กลับมารีวิวอีกครั้งกับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะยอร์กยาการ์ตาและบาหลี ตอนที่ 3 หลังจากห่างหายไปนานเป็นแรมปี เนื่องจากงานที่พันรัดตัวบวกกับเดินสายเที่ยวดะทั้งในประเทศและต่างประเทศในทริปใหม่ ๆ อยู่เสมอ ช่วงนี้ว่าง ๆ ออกทริปใหม่ไม่ได้เพราะการระบาดของโรคโควิท - 19 เลยว่างมาเขียนตอนใหม่ของกระทู้นี้ต่อ เห็นว่ากระทู้รีวิวเที่ยวอินโดนีเซียไม่ค่อยมีใครจะมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นในเมืองยอร์กยาการ์ตากันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็วน ๆ มีแค่บุโรพุทโธ ปรัมบานัน ภูเขาไฟเมราปี กับพระราชวังน้ำทามันส่าหรีเท่านั้น กระทู้นี้จึงเป็นการเปิดเผยสถานที่ท่องเที่ยวนอกสายตาของเมืองยอร์กยาการ์ตาที่คนไทยไม่เคยรับรู้ แต่เป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นเสียมากกว่ามาแนะนำกันนะครับ เผื่อมีท่านใดสนใจอยากตามรอยเที่ยวดะแบบผมบ้าง
กระทู้นี้อาจไม่ถูกใจใครบ้างก็ได้เพราะสไตล์การเที่ยวของผมจะเน้นอยู่ที่เมืองนั้น ๆ นานหน่อยแล้วเจาะลึกชมสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนั้นจนเกือบทั่วนะครับ โดยในตอนนี้จะเป็นการเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในวันที่ 4 - 6 ของทริปที่เน้นชมโบราณสถานกลุ่มจันทิที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองยอร์กยากาตาร์ต่อจากกลุ่มปรัมบานันที่เคยเที่ยวเก็บมาแล้วในวันที่ 2 รวมทั้งชายหาดและน้ำตกนอกเมืองทางใต้ของยอร์กยาการ์ตา และเที่ยวโซนเดียงพลาโตกันนะครับ
ถ้าพร้อมออกเดินทางแล้ว มาทำความรู้กับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะยอร์กยาการ์ตาและบาหลี 13 วันของผมก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางจากกรุงเทพฯ - กัวลาลัมเปอร์ - ยอร์กยากาตาร์ และเที่ยวถนนมาลิโอโบโร่ยามค่ำคืน
วันที่ 2 : เที่ยวโซนตะวันออกของย็อกยา (กลุ่มจันทิปรัมบานัน)
วันที่ 3 : เที่ยวโซนตอนเหนือของย็อกยา (กลุ่มจันทิบุโรพุทโธ)
วันที่ 4 : เที่ยวโซนตะวันออกเฉียงใต้ของย็อกยา (กลุ่มจันทิอิโจ + น้ำตก)
วันที่ 5 : เที่ยวโซนตอนใต้ของย็อกยา (ชายหาด + น้ำตก)
วันที่ 6 : เที่ยวโซนเดียงพลาโต (กลุ่มจันทิอรชุน)
วันที่ 7 : เที่ยวในเมืองย็อกยา (วังสุลต่าน) และเดินทางไปเกาะบาหลี เดินเที่ยวถนนเลเกียนยามค่ำคืน
วันที่ 8 : เที่ยวโซนตอนเหนือของบาหลี (กลุ่มปุระในเมืองสิงคราช)
วันที่ 9 : เล่นน้ำชายหาดกูตา และเดินเที่ยวย่านอูบุด
วันที่ 10 : เที่ยวโซนตะวันออกของบาหลี (เมืองสีมาระปุระ และอัมละปุระ)
วันที่ 11 : เที่ยวโซนตอนกลางของบาหลี (กลุ่มปุระเบซากีห์)
วันที่ 12 : เที่ยวโซนตอนใต้ของบาหลี (เมืองเดนปาซาร์ + ปุระทานาลอค)
วันที่ 13 : เดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันที่ 4 : เที่ยวโซนตะวันออกเฉียงใต้ของย็อกยา (กลุ่มจันทิอิโจ + น้ำตก)
วันนี้ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากที่พักราว 8.30 น. กะว่าจะเก็บแหล่งท่องเที่ยวกลุ่มจันทิอิโจ (Candi Ijo) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองยอร์กยาการ์ตา โดยใช้ถนนเส้นเดียวกับที่ไปปรัมบานันในวันที่ 2 ที่ไปมา ซึ่งเป้าหมายแรกแวะเก็บตกจันทิแถบนี้ที่ยังไม่ได้ชมก่อนคือ
จันทิสัมบิสาหรี (Candi Sambisari) ที่อยู่ห่างจากที่พักไปราว 12 ก.ม.
