โรงพยาบาลตรวจรักษาไม่ละเอียด ล่าช้า ทำให้พ่อผม หลอดเลือดสมองตีบ สมองตาย จนเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก ขอคำปรึกษาครับ

เนื่องจากว่าวันที่ 31 มีนาคมตอนกลางคืนคุณพ่อมีอาการอ่อนเพลียและอาเจียนออกมาเป็นสีดำ(คิดว่าไปทานอะไรดำๆมา)
ผมก็เลยให้คุณพ่อลองทานน้ำเกลือและฉีดอินซูลินลดน้ำตาลเพราะว่าคุณพ่อเป็นเบาหวานคิดว่าน้ำตาลขึ้นสูง

พอวันต่อมา 1 เมษายน 2563 คุณพ่อก็ดูซึมๆ อ่อนเพลียทานข้าวเช้าไปแล้วคุณพ่อก็นั่งหลับพักผ่อน 
พอประมาณช่วง 11:00 น คุณพ่อเข้าไปถ่ายในห้องน้ำ เสร็จแล้วคุณพ่อก็นั่งอ่อนเพลียอยู่ตรงชักโครก

ผมเห็นอาการไม่ค่อยดีจึงรีบจะพาคุณพ่อไปโรงพยาบาล ในขณะที่พาคุณพ่อเดินขึ้นรถคุณพ่อมีการล้มแขนขาอ่อนแรงต้องพยุงขึ้นรถกันอย่างทุลักทุเล 

ผมไปถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านสีลม พอมาถึงทางเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินได้ช่วยกันพยุงคุณพ่อขึ้นรถเข็นนอนไปยังห้องฉุกเฉินแล้วผมก็นำรถไปจอดและผมรีบตามคุณพ่อไปที่ห้องฉุกเฉินทันที


ในขณะนั้นผมเห็นคุณหมอกำลังตรวจคุณพ่อให้คุณพ่อยกแขนยกขาซึ่งตอนนั้นผมก็อยู่ด้วยผมเห็นคุณพ่อยกแขนขวาขาขวาขึ้นได้ปกติ แต่พอให้คุณพ่ออยู่ข้างซ้ายแขนซ้ายขาซ้ายยกขึ้นได้อย่างล่าช้าและดูอ่อนแรง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการอ่อนเพลียจากน้ำตาลสูงหรือเปล่าไม่ทราบเพราะว่าผมไม่มีความรู้ทางการแพทย์มาก  แล้วทางแผนกฉุกเฉินได้ทำการเจาะน้ำตาลผลปรากฏว่าน้ำตาลสูงถึง 750 mg/dl


(ผลแลปวันแรก)

หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็ได้ให้ยาลดน้ำตาลคุณพ่อทันที และทางแผนกฉุกเฉินได้มีการคีย์ข้อมูลคุณพ่อในการใช้สิทธิ์ของทาง Ucep  หลังจากนั้นผมได้นั่งรออยู่ข้างนอก

เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ  ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าคุณพ่อได้สิทธิ์ของทาง Ucep และคุณพ่อได้ผลภาวะวิกฤตแล้วทางโรงพยาบาลสอบถามกับผมว่าจะย้ายโรงพยาบาลไปตามโรงพยาบาลที่คุณพ่อมีสิทธิ์หรือเปล่าเพราะว่าเขาได้เช็คสิทธิ์ให้แล้วคุณพ่อมีสิทธิ์อยู่ที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นผมก็รู้สึกดีใจนะครับที่คุณพ่อพ้นวิกฤตแล้ว ผมจึงไม่ได้เอะใจอะไรและไม่ได้ทักท้วงอะไรในเรื่องของการตรวจรักษาของทางโรงพยาบาลว่าตรวจละเอียดหรือยัง ผมก็จึงตอบรับสิทธิ์กับทางโรงพยาบาลว่าขอรักษาต่อที่นี่โดยยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง 

ในตอนนั้นผมยังไม่ทราบค่าน้ำตาลคุณพ่อหลังจากที่ผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าๆนะครับ 
(ผมพึ่งมาทราบภายหลังได้รับผลการตรวจของคุณพ่อว่าตอนที่โรงพยาบาลแจ้งว่าพ้นภาวะวิกฤติแล้วคุณพ่อยังค่าน้ำตาลอยู่ที่ 644 m gm/dl  )


เย็นวันที่ 1 เมษายนนั้นหลังจากที่คุณพ่อออกจากห้องฉุกเฉินทางโรงพยาบาลก็พาคุณพ่อเข้าห้องไอซียูเนื่องจากค่าน้ำตาลยังสูงอยู่และคุณพ่อยังอ่อนเพลียอยู่เนื่องจากคุณพ่อมีอาการเลือดจางด้วย  และวันนั้นผมก็ได้ทำการรักษาผ่าตัดริดสีดวงตัวเองที่โรงพยาบาลนั้นด้วย

