คุณหญิงหน่อยชื่นใจ คนมารับกล้วยไม้ไปขาย สร้างรายได้ช่วงวิกฤต
https://www.matichon.co.th/politics/news_2158911
เมื่อวันที่ 27 เมษายน คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์บนเฟซบุ๊ก
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan เรื่อง
“จาก “กล้วยไม้ในสวน” ถึง “รายได้ต่อทุน” ของพี่น้องประชาชน” โดยได้เล่าว่า หลังจากที่ได้แจ้งไปว่า ใครที่กำลังเดือดร้อนสามารถรับกล้วยไม้ที่ตนปลูกไว้ไปได้ฟรี เพื่อนำไปจำหน่ายหาเป็นรายได้ช่วงวิกฤตนี้ ได้มีผู้เข้ามารับกล้วยไม้ของตนไปประมาณ 200-300 ช่อ และมีผู้นำไปขายสร้างรายได้ ทำให้รู้สึกชื่นใจ
โดยข้อความระบุว่า
จากที่หน่อยได้แจ้งข่าวไปเมื่อวันก่อนว่า หากพี่น้องคนใดที่มีความเดือดร้อนในเรื่องปากท้องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19 และอยากมีช่องทางในการหารายได้เสริม สามารถมารับกล้วยไม้สวยๆ ที่หน่อยปลูกไว้เองได้ฟรี เพื่อนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ต่อทุนในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน
วันก่อนได้ทดลองแจกกล้วยไม้ให้กับผู้เดือดร้อน นำไปขายหารายได้ โดยแจกให้รายละประมาณ 200-300 ช่อตามจำนวนที่ขอมา
พี่น้องหลายคน เมื่อได้รับไปแล้ว ก็เขียนเล่าให้ฟังว่านำไปทำอย่างไรต่อ เพื่อสร้างรายได้ อ่านแล้วชื่นใจ คัดบางส่วนมาเล่าให้ฟังค่ะ เช่น
คุณเกรียงไกร เล่าว่าเมื่อได้รับกล้วยไม้แล้วก็นำไปขายสร้างรายได้ “ถือว่าเป็นความโชคดีของผมที่ได้รับบริจาคดอกไม้จากคุณหญิง เพื่อนำไปขายได้เงินมาเจือจุน 2 ครอบครัวเลยครับ ต้องขอขอบคุณ คุณหญิงเป็นอย่างสูง และอยากให้ทำแบบนี้บ่อยๆ ครับ”
หรือคุณ Kronnasa ที่เล่าว่า “วันนี้รับแจกดอกกล้วยไม้คุญหญิงสุดารัตน์… เอาไปส่งร้านขายดอกไม้เรียบร้อย พอได้ค่ากับข้าวค่ะ… ขอบคุณ คุญหญิงนะคะ คนไทยไม่ทิ้งกัน” หรือคุณ Bazila ที่นำดอกกล้วยไม้ ไปจัดแจกันและกระเช้า ร่วมกับดอกไม้อื่นๆ แล้วนำไปส่งขายต่อ หน่อยได้เห็นภาพแล้ว ชื่นใจมากค่ะ
ใครนำกล้วยไม้ไปต่อยอดเป็นรายได้ต่อทุนกันอย่างไรบ้าง เขียนมาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ เผื่อจะเป็นไอเดียดีๆ ให้พี่น้องคนอื่นๆ ได้ทดลองทำกันในช่วงเวลานี้
ขณะนี้กำลังรอดอกบาน เพื่อตัดส่งให้พี่น้องที่ขอมา และกำลังรอคิวอยู่ รอสัก 2-3 วันนะคะ พอดอกเริ่มบานจะรีบตัดและนัดคิวต่อไปมารับนะคะ
หน่อยหวังว่ากล้วยไม้ที่หน่อยมอบให้ทุกท่านจะเป็นหนึ่งในช่องทางที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้านี้ไปก่อน หน่อยขอให้กำลังใจพี่น้องทุกท่านที่กำลังประสบความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ให้เข้มแข็ง อดทนและฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้ร่วมกันไปให้ได้ค่ะ
หากมีกิจกรรมใดๆ ที่ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องได้อีก หน่อยจะรีบประกาศแจ้งให้ทราบล่วงหน้าโดยเร็วนะคะ
#ส่งพลังผ่านดอกกล้วยไม้
#ช่วยกันหน่อย
https://www.facebook.com/241115389300595/posts/2885995524812555/?d=n
‘พิชัย’ เย้ย รบ.ขับเคลื่อนประเทศ ต้องถูกด่าถึงทำ แนะศึกษาให้ดีก่อนร่วม CPTPP
https://www.matichon.co.th/politics/news_2158909
เมื่อวันที่ 27 เมษยน นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การส่งออกเดือนมีนาคมที่ขยายตัว 4.17% แต่เมื่อหักการส่งออกทองคำ และการส่งคืนยุทโธปกรณ์ซ้อมรบกลับสหรัฐที่ไม่สะท้อนภาวะการค้าที่แท้จริงแล้วการส่งออกจะหดตัวติดลบ – 2.5% ไม่ได้ขยายตัวตามที่กล่าวอ้างกัน อีกทั้งในวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมานี้ จะเป็นวันแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) กับสินค้าไทย 573 รายการ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งนี้ การค้าขายระหว่างประเทศของทั้งโลกภายหลังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีความผันผวนมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเข้าร่วมความตกลงครอบคลุม และก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ก็อยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีถึงข้อดีข้อเสียที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ อย่าเพียงคิดว่าประเทศไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับต่างประเทศมาเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เพราะปัญหาของการปฏิวัติรัฐประหาร แล้วจะรีบแก้ไขโดยการเข้าร่วม CPTPP แบบไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ เพราะไทยอาจจะต้องเจอปัญหาสิทธิบัตรยา และปัญหาลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งทั้งปัญหาด้านสาธารณสุข และปัญหาความขาดแคลนอาหารของโลก หลังจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลต้องคำนึง อีกทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการค้าและการลงทุนจากการเข้าร่วม CPTPP ก็ยังไม่ชัดเจนจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกภายหลังการเกิดวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 นี้ โดยอยากให้รัฐบาลได้ฟัง และพิจารณา เสียงคัดค้านและเหตุผลของผู้มีชื่อเสียงและนักวิชาการจำนวนมากที่ได้ออกมาต่อต้านการเข้าร่วม CPTPP นี้
ทั้งนี้ ในภาวะวิกฤตกาณ์ไวรัสโควิด-19 นี้สถานการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วมาตลอด 5 ปีนี่ จะยิ่งทรุดหนักและย่ำแย่ลงไปอีกอย่างรุนแรงแบบที่จะไม่เคยพบมาก่อน เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกจะผันผวนและซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้แย่ลง ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจสายการบิน และธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว จะเป็นธุรกิจแรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และจะยังมีผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกิดการว่างงานจำนวนมากทั่วโลก รวมถึงไทยที่จะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 ล้านคน ซึ่งจะทำให้เกิดความลำบากกันอย่างมาก
นาย
พิชัยกล่าวว่า ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้วางแผนการรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่จะหนักหนาสาหัสล่วงหน้า อย่าได้บริหารประเทศเหมือนในปัจจุบันที่ดูเหมือนรัฐบาลจะขับเคลื่อนโดยการโดนด่า หรือต้องถูกด่าก่อนถึงจะยอมดำเนินการ โดยล่าสุดรัฐบาลมีความคิดที่จะตัดงบบัตรทองลง 2,400 ล้านบาท แต่เมื่อโดนด่ามากจึงยอมถอย การแจก 5,000 บาท ก็เกิดจากเสียงด่าที่ปิดเมืองแล้วทำให้คนตกงานและขาดรายได้ แต่กลับไม่มีการเยียวยา พอถูกด่าว่าแจกแค่ 3 ล้านคน ทั้งที่มีผู้เดือดร้อนสมัครเข้ามากว่า 27 ล้านคน จึงขยายเป็น 9 ล้านคน และยังถูกด่าอีกจึงขยายเป็น 14 ล้านคน ต่อมาประชาชนด่าว่าค่าไฟฟ้าแพงจึงคิดลดค่าไฟฟ้าทั้งที่ได้เตือนก่อนแล้ว การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ก็เช่นกัน ถ้าไม่ถูกด่าป่านนี้ก็ยังคงจัดซื้ออาวุธกันมากมาย โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน และหากมองย้อนหลัง ปัญหาหน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ ขาดแคลนก็ต้องถูกด่ากันก่อนถึงมาแก้ไข ซึ่งหากต้องถูกด่าก่อนถึงจะดำเนินการ รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศให้ทันการณ์ได้
ในภาวะวิกฤตต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงและความผันผวนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ประเทศไทยต้องการผู้บริหารประเทศที่ต้องคิดเป็น บริหารเป็น ไม่ใช่ต้องถูกด่า ต้องถูกตำหนิก่อนถึงจะคิดดำเนินการ ถ้าหากรัฐบาลยังบริหารประเทศแบบขับเคลื่อนโดยการโดนด่านี้ ประเทศไทยจะไม่สามารถฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปได้ และ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างมาก
JJNY : คุณหญิงหน่อยชื่นใจ คนมารับกล้วยไม้/พิชัยแนะศึกษาก่อนร่วมCPTPP/รื้องบ 12 หน่วยงานถูกหั่น/ทั่วโลกติดโควิดเฉียด3ล.