ผมไปชมจันทินี้ช่วงสายก็เพิ่งเริ่มมีนักเรียนจากโรงเรียนมาทัศนศึกษากัน สงสัยคุณครูพามาศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันนอกห้องเรียน และมีนักท่องเที่ยวท้องถิ่นมาชมบ้างปะปรายไม่มากนัก
จริง ๆ การเข้าชมจันทิแต่ละแห่งเขาจะเก็บค่าจอดรถ และค่าเข้าชมนะครับ พอดีผมมาจอดก่อนที่ชาวบ้านที่เก็บค่าจอดรถจะมา เลยไม่ได้เสียเงิน ส่วนค่าเข้าชมจันทิจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตรงป้อมหน้าทางเข้าจันทิคอยเก็บเงินอยู่แล้ว ค่าเข้าชมก็ไม่แพงอะไรประมาณ 10,000 Rp. (20 บาท)
จันทิสัมบิสาหรีเป็นจันทิที่มีขนาดเล็กมาก เรียกว่าจันทิหนูก็ได้ แตกต่างไปจากจันทิอื่น ๆ ในศิลปะชวาภาคกลางที่ผมได้ไปชมมา 2 วันแรกเป็นอย่างมาก ตัวจันทิตั้งอยู่ในแอ่งต่ำกว่าระดับกับพื้นดินปัจจุบันถึง 6.5 เมตร คาดว่าคงเป็นชั้นดินเดิมในช่วงเวลาสมัยที่สร้างจันทินั่นเอง และต่อมาจันทิถูกฝังกลบจากลาวาของภูเขาไฟเมราปีที่ปะทุตัวในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ที่มีการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่
จันทิแห่งนี้วัดถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 14 โดยสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1355 - 1381 ในสมัยของ Rakai Garung ของอาณาจักรมะตะรัม ตามจารึกแผ่นทองคำ middle Wanua lll ที่ถูกค้นพบในบริเวณนี้ จันทิแห่งนี้ได้ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2509 โดยชาวบ้านในแถบนี้ และได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2529
จันทิแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินที่มีขนาด 50 เมตร x 48 เมตรที่มีความซับซ้อน บนผนังด้านนอกทางทิศเหนือของจันทิมีช่องที่ประดิษฐานมีรูปเคารพของนางทุรคามหิษาสุรมรรทินี (พระนางอุมาเทวีในภาคนางทุรคาปราบอสูรควาย) ส่วนผนังด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประดิษฐานรูปเคารพพระพิฆเนศวร ส่วนรูปปั้นของอคัสยะ หรือพระศิวะปางมหาโยคีประดิษฐานอยู่ทางทิศใต้ของผนังจันทิ ภายในจันทิพบฐานโยนีที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งแสดงว่าจันทิแห่งนี้สร้างถวายแด่พระศิวะในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ลัทธิไศวนิกายนั่นเอง
ลวดลายบางส่วนที่ปรากฏบนผนังอาคารจันทิสิมบิส่าหรี
ผมใช้เวลาชมจันทิสัมบิสาหรีประมาณ 45 นาที แล้วจึงขี่รถไปชมพระราชวังของกษัตริย์แห่งอาณาจักรมะตะรัมต่อ โดยสถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนภูเขาไม่ไกลจากปรัมบานันมากนักมีชื่อว่า
ราทู โบโก (Ratu Boko)
การเข้าชม ราทู โบโก สามารถไปได้ 2 ทางคือ จอดรถไว้ด้านล่างแล้วเดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาที่เตี้ย ๆ ที่มีสูงเพียง 195
เมตรกับขี่รถขึ้นเขาไปจอดใกล้ ๆ กับพระราชวังเลย
ทางแยกขวามือของถนนคือ ทางแยกขึ้นเขาไปราทู โบโก
ถนนขึ้นเขาไปราทู โบโก

(เครดิตภาพจาก google Street View)
ด้านบนของภูเขามีที่จอดรถ เดินไปซื้อตั๋วได้จากจุดนี้ จะมีป้อมตรวจตั๋วเข้าชมตามภาพด้านล่าง
ผมเลือกจอดรถด้านล่างแล้วเดินขึ้นบันไดไต่เขามา เพราะตอนแรกไม่ทราบว่ามีถนนอีกเส้นขี่รถมาถึงด้านบนได้