วันที่ 2 เมษายน 2563 ผมลงมาเยี่ยมคุณพ่อตอน 13:00 นคุณพ่อมีอาการดีขึ้นรู้สึกตัวมากขึ้นครับผมจึงมาถ่ายรูปคุณพ่อเพื่อเป็นกำลังใจแต่ผมสังเกตเห็นคุณพ่อหน้าย่นครึ่งซีก ปากเบี้ยวเวลายิ้ม และแขนซ้ายดูเหมือนยกไม่ค่อยมีแรง ผมจึงได้ถามไปทางพยาบาลว่าทำไมคุณพ่อถึงปากเบี้ยวหน้าย่นข้างซ้าย และแขนซ้าย ไม่มีแรงยก  ทางพยาบาลห้องไอซียูสอบถามผมกลับมาว่าปกติเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า 

ผมบอกว่าปกติไม่ได้เป็นอย่างนี้ หลังจากนั้นผ่านไป 6 ชั่วโมงเวลาประมาณ 19:00 นทางพยาบาล ICU ได้โทรมาหาผมว่าคุณพ่อน่าจะมีความผิดปกติทางสมองกำลังส่งไปตรวจ CT Scan สมอง วันต่อมาทางโรงพยาบาลได้แจ้งผลกับผมว่าคุณพ่อมีอาการสมองตายเนื่องจากเส้นเลือดสมองตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ แต่ผลไม่ค่อยชัดเจนมากเนื่องจากคนไข้ดิ้น เดี๋ยวจะทำการส่งไปทำการสแกน MRI อีกรอบหนึ่ง ผลออกมาชัดเจนครับว่าคุณพ่อสมองตายไปบางส่วนเนื่องจากเส้นเลือดสมองตีบไม่มีเลือดออกในสมองแต่คุณพ่อเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก 

 หลังจากนั้นผมก็ได้คุยกับคุณหมอผ่านทางโทรศัพท์ที่ทางห้อง ICU ได้ต่อสายให้ ผมได้แจ้งอาการคุณหมอในเบื้องต้นว่าคุณพ่อก่อนมาโรงพยาบาลมีการอาเจียนสีดำ คุณหมอก็บอกว่าคนไข้น้ำตาลสูงอาจจะทำให้เลือดออกในกระเพาะได้เพราะเลือดเป็นกรด จึงต้องนอนให้เลือดที่ห้อง ICU ก่อนให้ค่าเลือดดีขึ้นก่อน (แต่ตรงจุดนี้ทำไมคุณหมอไม่ตรวจหาสาเหตุหรือจุดที่เลือดออกและทำการรักษาห้ามเลือด)

ว่าขอย้ายโรงพยาบาลได้ไหมเนื่องจากว่ากังวลเรื่องค่ารักษาสูงเพราะว่าคุณพ่อเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ ทางคุณหมอได้แจ้งกลับมาว่าย้ายไม่ได้เพราะว่าหลังจากที่คนไข้สมองตายอาจจะมีอาการสมองบวมได้ต้องนอน ICU ดูอาการก่อนว่าสมองจะบวมหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นผมก็ยินดีให้คุณพ่อนอนโรงพยาบาลห้องไอซียูรักษาต่อ

 (แต่ตรงจุดนี้ผมมองย้อนกลับไปว่าถ้าเกิดว่าทางห้องฉุกเฉินที่คุณพ่อเข้าวันที่ 1 เมษายนนั้นได้มีการตรวจอย่างละเอียดถึงอาการของสมองคุณพ่อมันแล้วคงไม่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วคุณพ่อก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤตฉุกเฉิน Ucep อยู่ เราก็คงไม่ต้องเสียค่ารักษามากขนาดนี้ ) 

เป็นเพราะทางโรงพยาบาลหรือเปล่าที่กังวลเรื่องของการ ใช้สิทธิ์ Ucep จึงไม่ได้ทำการตรวจละเอียดเพราะว่าทางโรงพยาบาลอาจจะไม่ได้เงินหรือไม่ได้กำไรมากจากโครงการนี้ทางโรงพยาบาลจึงรีบแจ้งกับทางญาติคนไข้ว่าพ้นภาวะวิกฤตแล้วจะต้องการย้ายโรงพยาบาลหรือไม่ 

สรุปก็คือ
ทางโรงพยาบาลไม่มีการตรวจอาการของคุณพ่อทางสมองอย่างละเอียด และ ทำการตรวจรักษาล่าช้าในอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบทั้งที่อยู่โรงพยาบาลห้องฉุกเฉินและห้อง ICU เกิน 24 ชม. จนทำให้คุณพ่อเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกและครอบครัวได้รับความเสียหาย  จะฟ้องร้องโรงพยาบาลได้หรือไม่ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่