https://www.matichon.co.th/politics/news_2158911
โดยข้อความระบุว่า
จากที่หน่อยได้แจ้งข่าวไปเมื่อวันก่อนว่า หากพี่น้องคนใดที่มีความเดือดร้อนในเรื่องปากท้องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19 และอยากมีช่องทางในการหารายได้เสริม สามารถมารับกล้วยไม้สวยๆ ที่หน่อยปลูกไว้เองได้ฟรี เพื่อนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ต่อทุนในช่วงวิกฤตนี้ไปก่อน
วันก่อนได้ทดลองแจกกล้วยไม้ให้กับผู้เดือดร้อน นำไปขายหารายได้ โดยแจกให้รายละประมาณ 200-300 ช่อตามจำนวนที่ขอมา
พี่น้องหลายคน เมื่อได้รับไปแล้ว ก็เขียนเล่าให้ฟังว่านำไปทำอย่างไรต่อ เพื่อสร้างรายได้ อ่านแล้วชื่นใจ คัดบางส่วนมาเล่าให้ฟังค่ะ เช่น
คุณเกรียงไกร เล่าว่าเมื่อได้รับกล้วยไม้แล้วก็นำไปขายสร้างรายได้ “ถือว่าเป็นความโชคดีของผมที่ได้รับบริจาคดอกไม้จากคุณหญิง เพื่อนำไปขายได้เงินมาเจือจุน 2 ครอบครัวเลยครับ ต้องขอขอบคุณ คุณหญิงเป็นอย่างสูง และอยากให้ทำแบบนี้บ่อยๆ ครับ”
หรือคุณ Kronnasa ที่เล่าว่า “วันนี้รับแจกดอกกล้วยไม้คุญหญิงสุดารัตน์… เอาไปส่งร้านขายดอกไม้เรียบร้อย พอได้ค่ากับข้าวค่ะ… ขอบคุณ คุญหญิงนะคะ คนไทยไม่ทิ้งกัน” หรือคุณ Bazila ที่นำดอกกล้วยไม้ ไปจัดแจกันและกระเช้า ร่วมกับดอกไม้อื่นๆ แล้วนำไปส่งขายต่อ หน่อยได้เห็นภาพแล้ว ชื่นใจมากค่ะ
ใครนำกล้วยไม้ไปต่อยอดเป็นรายได้ต่อทุนกันอย่างไรบ้าง เขียนมาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ เผื่อจะเป็นไอเดียดีๆ ให้พี่น้องคนอื่นๆ ได้ทดลองทำกันในช่วงเวลานี้
ขณะนี้กำลังรอดอกบาน เพื่อตัดส่งให้พี่น้องที่ขอมา และกำลังรอคิวอยู่ รอสัก 2-3 วันนะคะ พอดอกเริ่มบานจะรีบตัดและนัดคิวต่อไปมารับนะคะ
หน่อยหวังว่ากล้วยไม้ที่หน่อยมอบให้ทุกท่านจะเป็นหนึ่งในช่องทางที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้านี้ไปก่อน หน่อยขอให้กำลังใจพี่น้องทุกท่านที่กำลังประสบความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ให้เข้มแข็ง อดทนและฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้ร่วมกันไปให้ได้ค่ะ
หากมีกิจกรรมใดๆ ที่ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องได้อีก หน่อยจะรีบประกาศแจ้งให้ทราบล่วงหน้าโดยเร็วนะคะ
#ส่งพลังผ่านดอกกล้วยไม้
#ช่วยกันหน่อย
https://www.facebook.com/241115389300595/posts/2885995524812555/?d=n
‘พิชัย’ เย้ย รบ.ขับเคลื่อนประเทศ ต้องถูกด่าถึงทำ แนะศึกษาให้ดีก่อนร่วม CPTPP
https://www.matichon.co.th/politics/news_2158909
เมื่อวันที่ 27 เมษยน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การส่งออกเดือนมีนาคมที่ขยายตัว 4.17% แต่เมื่อหักการส่งออกทองคำ และการส่งคืนยุทโธปกรณ์ซ้อมรบกลับสหรัฐที่ไม่สะท้อนภาวะการค้าที่แท้จริงแล้วการส่งออกจะหดตัวติดลบ – 2.5% ไม่ได้ขยายตัวตามที่กล่าวอ้างกัน อีกทั้งในวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมานี้ จะเป็นวันแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) กับสินค้าไทย 573 รายการ มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยย่ำแย่ลงไปอีก ทั้งนี้ การค้าขายระหว่างประเทศของทั้งโลกภายหลังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีความผันผวนมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเข้าร่วมความตกลงครอบคลุม และก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ก็อยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีถึงข้อดีข้อเสียที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ อย่าเพียงคิดว่าประเทศไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับต่างประเทศมาเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เพราะปัญหาของการปฏิวัติรัฐประหาร แล้วจะรีบแก้ไขโดยการเข้าร่วม CPTPP แบบไม่ลืมหูลืมตา ทั้งนี้ เพราะไทยอาจจะต้องเจอปัญหาสิทธิบัตรยา และปัญหาลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งทั้งปัญหาด้านสาธารณสุข และปัญหาความขาดแคลนอาหารของโลก หลังจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลต้องคำนึง อีกทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการค้าและการลงทุนจากการเข้าร่วม CPTPP ก็ยังไม่ชัดเจนจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกภายหลังการเกิดวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 นี้ โดยอยากให้รัฐบาลได้ฟัง และพิจารณา เสียงคัดค้านและเหตุผลของผู้มีชื่อเสียงและนักวิชาการจำนวนมากที่ได้ออกมาต่อต้านการเข้าร่วม CPTPP นี้
นายพิชัยกล่าวว่า ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้วางแผนการรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่จะหนักหนาสาหัสล่วงหน้า อย่าได้บริหารประเทศเหมือนในปัจจุบันที่ดูเหมือนรัฐบาลจะขับเคลื่อนโดยการโดนด่า หรือต้องถูกด่าก่อนถึงจะยอมดำเนินการ โดยล่าสุดรัฐบาลมีความคิดที่จะตัดงบบัตรทองลง 2,400 ล้านบาท แต่เมื่อโดนด่ามากจึงยอมถอย การแจก 5,000 บาท ก็เกิดจากเสียงด่าที่ปิดเมืองแล้วทำให้คนตกงานและขาดรายได้ แต่กลับไม่มีการเยียวยา พอถูกด่าว่าแจกแค่ 3 ล้านคน ทั้งที่มีผู้เดือดร้อนสมัครเข้ามากว่า 27 ล้านคน จึงขยายเป็น 9 ล้านคน และยังถูกด่าอีกจึงขยายเป็น 14 ล้านคน ต่อมาประชาชนด่าว่าค่าไฟฟ้าแพงจึงคิดลดค่าไฟฟ้าทั้งที่ได้เตือนก่อนแล้ว การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ก็เช่นกัน ถ้าไม่ถูกด่าป่านนี้ก็ยังคงจัดซื้ออาวุธกันมากมาย โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน และหากมองย้อนหลัง ปัญหาหน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ ขาดแคลนก็ต้องถูกด่ากันก่อนถึงมาแก้ไข ซึ่งหากต้องถูกด่าก่อนถึงจะดำเนินการ รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศให้ทันการณ์ได้
ในภาวะวิกฤตต่อไปนี้ การเปลี่ยนแปลงและความผันผวนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ประเทศไทยต้องการผู้บริหารประเทศที่ต้องคิดเป็น บริหารเป็น ไม่ใช่ต้องถูกด่า ต้องถูกตำหนิก่อนถึงจะคิดดำเนินการ ถ้าหากรัฐบาลยังบริหารประเทศแบบขับเคลื่อนโดยการโดนด่านี้ ประเทศไทยจะไม่สามารถฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปได้ และ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างมาก