จขกทเป็นคุณแม่ลูกสองวัย46ที่ภายในเวลาแค่8เดือนผ่านมาทั้งมะเร็งเต้านมทั้งปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือดและลิ้นหัวใจจึงมาขอเล่าประสบการณ์การป่วยไข้ของตัวเองในต่างแดนเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่กำลังท้อแท้ เหนื่อยได้ท้อได้แต่อย่าถอยอย่ายอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สู้ค่ะ✌✌
เคยมาเล่าใช้เพื่อนๆชาวพันทิปฟัง เรื่องที่ตรวจเจอมะเร็งเต้านมข้างขวาระยะที่2 ก้อนขนาด 2.3ซม.เมื่อปีที่แล้วเรื่องการรักษาและดูแลตัวตัวเองระหว่างการรักษาหาดูได้จากกระทู้เก่าๆที่ จขกท เคยตั้งไว้ค่ะ หลังจากที่จบคีโมได้ไม่กี่วัน (ตอนนั้น) ก็จะอ้วนๆนิดหนึ่งไม่มากไม่มายพอรับได้ จขกท ก็เจอแจ็คพอตอีกรอบเมื่อจู่ๆ ก็มีไข้สูงถึง40องศา ไอและหอบเหนื่อย สามีเลยเรียกรถพยาบาล จขกท ถูกแอดมิทเข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการปอดบวมนอนโรงพยาบาลอยู่สามสัปดาห์ก็ถูกจำหน่ายออกกลับบ้านวันแรกก็เป็นลมเลยถูกหามส่งโรงพยาบาลอีกรอบในวันต่อมาคราวนี้เจอว่าปอดติดเชื้อแบคทีเรีย(แถมเป็นเชื้อโรงพยาบาลที่ดื้อยาและจากการติดเชื้อทำให้มีน้ำท่วมปอดทั้งสองข้างจนต้องถูกดูดออกสองครั้ง ( บันเทิงมากตอนถูกดูดน้ำออกจากปอดแบบไม่ฉีดยาชา😅😅)
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีคือผลตรวจน้ำที่ดูดออกไปไม่มีทั้งเชื้อมะเร็งและวัณโรค แต่เชื้อแบคทีเรียก็ได้ลามไปที่กระแสเลือดเรียบร้อยแล้วนอกจากหลังจากที่มีการดูดของเหลวออกจากปอดยังมีอาการท้องมานและมือบวมเท้าบวมอยู่เนืองๆคุณหมอเลยส่งตรวจตับพบว่ามีจุดเล็กที่ตับซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีของเหลวขังแต่เพราะตำแหน่งอยู่ใกล้กับปอดจึงทำให้หายใจลำบาก หอบ คุณหมอเลยสั่งงดเกลือ ชีสจำพวกที่หมักนานๆโซเดียมสูงและเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงๆซึ่งเท่าที่สังเกตดูอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้หน้าตามันก็คืออาหารคลีนดีๆนี่เอง
คราวนี้แอดมิทนอนโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวันจนผลตรวจตรวจพบว่าเชื้อแบคที่เรียได้ลดลงและที่ปอดไม่มีการอักเสบแล้วเลยได้กลับบ้านพร้อมกับยาอีกหอบใหญ่และตารางการฟอลโลว์อัพทุกๆ2สัปดาห์พร้อมทั้งคุณหมอกำชับว่าถ้ามีไข้ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
พอออกจากโรงพยาบาลก็ทำซ่าไปห้างไปซูเปอร์ซื้อของ😏😏 อยู่ดีมีสุขอยู่ยังไม่ครบสองสัปดาห์ดีก็มีอันต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบสัปดาห์ช่วงนั้นเริ่มมีโคโรน่าไวรัสระบาดเข้ามาที่อิตาลีแล้วเช้าวันหนึ่งตื่นมาเจอว่าตัวเองมีไข้ มีอาการหอบเหนือยแต่ไม่ไอก็กินยาลดไข้ไปจนถึงตอนเย็นราวๆสองทุ่มสามีเห็นว่าไม่ไหวล่ะเลยโทรเรียกรถพยาบาลคราวนี้ถูกส่งเข้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยระหัสสีแดง(ผู้ป่วยฉุกเฉินที่จะต้องได้รับการรักษาทันที) เนื่องจากกำลังมีการระบาดของไวรัสโคโรน่า