“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” ปลด "สมคิด" เพราะหมดสภาพ กรณีรับจะให้IMFช่วยไทย
https://www.thairath.co.th/news/politic/1806893
“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” ปลดสมคิด เพราะหมดสภาพ ทำประชาชนตื่นตระหนก ติง จะให้ไอเอ็มเอฟช่วยแปลว่าต้องล้มละลายแล้ว ทั้งที่เงินทุนสำรองมีล้น ชี้ พ.ร.บ.กู้ 2 แสนล้านทำได้ แต่ใช้ให้ถูกทางและห้ามโกง
วันที่ 29 มี.ค. นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ นาย
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ และประกาศว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยินดีช่วยไทย ซึ่งน่าจะแสดงความไม่เข้าใจอย่างรุนแรง และอยากให้พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ ประธาน ศอฉ. ได้พิจารณาปลดนาย
สมคิดออกจากตำแหน่งรองนายกฯ ทั้งนี้ เพราะ นายสมคิดแสดงถึงความหมดสภาพในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว อีกทั้งยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนอย่างไม่มีเหตุผลในภาวะวิกฤตการณ์นี้
ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยล่าสุด มีอยู่ถึง 2.199 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องการความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ แต่อย่างใด ไม่เหมือนในปี 2540 ที่เกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยหายหมดจากการที่แบงก์ชาติเข้าไปสู้ค่าเงินบาทในขณะนั้น ซึ่งหากนาย
สมคิด ยังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ นายสมคิดก็ไม่ควรจะบริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกต่อไปแล้ว และถ้าไอเอ็มเอฟต้องเข้ามาช่วยจริง ก็แสดงว่าการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลจะต้องล้มเหลวอย่างสุดขีด เพราะประเทศที่ต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยจะเป็นประเทศที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ไม่มีเงินสำรองระหว่างประเทศเหลือแล้ว อีกทั้งการให้ไอเอ็มเอฟช่วย ประเทศต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงและยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างอื่นอีกมากมาย ซึ่งประเทศไทยไม่มีความจำเป็นเช่นนั้นเลย ไม่คิดเลยว่านาย
สมคิดจะไม่มีความรู้ในหลักการการเงินระหว่างประเทศพื้นฐานนี้เลย
ทั้งนี้ นาย
สมคิด อาจจะตกใจที่เศรษฐกิจไทยทรุดต่ำลงหนักและรวดเร็วมาก เหมือนทุกเสาหลักเศรษฐกิจทรุด ตามที่นาย
สมคิดเคยพูดไว้เอง เลยสติหลุด ซึ่งเมื่อแบงก์ชาติบอกเศรษฐกิจไทยปีนี้จะถดถอยโดยจะติดลบถึง 5.3% นาย
สมคิด จึงอาจคิดเลยเถิดไปถึงการต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยเหมือนในอดีต ทั้งที่ประเทศไทยอยู่ในสถานะต่างกันกับในอดีตมาก นาย
สมคิด อาจจะเข้าใจผิดคิดว่า การพูดว่า ไอเอ็มเอฟยินดีจะช่วยไทยเป็นการสร้างความมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว กลับเป็นการทำลายความมั่นใจให้ทรุดหนักมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าประเทศไทยจะต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วย ก็หมายถึงประเทศไทยจะต้องล้มละลายแล้ว ซึ่งไม่จริง
อีกทั้ง นาย
อุตตม สาวนายน รมว.คลัง ยังกล้าบอกว่า ไม่ตกใจกับตัวเลขเศรษฐกิจถดถอยที่ -5.3% ซึ่งหากนาย
อุตตม ไม่ตกใจ คนไทยทั้งประเทศก็ควรจะต้องตกใจที่นาย
อุตตมไม่ตกใจ เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักกันมาก ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างแสนสาหัส ทั้งนี้ อย่าเพียงอ้างว่า เศรษฐกิจตกต่ำติดลบกันทั่วโลกจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะจริงบางส่วน แต่ประเทศไทยทรุดหนักมากสุด เพราะก่อนจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เศรษฐกิจไทยก็ทรุดหนักอยู่แล้ว เพราะไทยขยายตัวได้เพียง 1.6% เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักมากกว่าประเทศอื่นมาก จากการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปี
ส่วนการออก พ.ร.ก. กู้เงิน 2 แสนล้านบาทนั้น ก็เห็นถึงความจำเป็นในภาวะเช่นนี้ และอาจจะต้องใช้มากกว่านี้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น อีกทั้งประชาชนจำนวนมากสงสัยกันว่างบกลางจำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท ถูกใช้ไปในเรื่องใดบ้าง ทำไมถึงหมดแล้ว และอยากให้นาย