สำหรับตั๋วการเข้าชมที่นี่มีจำหน่ายทั้งแบบชมเฉพาะ Ratu Boko ที่เดียว กับซื้อเป็นแพ็คเก็ตเข้าชมปรัมบานันด้วย โดยจะซื้อที่นี่หรือซื้อที่ปรัมบานันก็มีขายเหมือนกันครับ ค่าเข้าชมที่นี่จะแพงพอ ๆ กับค่าเข้าชมปรัมมานันและบุโรพุทโธเลย ค่าเข้าชมจะราว ๆ 13 ดอลลาร์ + ค่าจอดรถมอเตอร์ไซค์อีก 3,000 Rp. รวมแล้วเป็นเงินไทยก็ 365 บาทได้ถ้าจำไม่ผิด ทั้ง ๆ ที่จุดนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่สมบูรณ์หลงเหลืออยู่น้อยกว่าปรัมบานันและบุโรพุทโธมาก
แผนผังสิ่งก่อสร้างภายใน Ratu Boko
ตามตำนานท้องถิ่นแถบนี้เล่าว่า ซากพระราชวัง Ratu Boko แห่งนี้สร้างขึ้นโดย โลลาจงกรัง ราทูโบโก กษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ที่นับถือศาสนาพุทธมหายานของอาณาจักรมะตะรัม สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 และต่อมากษัตริย์ของราชวงศ์สัญชัยที่นับถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูได้เข้ามาครอบครองแทน
แต่จากหลักฐานที่ค้นพบระบุว่า ผู้สร้างพระราชวัง Ratu Boko คือ Rakai Panangkaran Prasast Abhayagiriwihara ต่อมามีการแย่งชิงกันระหว่างราชวงศ์ไศเลนทร์และราชสัญชัย ทำให้ Rakai Walaing Pu Kumbayoni แห่งราชวงศ์สัญชัยได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นป้อมปราการในการต่อสู้ดังกล่าวและเปลี่ยนมาสร้างสิ่งก่อสร้างในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูแทนตามที่ตนนับถืออยู่ ทำให้พื้นที่บริเวณ Ratu Boko จึงได้ค้นพบทั้งซากพระพุทธรูป รูปเคารพนางทุรคา พระพิฆเนศวร และฐานโยนี
ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะยอร์กยาการ์ตาและบาหลี ตอนที่ 3
กลับมารีวิวอีกครั้งกับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะยอร์กยาการ์ตาและบาหลี ตอนที่ 3 หลังจากห่างหายไปนานเป็นแรมปี เนื่องจากงานที่พันรัดตัวบวกกับเดินสายเที่ยวดะทั้งในประเทศและต่างประเทศในทริปใหม่ ๆ อยู่เสมอ ช่วงนี้ว่าง ๆ ออกทริปใหม่ไม่ได้เพราะการระบาดของโรคโควิท - 19 เลยว่างมาเขียนตอนใหม่ของกระทู้นี้ต่อ เห็นว่ากระทู้รีวิวเที่ยวอินโดนีเซียไม่ค่อยมีใครจะมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นในเมืองยอร์กยาการ์ตากันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็วน ๆ มีแค่บุโรพุทโธ ปรัมบานัน ภูเขาไฟเมราปี กับพระราชวังน้ำทามันส่าหรีเท่านั้น กระทู้นี้จึงเป็นการเปิดเผยสถานที่ท่องเที่ยวนอกสายตาของเมืองยอร์กยาการ์ตาที่คนไทยไม่เคยรับรู้ แต่เป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นเสียมากกว่ามาแนะนำกันนะครับ เผื่อมีท่านใดสนใจอยากตามรอยเที่ยวดะแบบผมบ้าง
กระทู้นี้อาจไม่ถูกใจใครบ้างก็ได้เพราะสไตล์การเที่ยวของผมจะเน้นอยู่ที่เมืองนั้น ๆ นานหน่อยแล้วเจาะลึกชมสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนั้นจนเกือบทั่วนะครับ โดยในตอนนี้จะเป็นการเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในวันที่ 4 - 6 ของทริปที่เน้นชมโบราณสถานกลุ่มจันทิที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองยอร์กยากาตาร์ต่อจากกลุ่มปรัมบานันที่เคยเที่ยวเก็บมาแล้วในวันที่ 2 รวมทั้งชายหาดและน้ำตกนอกเมืองทางใต้ของยอร์กยาการ์ตา และเที่ยวโซนเดียงพลาโตกันนะครับ