จขกท เลยถูกตรวจหาโคโรน่าทันทีและระหว่างรอผลตรวจก็รับแค่ยาลดไข้เนื่องจากมีประวัติการรักษาโรคปอดอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือดจึงถูกตรวจหาเชื้อแบคที่เรียในร่างกายอย่างเร่งด่วน การตรวจหาโคโรน่าไวรัสผลออกมาเป็นลบแต่กลับเจอว่านอกจากปอดและกระแลเลือด ลิ้นหัวใจก็ได้ติดเชื้อไปด้วยซะแล้ว😭😭 เลยได้รับการแอดมิททันทีโดยนายแพทย์ใหญ่ลงมาเป็นเจ้าของไข้เองและยังมีหมอเฉพาะทางอีกสองท่านที่ถูกโทรตามอย่างเร่งด่วนมาจากโรงพยาบาลมิลานรวมถึงคุณหมอประจำบ้านด้วย คุณหมอเฉพาะทางทั้งสองท่านก็ดีใจหายภายในเวลาไม่ถึง40นาทีก็มายืนอยู่ข้างเตียงแล้วการวางแนวทางการรักษาถูกปรึกษากันอยู่ข้างเตียงอย่างเร่งด่วนเพราะในตอนนั้น หัวใจของ จขกท ทำงานแค่10% เท่านั้น แถม จขกท มีภาวะความดันต่ำมากราว ๆ 58/70 แต่ออกซิเจนในเลือดไม่ต่ำจึงไม่ไดัรับการต่อเครื่องช่วยหายใจ ทั้งเครื่อง ตรวจ ecocardiogramma และเครื่องเอกซ์เรย์ถูกเข็นเข้ามาปฏิบัติการในห้องพักผู้ป่วยของ จขกทเพราะ จขกท ถูกให้นอนนิ่งๆห้ามขยับตัวอยู่เป็นเวลา3วันเต็มๆเพราะการขยับตัวแต่ละครั้งอาจจะส่งผลให้หัวใจหยุดทำงานได้ รับอาหารเหลวทางเส้นเลือดดำในคราวนี้นี่เองที่ จขกท รู้ซึ้งว่าวินาทีแห่งการก้าวไปสู่โลกแห่งความตายนั้นเป็นอย่างไร
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ปรากฏว่า จขกท ตอบสนองต่อการรักษาดีมากหัวใจขยับขึ้นไปทำงานที่ 35%และตรวจเจอว่าเชื้อแบคทีเรียลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งหลังจาก อัลตร้าซาวน์ CT SCAN 2 รอบปรากฏว่าไม่เจอเชื้อแบคทีเรียเหลืออยู่เลยเพื่อความแน่ใจคุณหมอเลยส่งไปทำ PET SCAN และTransesophageal echocardiogram (TEE) ผลออกมายืนยันเป็นเนกาทีฟทีมรักษาพากันแปลกใจไปตามๆกัน คุณหมอขออนุญาตทำเป็น case study โดยทำเอกสารเป็นสองภาษา 1ภาษาอิตาเลียน 1ภาษาอังกฤษ จขกทเลยส่งข้อความไปบอกสามีว่าทางโรงพยาบาลขอทำ case study ประวัติการรักษาสักพักสามีก็ตอบกลับข้อความว่าห้ามเซ็นต์เอกสารใดๆจนกว่าทนายจะได้อ่านเอกสารนั้นและตอนนี้ทนายกำลังคุยกับทางโรงพยาบาลให้ทางโรงพยาบาลส่งเอกสารไปให้ตรวจสอบอยู่ (เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเล่าว่าทำไมมีทนายมาเกี่ยวข้องด้วย)
หลังจากนั้นจขกทได้รับการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลพร้อมๆกับที่เริ่มมีการระบาดอย่างหนักของโคโรน่าไวรัสในอิตาลี หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกจากโรงพยาบาล จขกท ลั้ลลามากตื่นเช้ามาแช่น้ำอุ่น(ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลรัฐมีอ่างอาบน้ำ555)