สมคิดทำอย่างที่พูดไว้เองว่า “
ไม่อยากให้นำไปใช้กระจัดกระจายไม่เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว” เพราะ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลนำงบประมาณจำนวนมหาศาลกว่า 17 ล้านล้านบาทไปใช้อย่าง อีลุ่ยฉุยแฉก ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ในระยะยาวแต่อย่างไรเลย ประชาชนไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และประเทศก็ไม่ได้พัฒนา
"
ในภาวะวิกฤตินี้ รัฐบาลจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนพูด รัฐบาลจะพูดแบบไม่คิดเหมือนในภาวะปกติไม่ได้ เพราะผลกระทบจะมากกว่า รัฐบาลยังคงมีปัญหาอย่างมากในเรื่องการสื่อสารกับประชาชน และหากยังไม่แก้ไขและปล่อยให้เป็นแบบนี้ ความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจะลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือ" นาย
พิชัย กล่าว...
'ชัยธวัช' ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เดิมพันรัฐบาล ชูธงปฏิรูปกองทัพ หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 จากสนามมวย
https://voicetv.co.th/read/lBsHHy0bF
เลขาธิการพรรคก้าวไกล จี้รัฐบาลพิสูจน์ความชอบธรรมทางการเมืองผ่านการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมศูนย์อำนาจต้องจบปัญหาให้เร็ว ขอประชาชนอย่าเสียศรัทธากับระบบประชาธิปไตย แม้ผิดหวังจากความล้มเหลวของหลายรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ แนะต้องปฏิรูปกองทัพหลังเกิดปัญหาสนามมวยที่รัฐบาลพลเรือนเข้าไปแตะไม่ได้
นาย
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว
‘วอยซ์ ออนไลน์’ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการเรื่องไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า สะท้อนปัญหาของระบบการเมืองหลายอย่างที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการมีรัฐบาลที่ไม่มีเอกภาพ เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบมาแบบนี้ อีกทั้งโควิด-19 ยังทำให้เห็นผลกระทบจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้ เมื่อต้องฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ จะเดินแบบเก่าไม่ได้ ทั้งการพึ่งพาการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมแบบเก่า และตลาดภายในประเทศแบบเก่า หรือปัญหาเรื่องสนามมวยลุมพินีที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 มาก ทั้งที่มีคำขอให้ยุติการจัดการแข่งขันกีฬาชกมวย มันสะท้อนให้เห็นว่ากิจการของกองทัพมีเอกสิทธิ์ที่รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถเข้าไปกำกับควบคุมได้ นำไปสู่ความจำเป็นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ
นาย
ชัยธวัช ระบุว่า ตนในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ยอมรับว่า ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลล้มเหลวเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลย่อมจะส่งผลร้ายแรงต่อคนในชาติ ต่อตนเอง และครอบครัว ทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ และทุกคนก็หวังว่ารัฐบาลจะนำพาประเทศชาติฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่ในฐานะพรรคฝ่ายค้านก็พยายามที่จะแสวงหาทางออกที่เป็นทางเลือกมากขึ้น หากเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ ไม่มีประสิทธิภาพ หรือยังไม่รอบด้าน นี่คือบทบาทที่จะตรวจสอบ ผลักดัน อันไหนที่รัฐบาลทำถูกทางแล้วก็พร้อมจะสนับสนุน แต่สิ่งที่จะเป็นบททดสอบที่สำคัญคือ ถ้าหากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คือ การเลือกใช้อำนาจรวมศูนย์ ถือเป็นเดิมพันสำคัญ เพราะถ้ารวบอำนาจไปบริหารจัดการแล้วไม่เสร็จ ผลสะท้อนทางการเมืองที่จะตีกลับไปยังรัฐบาลย่อมหนักหนาสาหัสและสูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง แต่ตนก็คาดหวังไม่ให้เป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ ตนเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเหมือนดาบสองคม อารมณ์ของสังคมตอนนี้ต้องการบริหารจัดการที่รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ แต่ควรใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้อย่างได้สัดส่วน เช่น ไม่ควรใช้อำนาจนี้จำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และประชาชนในการวิพากษณ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เพราะจะเป็นกระจกของสังคมที่จะสะท้อนมาตรการที่ออกมาบกพร่องหรือไม่ อย่างไร หรืออำนาจในการควบคุมตัว เรียกมารายงานตัว บุกค้นโดยไม่ต้องมีหมาย เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อผ่านวิกฤตนี้ไปได้แล้ว โจทย์ต่อมาคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์รัฐบาลอีกเช่นกัน