ถ้าพร้อมออกเดินทางแล้ว มาทำความรู้กับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะยอร์กยาการ์ตาและบาหลี 13 วันของผมก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางจากกรุงเทพฯ - กัวลาลัมเปอร์ - ยอร์กยากาตาร์ และเที่ยวถนนมาลิโอโบโร่ยามค่ำคืน
วันที่ 2 : เที่ยวโซนตะวันออกของย็อกยา (กลุ่มจันทิปรัมบานัน)
วันที่ 3 : เที่ยวโซนตอนเหนือของย็อกยา (กลุ่มจันทิบุโรพุทโธ)
วันที่ 4 : เที่ยวโซนตะวันออกเฉียงใต้ของย็อกยา (กลุ่มจันทิอิโจ + น้ำตก)
วันที่ 5 : เที่ยวโซนตอนใต้ของย็อกยา (ชายหาด + น้ำตก)
วันที่ 6 : เที่ยวโซนเดียงพลาโต (กลุ่มจันทิอรชุน)
วันที่ 7 : เที่ยวในเมืองย็อกยา (วังสุลต่าน) และเดินทางไปเกาะบาหลี เดินเที่ยวถนนเลเกียนยามค่ำคืน
วันที่ 8 : เที่ยวโซนตอนเหนือของบาหลี (กลุ่มปุระในเมืองสิงคราช)
วันที่ 9 : เล่นน้ำชายหาดกูตา และเดินเที่ยวย่านอูบุด
วันที่ 10 : เที่ยวโซนตะวันออกของบาหลี (เมืองสีมาระปุระ และอัมละปุระ)
วันที่ 11 : เที่ยวโซนตอนกลางของบาหลี (กลุ่มปุระเบซากีห์)
วันที่ 12 : เที่ยวโซนตอนใต้ของบาหลี (เมืองเดนปาซาร์ + ปุระทานาลอค)
วันที่ 13 : เดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันที่ 4 : เที่ยวโซนตะวันออกเฉียงใต้ของย็อกยา (กลุ่มจันทิอิโจ + น้ำตก)
วันนี้ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากที่พักราว 8.30 น. กะว่าจะเก็บแหล่งท่องเที่ยวกลุ่มจันทิอิโจ (Candi Ijo) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองยอร์กยาการ์ตา โดยใช้ถนนเส้นเดียวกับที่ไปปรัมบานันในวันที่ 2 ที่ไปมา ซึ่งเป้าหมายแรกแวะเก็บตกจันทิแถบนี้ที่ยังไม่ได้ชมก่อนคือ จันทิสัมบิสาหรี (Candi Sambisari) ที่อยู่ห่างจากที่พักไปราว 12 ก.ม.
ผมไปชมจันทินี้ช่วงสายก็เพิ่งเริ่มมีนักเรียนจากโรงเรียนมาทัศนศึกษากัน สงสัยคุณครูพามาศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันนอกห้องเรียน และมีนักท่องเที่ยวท้องถิ่นมาชมบ้างปะปรายไม่มากนัก
จริง ๆ การเข้าชมจันทิแต่ละแห่งเขาจะเก็บค่าจอดรถ และค่าเข้าชมนะครับ พอดีผมมาจอดก่อนที่ชาวบ้านที่เก็บค่าจอดรถจะมา เลยไม่ได้เสียเงิน ส่วนค่าเข้าชมจันทิจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตรงป้อมหน้าทางเข้าจันทิคอยเก็บเงินอยู่แล้ว ค่าเข้าชมก็ไม่แพงอะไรประมาณ 10,000 Rp. (20 บาท)
จันทิสัมบิสาหรีเป็นจันทิที่มีขนาดเล็กมาก เรียกว่าจันทิหนูก็ได้ แตกต่างไปจากจันทิอื่น ๆ ในศิลปะชวาภาคกลางที่ผมได้ไปชมมา 2 วันแรกเป็นอย่างมาก ตัวจันทิตั้งอยู่ในแอ่งต่ำกว่าระดับกับพื้นดินปัจจุบันถึง 6.5 เมตร คาดว่าคงเป็นชั้นดินเดิมในช่วงเวลาสมัยที่สร้างจันทินั่นเอง และต่อมาจันทิถูกฝังกลบจากลาวาของภูเขาไฟเมราปีที่ปะทุตัวในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ที่มีการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่
จันทิแห่งนี้วัดถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 14 โดยสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 1355 - 1381 ในสมัยของ Rakai Garung ของอาณาจักรมะตะรัม ตามจารึกแผ่นทองคำ middle Wanua lll ที่ถูกค้นพบในบริเวณนี้ จันทิแห่งนี้ได้ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2509 โดยชาวบ้านในแถบนี้ และได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2529
จันทิแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินที่มีขนาด 50 เมตร x 48 เมตรที่มีความซับซ้อน บนผนังด้านนอกทางทิศเหนือของจันทิมีช่องที่ประดิษฐานมีรูปเคารพของนางทุรคามหิษาสุรมรรทินี (พระนางอุมาเทวีในภาคนางทุรคาปราบอสูรควาย) ส่วนผนังด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประดิษฐานรูปเคารพพระพิฆเนศวร ส่วนรูปปั้นของอคัสยะ หรือพระศิวะปางมหาโยคีประดิษฐานอยู่ทางทิศใต้ของผนังจันทิ ภายในจันทิพบฐานโยนีที่ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งแสดงว่าจันทิแห่งนี้สร้างถวายแด่พระศิวะในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ลัทธิไศวนิกายนั่นเอง
ลวดลายบางส่วนที่ปรากฏบนผนังอาคารจันทิสิมบิส่าหรี
ผมใช้เวลาชมจันทิสัมบิสาหรีประมาณ 45 นาที แล้วจึงขี่รถไปชมพระราชวังของกษัตริย์แห่งอาณาจักรมะตะรัมต่อ โดยสถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนภูเขาไม่ไกลจากปรัมบานันมากนักมีชื่อว่า ราทู โบโก (Ratu Boko)
การเข้าชม ราทู โบโก สามารถไปได้ 2 ทางคือ จอดรถไว้ด้านล่างแล้วเดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาที่เตี้ย ๆ ที่มีสูงเพียง 195
เมตรกับขี่รถขึ้นเขาไปจอดใกล้ ๆ กับพระราชวังเลย
ทางแยกขวามือของถนนคือ ทางแยกขึ้นเขาไปราทู โบโก
ถนนขึ้นเขาไปราทู โบโก
(เครดิตภาพจาก google Street View)
ด้านบนของภูเขามีที่จอดรถ เดินไปซื้อตั๋วได้จากจุดนี้ จะมีป้อมตรวจตั๋วเข้าชมตามภาพด้านล่าง
ผมเลือกจอดรถด้านล่างแล้วเดินขึ้นบันไดไต่เขามา เพราะตอนแรกไม่ทราบว่ามีถนนอีกเส้นขี่รถมาถึงด้านบนได้
สำหรับตั๋วการเข้าชมที่นี่มีจำหน่ายทั้งแบบชมเฉพาะ Ratu Boko ที่เดียว กับซื้อเป็นแพ็คเก็ตเข้าชมปรัมบานันด้วย โดยจะซื้อที่นี่หรือซื้อที่ปรัมบานันก็มีขายเหมือนกันครับ ค่าเข้าชมที่นี่จะแพงพอ ๆ กับค่าเข้าชมปรัมมานันและบุโรพุทโธเลย ค่าเข้าชมจะราว ๆ 13 ดอลลาร์ + ค่าจอดรถมอเตอร์ไซค์อีก 3,000 Rp. รวมแล้วเป็นเงินไทยก็ 365 บาทได้ถ้าจำไม่ผิด ทั้ง ๆ ที่จุดนี้มีซากสิ่งก่อสร้างที่สมบูรณ์หลงเหลืออยู่น้อยกว่าปรัมบานันและบุโรพุทโธมาก
แผนผังสิ่งก่อสร้างภายใน Ratu Boko
ตามตำนานท้องถิ่นแถบนี้เล่าว่า ซากพระราชวัง Ratu Boko แห่งนี้สร้างขึ้นโดย โลลาจงกรัง ราทูโบโก กษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ที่นับถือศาสนาพุทธมหายานของอาณาจักรมะตะรัม สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 และต่อมากษัตริย์ของราชวงศ์สัญชัยที่นับถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูได้เข้ามาครอบครองแทน
แต่จากหลักฐานที่ค้นพบระบุว่า ผู้สร้างพระราชวัง Ratu Boko คือ Rakai Panangkaran Prasast Abhayagiriwihara ต่อมามีการแย่งชิงกันระหว่างราชวงศ์ไศเลนทร์และราชสัญชัย ทำให้ Rakai Walaing Pu Kumbayoni แห่งราชวงศ์สัญชัยได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นป้อมปราการในการต่อสู้ดังกล่าวและเปลี่ยนมาสร้างสิ่งก่อสร้างในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูแทนตามที่ตนนับถืออยู่ ทำให้พื้นที่บริเวณ Ratu Boko จึงได้ค้นพบทั้งซากพระพุทธรูป รูปเคารพนางทุรคา พระพิฆเนศวร และฐานโยนี