มีการเล่นโยคะยืดเส้นยืดสายรอเวลาอาหารเช้าและคุณหมอมาเดินวอร์ดซึ่งคุณหมอและพยาบาลทุกคนที่เห็นก็จะยิ้มขำๆกันและในทุกๆวัน จขกท ก็จะเดินไปอีกปีกหนึ่งของตึกซึ่งเป็นเซคชั่นของผู้ป่วยคีโม จขกท สนิทกับหมอและพยาบาลที่เซคชั่นนี้ทุกคน คุณหมอขอให้ไปพูดคุยเพื่อส่งกำลังใจทางด้านบวกให้กับผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวจนกระทั่งวันที่ออกจากโรงพยาบาล จขกท ได้ขอแมสก์จากพยาบาล คุณพยาบาลใจดียกแมสก์แบบที่ใช้ในห้องผ่าตัดให้ทั้งกล่องเลย หนึ่งกล่องมี100ชิ้นพอกลับมาถึงบ้านได้ไม่กี่วันรัฐบาลก็สั่ง locked down ณ ตอนนี้นี่เองที่ จขกท เกิดอาการ Anxiety จนน้ำหนักลดฮวบฮาบทั้งๆที่ตอนนอนอยู่โรงพยาบาลน้ำหนักไม่ลดสักขีดที่ทำให้เครียดจัดคือจากสถานการณ์ของการระบาดของโควิดผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลเตียงไม่พอ ซึ่งตัว จขกท นั้นก็ไม่รู้ว่าอาการจะกลับมากำเริบอีกเมื่อไหร่และเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมากถ้าติดเชื้อโควิดเพราะมีประวัติปอดอักเสบมาก่อน
จขกท พยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดจนกลับมาแข็งแรงในระดับหนึ่งสามารถทำน้ำหนักเพิ่มกลับมาได้อีกเล็กน้อยจึงเริ่มกลับมาออกกำลังกายเริ่มจากบอดี้เวทเบาก่อนและปั่น elliptical training อยู่ในบ้านและเลิกจ้างแม่บ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเองในช่วงแรกๆสามีที่ work from home เป็นคนรับหน้าทีทำงานบ้านดูแลลูกทุกอย่างพอ จขกท แข็งแรงในระดับหนึ่งก็เริ่มที่จะรับหน้าที่กลับมาทำเองตอนนี้เลยกลายเป็นแจ๋วผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว🤣🤣
จขกท โชคดีที่ก่อนป่วยเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงเพราะออกกำลังกายค่อนข้างหนักทั้งวิ่งระยะไกลทั้งยกเวทเล่นครอสฟิตเป็นประจำเลยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว เคยคุยกับคนที่เคยป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อและลามไปที่กระแสเลือดเหมือนกันเธอเล่าให้ฟังว่ากลายเป็นแขนขาอ่อนแรงต้องทำกายยภาพบำบัดอยู่เกือบปีถึงกลับมาเดินได้อีกครั้ง จขกท เป็นคนไข้บ้าพลังที่พยายามฝืนตัวเองฝึกเดินฝึกเขย่งและสคอทง่ายๆตั้งแต่ยังอยู่โรงพยาบาล
วันที่2/02/20 (อุ้ย! เลขสวย55) เป็นวันที่ออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย หลังจากที่พักฟื้นได้สองอาทิตย์ จขกทก็เริ่มฝึกเดินขึ้นลงบันไดและออกกำลังกายเบาๆเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจัดการโภชนาการให้เหมาะสมจากนั้นเพิ่มระดับการออกกำลังกายเพื่อเรียกกล้ามเนื้อคืนมาหลังจากที่ถูกสลายไปในช่วงที่ป่วย
หลังจากหายป่วยสิ่งที่ จขกท ตั้งใจจะทำคือ ไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดวัดหนึ่งในจีงหวัดสุรินทร์และสั่งซื้อปากกา Parker 7 ด้ามแล้วสลักชื่อคุณหมอทั้ง 7 ท่านเพื่อมอบเป็นของขวัญ Xmasในปีนี้
***มีตัวอย่างปากกาอยู่2แบบขอถามความเห็นค่ะปรกติคุณหมอสะดวกใช้ปากกาแบบไหนคะแบบมีปลอก (ทางซาย) หรือแบบหมุน (ทางขวา)
#ท้ายที่สุดนี้ No matter what : Do not give up ขอส่งแรงใจ แรงสู้ แรงฮึดให้เพื่อนๆที่กำลังท้อแท้หมดกำลังใจ อย่ายอมแพ้และอย่าหมดหวังในสิ่งเชื่อมั่นและศัทธา🍀🍀🍀