ส่วนเรื่องระบบราชการของประเทศไทย เป็นระบบแบบรวมศูนย์แต่ไม่มีเอกภาพ รวมศูนย์กลางอำนาจแต่แตกกระจาย รวมศูนย์แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นว่าระบบรวมศูนย์อำนาจแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ ถ้ามีการกระจายอำนาจอย่างมีเอกภาพ ท้องถิ่นจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ อีกทั้งในอนาคตเอง โลกก็มีโอกาสที่ต้องประสบกับสาธารณภัยใหม่ ซึ่งกลไกของรัฐไทยแบบเดิม มันไม่น่าจะตอบโจทย์ เช่น การจัดการเรื่องความมั่นคง สภาความมั่นคงเอง ยังยังถูกครอบงำด้วยทหาร ทั้งที่โลกไม่ได้เผชิญหน้ากับความมั่นคงทางทหารแบบสงครามเย็น กลับกันองค์กรเรื่องความมั่นคงในประเทศต้องการพลเรือนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เป็นองค์กรทางการทหาร เห็นได้จากวิกฤตโควิด-19 เราไม่มีการบริหารจัดการแบบใหม่ขององค์กรพลเรือนที่มีความรู้พร้อม และมีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหาเรื่องโรคระบาด มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ามาแก้ปัญหา
นาย
ชัยธวัช ย้ำว่า หลายๆ เรื่องไม่สามารถแก้ได้ด้วย พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพียงลำพัง ต้องขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ที่จะคิดให้ไปไกลกว่าสถานการณ์หนึ่งขั้นเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างรอบด้าน การมีวิสัยทัศน์ การกล้าตัดสินใจ หรือความสามารถในการสื่อสารกับประชาชนว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร ตนคิดว่าตอนนี้ประชาชนต้องการรู้ว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ชาติในการฝ่าวิกฤต ว่าจะใช้เส้นทางแบบไหน ไม่มีการสื่อสารว่าจะใช้ยาแรง ยาเบา หรือคนงาน ผู้ประกอบการ ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปนานแค่ไหน เพื่อที่จะเตรียมแผนรับมือล่วงหน้า ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาจากกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต
เลขาธิการพรรคก้าวไกล เป็นห่วงที่คนบางส่วนเริ่มรู้สึกว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการบริหารประเทศ แต่ตนอยากเน้นย้ำว่า ระบบการเมืองที่ดี ระบบรัฐสภาที่ดี เป็นเรื่องสำคัญมากในการบริหารจัดการประเทศหลังจากนี้ ความล้มเหลวของรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นปัญหาของพรรคการเมือง เป็นปัญหาของแกนนำรัฐบาล ไม่ได้เป็นปัญหาของระบบรัฐสภาหรือระบบประชาธิปไตย ต้องแยกส่วนออกจากกัน
"
เราออาจจะไม่ชอบรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่เกี่ยวกับระบบประชาธิปไตย ซึ่งแนวทางตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล คือการการทำการเมืองที่ดีและสร้างสรรค์ให้ได้ ไม่ใช่มองว่าวันนี้ไม่พอใจนักการเมือง ไม่ชอบพรรคการเมืองแล้วหันไปหาอำนาจนอกระบบ ตนยังเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ชอบการรัฐประหาร แต่เขาไม่ศรัทธาในนักการเมืองและระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ แต่ในมุมกลับ นอกจากจะปฏิรูปกองทัพเพื่อไม่ให้เกิดรัฐประหารแล้ว แต่ต้องปฏิรูปให้ระบบรัฐสภาเป็นที่ศรัทธาของประชาชนด้วย" เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุ
JJNY : พิชัยแนะตู่ปลดสมคิดเพราะหมดสภาพ/ชัยธวัชชี้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เดิมพันรบ./เทพไทหนุนนำงบกลาโหมสู้โควิด/ป่วยโควิดเพิ่ม143
https://www.thairath.co.th/news/politic/1806893
วันที่ 29 มี.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ และประกาศว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยินดีช่วยไทย ซึ่งน่าจะแสดงความไม่เข้าใจอย่างรุนแรง และอยากให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ ประธาน ศอฉ. ได้พิจารณาปลดนายสมคิดออกจากตำแหน่งรองนายกฯ ทั้งนี้ เพราะ นายสมคิดแสดงถึงความหมดสภาพในการบริหารเศรษฐกิจแล้ว อีกทั้งยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนอย่างไม่มีเหตุผลในภาวะวิกฤตการณ์นี้
ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยล่าสุด มีอยู่ถึง 2.199 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องการความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ แต่อย่างใด ไม่เหมือนในปี 2540 ที่เกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยหายหมดจากการที่แบงก์ชาติเข้าไปสู้ค่าเงินบาทในขณะนั้น ซึ่งหากนายสมคิด ยังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ นายสมคิดก็ไม่ควรจะบริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกต่อไปแล้ว และถ้าไอเอ็มเอฟต้องเข้ามาช่วยจริง ก็แสดงว่าการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลจะต้องล้มเหลวอย่างสุดขีด เพราะประเทศที่ต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยจะเป็นประเทศที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ไม่มีเงินสำรองระหว่างประเทศเหลือแล้ว อีกทั้งการให้ไอเอ็มเอฟช่วย ประเทศต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงและยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างอื่นอีกมากมาย ซึ่งประเทศไทยไม่มีความจำเป็นเช่นนั้นเลย ไม่คิดเลยว่านายสมคิดจะไม่มีความรู้ในหลักการการเงินระหว่างประเทศพื้นฐานนี้เลย
ทั้งนี้ นายสมคิด อาจจะตกใจที่เศรษฐกิจไทยทรุดต่ำลงหนักและรวดเร็วมาก เหมือนทุกเสาหลักเศรษฐกิจทรุด ตามที่นายสมคิดเคยพูดไว้เอง เลยสติหลุด ซึ่งเมื่อแบงก์ชาติบอกเศรษฐกิจไทยปีนี้จะถดถอยโดยจะติดลบถึง 5.3% นายสมคิด จึงอาจคิดเลยเถิดไปถึงการต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วยเหมือนในอดีต ทั้งที่ประเทศไทยอยู่ในสถานะต่างกันกับในอดีตมาก นายสมคิด อาจจะเข้าใจผิดคิดว่า การพูดว่า ไอเอ็มเอฟยินดีจะช่วยไทยเป็นการสร้างความมั่นใจ แต่แท้จริงแล้ว กลับเป็นการทำลายความมั่นใจให้ทรุดหนักมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าประเทศไทยจะต้องให้ไอเอ็มเอฟช่วย ก็หมายถึงประเทศไทยจะต้องล้มละลายแล้ว ซึ่งไม่จริง
อีกทั้ง นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ยังกล้าบอกว่า ไม่ตกใจกับตัวเลขเศรษฐกิจถดถอยที่ -5.3% ซึ่งหากนายอุตตม ไม่ตกใจ คนไทยทั้งประเทศก็ควรจะต้องตกใจที่นายอุตตมไม่ตกใจ เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจจะหนักกันมาก ประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างแสนสาหัส ทั้งนี้ อย่าเพียงอ้างว่า เศรษฐกิจตกต่ำติดลบกันทั่วโลกจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะจริงบางส่วน แต่ประเทศไทยทรุดหนักมากสุด เพราะก่อนจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เศรษฐกิจไทยก็ทรุดหนักอยู่แล้ว เพราะไทยขยายตัวได้เพียง 1.6% เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักมากกว่าประเทศอื่นมาก จากการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปี
ส่วนการออก พ.ร.ก. กู้เงิน 2 แสนล้านบาทนั้น ก็เห็นถึงความจำเป็นในภาวะเช่นนี้ และอาจจะต้องใช้มากกว่านี้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น อีกทั้งประชาชนจำนวนมากสงสัยกันว่างบกลางจำนวนกว่า 5 แสนล้านบาท ถูกใช้ไปในเรื่องใดบ้าง ทำไมถึงหมดแล้ว และอยากให้นายสมคิดทำอย่างที่พูดไว้เองว่า “ไม่อยากให้นำไปใช้กระจัดกระจายไม่เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว” เพราะ 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลนำงบประมาณจำนวนมหาศาลกว่า 17 ล้านล้านบาทไปใช้อย่าง อีลุ่ยฉุยแฉก ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์ในระยะยาวแต่อย่างไรเลย ประชาชนไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และประเทศก็ไม่ได้พัฒนา
"ในภาวะวิกฤตินี้ รัฐบาลจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนพูด รัฐบาลจะพูดแบบไม่คิดเหมือนในภาวะปกติไม่ได้ เพราะผลกระทบจะมากกว่า รัฐบาลยังคงมีปัญหาอย่างมากในเรื่องการสื่อสารกับประชาชน และหากยังไม่แก้ไขและปล่อยให้เป็นแบบนี้ ความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจะลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือ" นายพิชัย กล่าว...
'ชัยธวัช' ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เดิมพันรัฐบาล ชูธงปฏิรูปกองทัพ หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 จากสนามมวย
https://voicetv.co.th/read/lBsHHy0bF
เลขาธิการพรรคก้าวไกล จี้รัฐบาลพิสูจน์ความชอบธรรมทางการเมืองผ่านการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมศูนย์อำนาจต้องจบปัญหาให้เร็ว ขอประชาชนอย่าเสียศรัทธากับระบบประชาธิปไตย แม้ผิดหวังจากความล้มเหลวของหลายรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ แนะต้องปฏิรูปกองทัพหลังเกิดปัญหาสนามมวยที่รัฐบาลพลเรือนเข้าไปแตะไม่ได้
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ‘วอยซ์ ออนไลน์’ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการเรื่องไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า สะท้อนปัญหาของระบบการเมืองหลายอย่างที่สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการมีรัฐบาลที่ไม่มีเอกภาพ เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบมาแบบนี้ อีกทั้งโควิด-19 ยังทำให้เห็นผลกระทบจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้ เมื่อต้องฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ จะเดินแบบเก่าไม่ได้ ทั้งการพึ่งพาการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมแบบเก่า และตลาดภายในประเทศแบบเก่า หรือปัญหาเรื่องสนามมวยลุมพินีที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 มาก ทั้งที่มีคำขอให้ยุติการจัดการแข่งขันกีฬาชกมวย มันสะท้อนให้เห็นว่ากิจการของกองทัพมีเอกสิทธิ์ที่รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถเข้าไปกำกับควบคุมได้ นำไปสู่ความจำเป็นเรื่องการปฏิรูปกองทัพ
นายชัยธวัช ระบุว่า ตนในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ยอมรับว่า ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลล้มเหลวเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลย่อมจะส่งผลร้ายแรงต่อคนในชาติ ต่อตนเอง และครอบครัว ทุกคนคือเพื่อนร่วมชาติ และทุกคนก็หวังว่ารัฐบาลจะนำพาประเทศชาติฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่ในฐานะพรรคฝ่ายค้านก็พยายามที่จะแสวงหาทางออกที่เป็นทางเลือกมากขึ้น หากเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ ไม่มีประสิทธิภาพ หรือยังไม่รอบด้าน นี่คือบทบาทที่จะตรวจสอบ ผลักดัน อันไหนที่รัฐบาลทำถูกทางแล้วก็พร้อมจะสนับสนุน แต่สิ่งที่จะเป็นบททดสอบที่สำคัญคือ ถ้าหากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คือ การเลือกใช้อำนาจรวมศูนย์ ถือเป็นเดิมพันสำคัญ เพราะถ้ารวบอำนาจไปบริหารจัดการแล้วไม่เสร็จ ผลสะท้อนทางการเมืองที่จะตีกลับไปยังรัฐบาลย่อมหนักหนาสาหัสและสูญเสียความชอบธรรมทางการเมือง แต่ตนก็คาดหวังไม่ให้เป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ ตนเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเหมือนดาบสองคม อารมณ์ของสังคมตอนนี้ต้องการบริหารจัดการที่รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ แต่ควรใช้ พ.ร.ก.ดังกล่าวนี้อย่างได้สัดส่วน เช่น ไม่ควรใช้อำนาจนี้จำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และประชาชนในการวิพากษณ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เพราะจะเป็นกระจกของสังคมที่จะสะท้อนมาตรการที่ออกมาบกพร่องหรือไม่ อย่างไร หรืออำนาจในการควบคุมตัว เรียกมารายงานตัว บุกค้นโดยไม่ต้องมีหมาย เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อผ่านวิกฤตนี้ไปได้แล้ว โจทย์ต่อมาคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์รัฐบาลอีกเช่นกัน
ส่วนเรื่องระบบราชการของประเทศไทย เป็นระบบแบบรวมศูนย์แต่ไม่มีเอกภาพ รวมศูนย์กลางอำนาจแต่แตกกระจาย รวมศูนย์แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นว่าระบบรวมศูนย์อำนาจแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ ถ้ามีการกระจายอำนาจอย่างมีเอกภาพ ท้องถิ่นจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ อีกทั้งในอนาคตเอง โลกก็มีโอกาสที่ต้องประสบกับสาธารณภัยใหม่ ซึ่งกลไกของรัฐไทยแบบเดิม มันไม่น่าจะตอบโจทย์ เช่น การจัดการเรื่องความมั่นคง สภาความมั่นคงเอง ยังยังถูกครอบงำด้วยทหาร ทั้งที่โลกไม่ได้เผชิญหน้ากับความมั่นคงทางทหารแบบสงครามเย็น กลับกันองค์กรเรื่องความมั่นคงในประเทศต้องการพลเรือนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เป็นองค์กรทางการทหาร เห็นได้จากวิกฤตโควิด-19 เราไม่มีการบริหารจัดการแบบใหม่ขององค์กรพลเรือนที่มีความรู้พร้อม และมีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหาเรื่องโรคระบาด มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ามาแก้ปัญหา
นายชัยธวัช ย้ำว่า หลายๆ เรื่องไม่สามารถแก้ได้ด้วย พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพียงลำพัง ต้องขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ที่จะคิดให้ไปไกลกว่าสถานการณ์หนึ่งขั้นเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างรอบด้าน การมีวิสัยทัศน์ การกล้าตัดสินใจ หรือความสามารถในการสื่อสารกับประชาชนว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร ตนคิดว่าตอนนี้ประชาชนต้องการรู้ว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ชาติในการฝ่าวิกฤต ว่าจะใช้เส้นทางแบบไหน ไม่มีการสื่อสารว่าจะใช้ยาแรง ยาเบา หรือคนงาน ผู้ประกอบการ ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปนานแค่ไหน เพื่อที่จะเตรียมแผนรับมือล่วงหน้า ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาจากกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤต
เลขาธิการพรรคก้าวไกล เป็นห่วงที่คนบางส่วนเริ่มรู้สึกว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการบริหารประเทศ แต่ตนอยากเน้นย้ำว่า ระบบการเมืองที่ดี ระบบรัฐสภาที่ดี เป็นเรื่องสำคัญมากในการบริหารจัดการประเทศหลังจากนี้ ความล้มเหลวของรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นปัญหาของพรรคการเมือง เป็นปัญหาของแกนนำรัฐบาล ไม่ได้เป็นปัญหาของระบบรัฐสภาหรือระบบประชาธิปไตย ต้องแยกส่วนออกจากกัน
"เราออาจจะไม่ชอบรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่เกี่ยวกับระบบประชาธิปไตย ซึ่งแนวทางตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล คือการการทำการเมืองที่ดีและสร้างสรรค์ให้ได้ ไม่ใช่มองว่าวันนี้ไม่พอใจนักการเมือง ไม่ชอบพรรคการเมืองแล้วหันไปหาอำนาจนอกระบบ ตนยังเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ชอบการรัฐประหาร แต่เขาไม่ศรัทธาในนักการเมืองและระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ แต่ในมุมกลับ นอกจากจะปฏิรูปกองทัพเพื่อไม่ให้เกิดรัฐประหารแล้ว แต่ต้องปฏิรูปให้ระบบรัฐสภาเป็นที่ศรัทธาของประชาชนด้วย" เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุ