดตัวไปว่า ถ้ามันกลับมา ต้องหนีกักตัวแน่ๆ ทั้งที่คนละคน คนละสถานการณ์กันค่ะ
บทเรียนจากอดีตใช้เพื่อสร้างมาตรการป้องกันได้ ใช้วางแผนอนาคตได้ แต่ไม่ควรนำมาใช้ bully คนที่ยังไม่ได้ทำผิดค่ะ