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบนะคะ
No matter what , Do not give up ขออนุญาตส่งแรงใจ แรงสู้ แรงฮึดให้เพื่อนๆที่กำลังรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ
เคยมาเล่าใช้เพื่อนๆชาวพันทิปฟัง เรื่องที่ตรวจเจอมะเร็งเต้านมข้างขวาระยะที่2 ก้อนขนาด 2.3ซม.เมื่อปีที่แล้วเรื่องการรักษาและดูแลตัวตัวเองระหว่างการรักษาหาดูได้จากกระทู้เก่าๆที่ จขกท เคยตั้งไว้ค่ะ หลังจากที่จบคีโมได้ไม่กี่วัน (ตอนนั้น) ก็จะอ้วนๆนิดหนึ่งไม่มากไม่มายพอรับได้ จขกท ก็เจอแจ็คพอตอีกรอบเมื่อจู่ๆ ก็มีไข้สูงถึง40องศา ไอและหอบเหนื่อย สามีเลยเรียกรถพยาบาล จขกท ถูกแอดมิทเข้านอนโรงพยาบาลด้วยอาการปอดบวมนอนโรงพยาบาลอยู่สามสัปดาห์ก็ถูกจำหน่ายออกกลับบ้านวันแรกก็เป็นลมเลยถูกหามส่งโรงพยาบาลอีกรอบในวันต่อมาคราวนี้เจอว่าปอดติดเชื้อแบคทีเรีย(แถมเป็นเชื้อโรงพยาบาลที่ดื้อยาและจากการติดเชื้อทำให้มีน้ำท่วมปอดทั้งสองข้างจนต้องถูกดูดออกสองครั้ง ( บันเทิงมากตอนถูกดูดน้ำออกจากปอดแบบไม่ฉีดยาชา😅😅)
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีคือผลตรวจน้ำที่ดูดออกไปไม่มีทั้งเชื้อมะเร็งและวัณโรค แต่เชื้อแบคทีเรียก็ได้ลามไปที่กระแสเลือดเรียบร้อยแล้วนอกจากหลังจากที่มีการดูดของเหลวออกจากปอดยังมีอาการท้องมานและมือบวมเท้าบวมอยู่เนืองๆคุณหมอเลยส่งตรวจตับพบว่ามีจุดเล็กที่ตับซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีของเหลวขังแต่เพราะตำแหน่งอยู่ใกล้กับปอดจึงทำให้หายใจลำบาก หอบ คุณหมอเลยสั่งงดเกลือ ชีสจำพวกที่หมักนานๆโซเดียมสูงและเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงๆซึ่งเท่าที่สังเกตดูอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดให้หน้าตามันก็คืออาหารคลีนดีๆนี่เอง
คราวนี้แอดมิทนอนโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวันจนผลตรวจตรวจพบว่าเชื้อแบคที่เรียได้ลดลงและที่ปอดไม่มีการอักเสบแล้วเลยได้กลับบ้านพร้อมกับยาอีกหอบใหญ่และตารางการฟอลโลว์อัพทุกๆ2สัปดาห์พร้อมทั้งคุณหมอกำชับว่าถ้ามีไข้ให้รีบมาโรงพยาบาลทันที
พอออกจากโรงพยาบาลก็ทำซ่าไปห้างไปซูเปอร์ซื้อของ😏😏 อยู่ดีมีสุขอยู่ยังไม่ครบสองสัปดาห์ดีก็มีอันต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบสัปดาห์ช่วงนั้นเริ่มมีโคโรน่าไวรัสระบาดเข้ามาที่อิตาลีแล้วเช้าวันหนึ่งตื่นมาเจอว่าตัวเองมีไข้ มีอาการหอบเหนือยแต่ไม่ไอก็กินยาลดไข้ไปจนถึงตอนเย็นราวๆสองทุ่มสามีเห็นว่าไม่ไหวล่ะเลยโทรเรียกรถพยาบาลคราวนี้ถูกส่งเข้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลด้วยระหัสสีแดง(ผู้ป่วยฉุกเฉินที่จะต้องได้รับการรักษาทันที) เนื่องจากกำลังมีการระบาดของไวรัสโคโรน่า จขกท เลยถูกตรวจหาโคโรน่าทันทีและระหว่างรอผลตรวจก็รับแค่ยาลดไข้เนื่องจากมีประวัติการรักษาโรคปอดอักเสบและติดเชื้อในกระแสเลือดจึงถูกตรวจหาเชื้อแบคที่เรียในร่างกายอย่างเร่งด่วน การตรวจหาโคโรน่าไวรัสผลออกมาเป็นลบแต่กลับเจอว่านอกจากปอดและกระแลเลือด ลิ้นหัวใจก็ได้ติดเชื้อไปด้วยซะแล้ว😭😭 เลยได้รับการแอดมิททันทีโดยนายแพทย์ใหญ่ลงมาเป็นเจ้าของไข้เองและยังมีหมอเฉพาะทางอีกสองท่านที่ถูกโทรตามอย่างเร่งด่วนมาจากโรงพยาบาลมิลานรวมถึงคุณหมอประจำบ้านด้วย คุณหมอเฉพาะทางทั้งสองท่านก็ดีใจหายภายในเวลาไม่ถึง40นาทีก็มายืนอยู่ข้างเตียงแล้วการวางแนวทางการรักษาถูกปรึกษากันอยู่ข้างเตียงอย่างเร่งด่วนเพราะในตอนนั้น หัวใจของ จขกท ทำงานแค่10% เท่านั้น แถม จขกท มีภาวะความดันต่ำมากราว ๆ 58/70 แต่ออกซิเจนในเลือดไม่ต่ำจึงไม่ไดัรับการต่อเครื่องช่วยหายใจ ทั้งเครื่อง ตรวจ ecocardiogramma และเครื่องเอกซ์เรย์ถูกเข็นเข้ามาปฏิบัติการในห้องพักผู้ป่วยของ จขกทเพราะ จขกท ถูกให้นอนนิ่งๆห้ามขยับตัวอยู่เป็นเวลา3วันเต็มๆเพราะการขยับตัวแต่ละครั้งอาจจะส่งผลให้หัวใจหยุดทำงานได้ รับอาหารเหลวทางเส้นเลือดดำในคราวนี้นี่เองที่ จขกท รู้ซึ้งว่าวินาทีแห่งการก้าวไปสู่โลกแห่งความตายนั้นเป็นอย่างไร
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ปรากฏว่า จขกท ตอบสนองต่อการรักษาดีมากหัวใจขยับขึ้นไปทำงานที่ 35%และตรวจเจอว่าเชื้อแบคทีเรียลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งหลังจาก อัลตร้าซาวน์ CT SCAN 2 รอบปรากฏว่าไม่เจอเชื้อแบคทีเรียเหลืออยู่เลยเพื่อความแน่ใจคุณหมอเลยส่งไปทำ PET SCAN และTransesophageal echocardiogram (TEE) ผลออกมายืนยันเป็นเนกาทีฟทีมรักษาพากันแปลกใจไปตามๆกัน คุณหมอขออนุญาตทำเป็น case study โดยทำเอกสารเป็นสองภาษา 1ภาษาอิตาเลียน 1ภาษาอังกฤษ จขกทเลยส่งข้อความไปบอกสามีว่าทางโรงพยาบาลขอทำ case study ประวัติการรักษาสักพักสามีก็ตอบกลับข้อความว่าห้ามเซ็นต์เอกสารใดๆจนกว่าทนายจะได้อ่านเอกสารนั้นและตอนนี้ทนายกำลังคุยกับทางโรงพยาบาลให้ทางโรงพยาบาลส่งเอกสารไปให้ตรวจสอบอยู่ (เดี๋ยวคราวหน้าจะมาเล่าว่าทำไมมีทนายมาเกี่ยวข้องด้วย)
หลังจากนั้นจขกทได้รับการจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลพร้อมๆกับที่เริ่มมีการระบาดอย่างหนักของโคโรน่าไวรัสในอิตาลี หนึ่งสัปดาห์ก่อนออกจากโรงพยาบาล จขกท ลั้ลลามากตื่นเช้ามาแช่น้ำอุ่น(ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลรัฐมีอ่างอาบน้ำ555)
มีการเล่นโยคะยืดเส้นยืดสายรอเวลาอาหารเช้าและคุณหมอมาเดินวอร์ดซึ่งคุณหมอและพยาบาลทุกคนที่เห็นก็จะยิ้มขำๆกันและในทุกๆวัน จขกท ก็จะเดินไปอีกปีกหนึ่งของตึกซึ่งเป็นเซคชั่นของผู้ป่วยคีโม จขกท สนิทกับหมอและพยาบาลที่เซคชั่นนี้ทุกคน คุณหมอขอให้ไปพูดคุยเพื่อส่งกำลังใจทางด้านบวกให้กับผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวจนกระทั่งวันที่ออกจากโรงพยาบาล จขกท ได้ขอแมสก์จากพยาบาล คุณพยาบาลใจดียกแมสก์แบบที่ใช้ในห้องผ่าตัดให้ทั้งกล่องเลย หนึ่งกล่องมี100ชิ้นพอกลับมาถึงบ้านได้ไม่กี่วันรัฐบาลก็สั่ง locked down ณ ตอนนี้นี่เองที่ จขกท เกิดอาการ Anxiety จนน้ำหนักลดฮวบฮาบทั้งๆที่ตอนนอนอยู่โรงพยาบาลน้ำหนักไม่ลดสักขีดที่ทำให้เครียดจัดคือจากสถานการณ์ของการระบาดของโควิดผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลเตียงไม่พอ ซึ่งตัว จขกท นั้นก็ไม่รู้ว่าอาการจะกลับมากำเริบอีกเมื่อไหร่และเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมากถ้าติดเชื้อโควิดเพราะมีประวัติปอดอักเสบมาก่อน
จขกท พยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดจนกลับมาแข็งแรงในระดับหนึ่งสามารถทำน้ำหนักเพิ่มกลับมาได้อีกเล็กน้อยจึงเริ่มกลับมาออกกำลังกายเริ่มจากบอดี้เวทเบาก่อนและปั่น elliptical training อยู่ในบ้านและเลิกจ้างแม่บ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเองในช่วงแรกๆสามีที่ work from home เป็นคนรับหน้าทีทำงานบ้านดูแลลูกทุกอย่างพอ จขกท แข็งแรงในระดับหนึ่งก็เริ่มที่จะรับหน้าที่กลับมาทำเองตอนนี้เลยกลายเป็นแจ๋วผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว🤣🤣
จขกท โชคดีที่ก่อนป่วยเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงเพราะออกกำลังกายค่อนข้างหนักทั้งวิ่งระยะไกลทั้งยกเวทเล่นครอสฟิตเป็นประจำเลยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว เคยคุยกับคนที่เคยป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อและลามไปที่กระแสเลือดเหมือนกันเธอเล่าให้ฟังว่ากลายเป็นแขนขาอ่อนแรงต้องทำกายยภาพบำบัดอยู่เกือบปีถึงกลับมาเดินได้อีกครั้ง จขกท เป็นคนไข้บ้าพลังที่พยายามฝืนตัวเองฝึกเดินฝึกเขย่งและสคอทง่ายๆตั้งแต่ยังอยู่โรงพยาบาล
วันที่2/02/20 (อุ้ย! เลขสวย55) เป็นวันที่ออกจากโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย หลังจากที่พักฟื้นได้สองอาทิตย์ จขกทก็เริ่มฝึกเดินขึ้นลงบันไดและออกกำลังกายเบาๆเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจัดการโภชนาการให้เหมาะสมจากนั้นเพิ่มระดับการออกกำลังกายเพื่อเรียกกล้ามเนื้อคืนมาหลังจากที่ถูกสลายไปในช่วงที่ป่วย
หลังจากหายป่วยสิ่งที่ จขกท ตั้งใจจะทำคือ ไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัดวัดหนึ่งในจีงหวัดสุรินทร์และสั่งซื้อปากกา Parker 7 ด้ามแล้วสลักชื่อคุณหมอทั้ง 7 ท่านเพื่อมอบเป็นของขวัญ Xmasในปีนี้
***มีตัวอย่างปากกาอยู่2แบบขอถามความเห็นค่ะปรกติคุณหมอสะดวกใช้ปากกาแบบไหนคะแบบมีปลอก (ทางซาย) หรือแบบหมุน (ทางขวา)
#ท้ายที่สุดนี้ No matter what : Do not give up ขอส่งแรงใจ แรงสู้ แรงฮึดให้เพื่อนๆที่กำลังท้อแท้หมดกำลังใจ อย่ายอมแพ้และอย่าหมดหวังในสิ่งเชื่อมั่นและศัทธา🍀🍀🍀
ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบนะคะ